อุบลราชธานี-หอการค้าอุบลฯ ชี้มาตรการปลอดวีซ่าไทย-ลาว ส่งผลดีต่อธุรกิจท่องเที่ยวชายแดนระยะยาว การเข้า-ออกนักท่องเที่ยวสะดวกกว่าเดิม ชี้กัมพูชาน่าจะใช้มาตรการดังกล่าว ด้วยเพื่ออนาคตธุรกิจท่องเที่ยวชายแดน
นายสมชาย สุรพัฒน์ กรรมการที่ปรึกษาหอการค้า จังหวัดอุบลราชธานี กล่าวว่า ภายหลังจากไทย-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว) เริ่มใช้มาตรการปลอดวีซ่าเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2547 ซึ่งตรงกับวันชาติของลาว โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนชาวไทยและลาว ตลอดจนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ถือพาสปอร์ต สามารถเข้าออกเขตแดนไทย-ลาวได้ตามหลักการสากล
นอกจากนี้ พบว่า หลังไม่ต้องขอวีซ่า มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าสู่ประเทศลาวค่อนข้างมาก และ เชื่อว่าแนวโน้มจากนี้ต่อไปถึงช่วงปีใหม่ จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้า-ออก ไทย-ลาว มากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ดังกล่าวไม่ได้มาจากมาตรการปลอดวีซ่าเพียงอย่างเดียว แต่เกี่ยวเนื่องจากเป็นเทศกาลช่วงลองวีกเอนด์ที่มีวันหยุดยาวหลายครั้ง ทำให้มีคนเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น เนื่องจากทางภาคใต้ของลาวมีน้ำตกคอนพะเพ็งที่ขึ้นชื่อ น้ำตกหลี่ผี ตาดฟาน และผาส้วม ขณะที่ฝั่งไทยก็มีแหล่งท่องเที่ยวให้เลือกชมหลากหลายเช่นกัน ดังนั้น เชื่อว่าจากนี้ต่อไปการท่องเที่ยวจะคึกคักเพิ่มขึ้น
นายสมชาย ยังกล่าวว่า แม้ว่าระยะแรกการปลอดวีซ่า จะไม่มีผลต่อจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้า-ออกไทยและลาวมากนัก เพราะส่วนใหญ่ยัง คงใช้บอเดอร์พาส หรือหนังสือผ่านแดนอยู่ แต่ระยะยาวการเดินทางโดยใช้พาสปอร์ต ของผู้ที่จะข้ามแดนเหล่านี้จะมีมากยิ่งขึ้น เนื่องจากสะดวกต่อการเดินทางมากกว่า รวมทั้งจะเป็นประโยชน์ต่อการท่องเที่ยว ให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ตลอดจนผู้ที่ทำการค้าขายชายแดน
สำหรับแนวโน้มการเข้ามาของแรงงานต่างด้าว จากช่องว่างมาตรการปลอดวีซ่าระหว่างไทย-ลาว เชื่อว่าจะไม่มีผลมากนัก และถึงแม้จะมีแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้ามา เจ้าหน้าที่คงสามารถตรวจสอบและควบคุมได้ เพราะการใช้พาสปอร์ตสามารถระบุข้อมูลผู้ผ่านแดนได้ทุกคน
นายสมชาย กล่าวอีกว่า หอการค้าต้องการให้กัมพูชา ได้เร่งใช้มาตรการปลอดวีซ่าเข้าประเทศร่วมกันกับไทยเพื่อเพิ่ม ปริมาณนักท่องเที่ยวที่จะเข้า-ออกมากขึ้น ซึ่งระยะยาวจะส่งผลต่อการขยายตัวของธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว เหมือนกับที่กำลังจะเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในลาวขณะนี้ เช่นธุรกิจนำเที่ยว ธุรกิจโรงแรมที่พัก
นายสมชาย สุรพัฒน์ กรรมการที่ปรึกษาหอการค้า จังหวัดอุบลราชธานี กล่าวว่า ภายหลังจากไทย-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว) เริ่มใช้มาตรการปลอดวีซ่าเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2547 ซึ่งตรงกับวันชาติของลาว โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนชาวไทยและลาว ตลอดจนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ถือพาสปอร์ต สามารถเข้าออกเขตแดนไทย-ลาวได้ตามหลักการสากล
นอกจากนี้ พบว่า หลังไม่ต้องขอวีซ่า มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าสู่ประเทศลาวค่อนข้างมาก และ เชื่อว่าแนวโน้มจากนี้ต่อไปถึงช่วงปีใหม่ จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้า-ออก ไทย-ลาว มากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ดังกล่าวไม่ได้มาจากมาตรการปลอดวีซ่าเพียงอย่างเดียว แต่เกี่ยวเนื่องจากเป็นเทศกาลช่วงลองวีกเอนด์ที่มีวันหยุดยาวหลายครั้ง ทำให้มีคนเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น เนื่องจากทางภาคใต้ของลาวมีน้ำตกคอนพะเพ็งที่ขึ้นชื่อ น้ำตกหลี่ผี ตาดฟาน และผาส้วม ขณะที่ฝั่งไทยก็มีแหล่งท่องเที่ยวให้เลือกชมหลากหลายเช่นกัน ดังนั้น เชื่อว่าจากนี้ต่อไปการท่องเที่ยวจะคึกคักเพิ่มขึ้น
นายสมชาย ยังกล่าวว่า แม้ว่าระยะแรกการปลอดวีซ่า จะไม่มีผลต่อจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้า-ออกไทยและลาวมากนัก เพราะส่วนใหญ่ยัง คงใช้บอเดอร์พาส หรือหนังสือผ่านแดนอยู่ แต่ระยะยาวการเดินทางโดยใช้พาสปอร์ต ของผู้ที่จะข้ามแดนเหล่านี้จะมีมากยิ่งขึ้น เนื่องจากสะดวกต่อการเดินทางมากกว่า รวมทั้งจะเป็นประโยชน์ต่อการท่องเที่ยว ให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ตลอดจนผู้ที่ทำการค้าขายชายแดน
สำหรับแนวโน้มการเข้ามาของแรงงานต่างด้าว จากช่องว่างมาตรการปลอดวีซ่าระหว่างไทย-ลาว เชื่อว่าจะไม่มีผลมากนัก และถึงแม้จะมีแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้ามา เจ้าหน้าที่คงสามารถตรวจสอบและควบคุมได้ เพราะการใช้พาสปอร์ตสามารถระบุข้อมูลผู้ผ่านแดนได้ทุกคน
นายสมชาย กล่าวอีกว่า หอการค้าต้องการให้กัมพูชา ได้เร่งใช้มาตรการปลอดวีซ่าเข้าประเทศร่วมกันกับไทยเพื่อเพิ่ม ปริมาณนักท่องเที่ยวที่จะเข้า-ออกมากขึ้น ซึ่งระยะยาวจะส่งผลต่อการขยายตัวของธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว เหมือนกับที่กำลังจะเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในลาวขณะนี้ เช่นธุรกิจนำเที่ยว ธุรกิจโรงแรมที่พัก