xs
xsm
sm
md
lg

อยู่บ้านอย่านุ่งกางเกงในและต้องทำตัวเป็นโสเภณี (2)

เผยแพร่:   โดย: ยอดรัก ตะวันรอน

"ประการหนึ่งซึ่งจะเดินดำเนินนาดค่อยเยื้องย่างยกย่างกลางสนาม
อย่าแกว่งแขนสุดแขนเขาห้ามปรามเสงี่ยมงามสงวนไว้แต่ในที
อย่าเดินกรายย้ายอกยกผ้าห่มอย่าเสยผมกลางทางหว่างวิถี
อย่าเพ้อเจ้อจ้อไปไม่สู้ดีถ้าเรื่องมีกลับมาจึงหารือ
ให้กำหนดจดจำแต่คำชอบถ้าผิดแบบนอกกระบวนไม่ควรถือ
อย่านุ่งผ้าพกใหญ่ใต้สะดือเขาจะลือว่าเล่นไม่เห็นควร
อย่าลืมตัวมัวเดินให้เพลินจิตระวังปิดปกป้องของสงวน
เป็นสตรีมีที่อายหลายกระบวนจงสงวนศักดิ์สง่าอย่าให้อาย
อนึ่งเนตรอย่าสังเกตให้เกินนักให้รู้จักอาการประมาณหมาย
แม้นประสบพบเจ้าเหล่าผู้ชายอย่าชม้ายทำชม้อยตะบอยแล
อันนัยน์ตาทำตัวให้มัวหมองเหมือนทำนองแนะออกบอกกระแส
จริงไม่จริงเขาก็เอาไปเล่าแซ่คนรังแกมันก็ว่านัยน์ตาคม"

นี่คือเรื่องราวของผู้หญิงไทยในยุคสมัยที่ยังไม่มีการพัฒนาวิธีการมีชีวิตทางด้านการเป็นโสเภณี เมื่อนอนบนเตียงกับผู้ชายและไม่นุ่งกางเกงในอย่างทุกวันนี้ที่มีต้นแบบ
ปรากฏออกมาให้เห็นกัน ผู้หญิงไทยยุคเก่าที่ถือกันว่าผู้หญิงจะต้องมีความอาย หน้าไม่ด้านและต้องไม่แสดงอาการจนเกินเหตุที่เรียกว่า "ให้รู้จักอาการประมาณหมาย"

ธรรมเนียมในการมีชีวิต และการเป็นผู้หญิงไทยในสมัยโบราณจะไม่มีใครเดือดร้อนในเรื่องความรัก และการเป็นโสเภณีบนเตียงนอนเหมือนผู้หญิงบางคนอย่างที่ปรากฏในทุกวันนี้ เฉพาะอย่างยิ่ง การเปิดเผยอวัยวะส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนของร่างกายที่ผู้หญิงไทยทุกวันนี้เดินขายกันอย่างทุกรูปทุกแบบ ทั้งขายส่งและขายปลีก เฉพาะอย่างยิ่งในการแสดงคอนเสิร์ตที่มี การตะโกนร้องเพลงไม่เป็นภาษาคน พร้อมด้วยการชูมือเด้งหน้าเด้งหลังยั่วความกระสันของแต่ละคนให้เกิดความรู้สึกสุดยอดง่ายขึ้น พร้อมกันนั้น รายการละครน้ำเน่าและบันเทิงที่พยายามหยิบยกเอาตัวผู้หญิงอะไรต่ออะไรที่เคยเดินผ่านหน้ากล้องโทรทัศน์ และเข้าโรงแรมม่านรูดกับคู่ต่อสู้ขนาดต่างๆ จนเกิดความชำนิชำนาญทางโลกียวิสัยจนถึงขนาดแล้ว ก็จะมาสรรเสริญกันเหมือนวีรสตรีที่มีบุญคุณต่อประเทศชาติเสียจนประชาชาติทั้งชาติจะต้องคอยนั่งดูและสรรเสริญเจริญคุณร่วมกันด้วยทุกวันทุกคืนทุกชั่วโมงเอาด้วยซ้ำ

เราจะทำกันทุกอย่าง เผยแพร่และสื่อสารขนบประเพณีที่ชั่วช้าสำหรับผู้หญิงไทย ซึ่งพ่อแม่ปู่ย่าตายายได้ช่วยกันสร้างมาเป็นร้อยปี และทุกอย่างที่สร้างมาแล้วนั้น มีค่าอย่างมหาศาลแก่คนไทยและผู้หญิงไทยสมัยนั้นทุกคน ตรงกันข้ามจะทำทุกอย่างเพื่อทำลายมันเสีย ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองที่ตะเกียกตะกายขึ้นมาหาตำแหน่งและโอกาส เพื่อแสวงหาความร่ำรวยโดยไม่คำนึงถึงอะไร

ทางฝ่ายกระทรวงศึกษาธิการหรือหน่วยงานต่างๆ ที่รับผิดชอบต่อขนบประเพณีอันดีงามของคนไทย และผู้หญิงไทยหลบหน้าเข้าไปหมกกันอยู่ในนรกกันหมด นานๆ ก็จะพากันเห่าหอนขึ้นมาสักที มาถึงตอนนี้เรามีทั้งกระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ มนุษย์ ก็เช่นเดียวกันเป็นเพียง สากสำหรับเอาไว้ให้เป่ากันเล่นๆ เท่านั้น

จากความรับผิดชอบที่เลวร้ายที่เราทำกันมานี้ ผมเชื่อว่าบทกลอนที่เรียกว่า "สุภาษิตสอนหญิง" หรือ "กฤษณาสอนน้อง" ที่ใช้สำหรับการแสวงหาความรู้ความเข้าใจในการเป็นผู้หญิงของคนไทยไม่มีใครคิดเผยแพร่ ไม่เคยพิมพ์กันขึ้นมานอกจากคนบางคนที่พอมีงานศพก็จะทำให้นึกถึงชาติไทยกันได้ก็จะควักกระเป๋าพิมพ์กันออกมา ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการศึกษา และสื่อสารมวลชนทุกอย่างไม่มีใครเอ่ยถึง นอกจากสนับสนุนให้เปิดสะดือ เปิดหน้าอก เข้าโรงแรมกันอย่างเสรี

ปัญหาของผู้หญิงทุกวันนี้ เราจึงทำได้เพียงการจัดตั้งซึ่งกันและกัน โดยตั้งชมรมและองค์การอะไรขึ้นมาแล้วก็เอาความโง่เขลาเบาปัญญาต่างๆ ไปนั่งพล่ามกันตามเวรตามกรรม

และก็จบลงด้วยการกระทำให้ผัวรัก โดยเพียงแต่ว่าเมื่ออยู่ในบ้านก็อย่านุ่งกางเกงชั้นในเท่านั้นพอ

นอกจากนั้นเวลาอยู่บ้านก็ให้ทำตัวเป็นโสเภณีเข้าไว้ ซึ่งอาจเพราะผัวรายใดรายหนึ่งมีความหิวกระหายจนต้องไม่รอพิธีรีตองหรือขนบประเพณีอย่างใดในการอยู่ร่วมกันกับคนประเภทผู้หญิง แล้วเจ้าผู้ชายหน้ามืดรายนั้นก็จะหลงเมียไปชั่วชีวิต

เอากันแค่นั้นเท่านั้น

จากบทกลอนของสุนทรภู่และกฎเกณฑ์แม้แต่ "กฤษณาสอนน้อง" ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปรมานุชิตชิโนรส บทวรรณกรรมและวรรณคดีไทยทุกเล่ม จะมีกฎเกณฑ์ทุกอย่างในการดำเนินชีวิตของผู้หญิงอยู่ครบทุกประการ แม้แต่วิธีการจัดการกับการมีประจำ เดือนก็ดูเหมือนจะไม่ได้เว้นที่จะสั่งสอนอบรมให้ผู้หญิงทุกคนเชื่อถือ และปฏิบัติตาม

ไม่ว่าจะกินจะนอน ไม่ว่าจะพูดหรือจะคิดอะไร ผู้หญิงไทยทุกคนสมัยโบราณไม่ว่าจะเป็นคุณหญิงโมหรือท้าวสุรนารีแห่งโคราช ท้าวเทพกระษัตรี-ศรีสุนทร ที่จับดาบสู้กับข้าศึกในกองทัพเอาชนะสร้างบ้านเมืองกันมาแล้วก็ตาม ก็ไม่มีผู้หญิงคนใดจะต้องนั่งทำตัวเป็นโสเภณีเมื่อไอ้เจ้าประคุณผัวหน้าด้านคนหนึ่งคนใดอยู่บ้าน เพราะหลักเกณฑ์ที่ผู้หญิงทุกคนจะละเมิดไม่ได้ นั่นคือการเป็นผู้หญิงของคนไทยนั้นถือว่า "เป็นสาวแส้แร่รวยสวยสะอาด ก็หมายมาตรเหมือนมณีอันมีค่า" ที่คนไทยไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย หรือไม่ว่าหนุ่มสาวแก่เถ้า ใครละเมิดบทบัญญัตินี้ไม่ได้ถือว่าเป็นตัวเสนียดจัญไรที่จะทำให้ปู่ย่าตายายหรือลูกผัวไม่ประสบความสุขความเจริญ

ทุกบ้านทุกตำบลรวมไปถึงผู้หญิงในเอเชียทั้งหมด แม้แต่บริเวณภูเขาฮินดูกูฏในอัฟกานิสถานก็ได้มีการยอมรับและเคารพต่อขนบประเพณีที่ไม่มีใครในขุนเขาที่จะต้องมาพูดมาเตือนอะไรอีก เพราะมันเป็นขนบประเพณีและวัฒนธรรมประจำชาติ ที่ยึดถือกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

ไม่มีใครดัดจริตมารวมตัวกันตั้งชมรมเพื่อประจานตัวเองกันให้น่าอุจาด

ผู้หญิงไทยสมัยโบราณหรือก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะมีวัฒนธรรมเมียน้อยที่ยอมรับกันได้ก็จริง แต่จะไม่ปรากฏว่ามีผู้หญิงคนใดมีปัญหาที่ต้องไปนุ่งกางเกงชั้นในตอนอยู่บ้าน หรือต้องเป็นโสเภณีเมื่อผัวสารพัดถ่อยอยู่ในบ้าน ทุกคนมีความรัก มีครอบครัว มีหัวใจที่รู้ว่าหน้าที่ของตัวเองคืออะไร จะต้องทำอย่างไรในการเกิดมาเป็นคนเพราะชีวิตผู้หญิงโบราณของเอเชียนั้นเข้าใจคำว่า DIVISION OF LABOUR ดีพอ

การมีเมียน้อยในเมืองไทยหรือในเอเชียสมัยโบราณ ไม่ใช่เพื่อการสนองตัณหาของผู้ชาย แต่เป็นเพราะว่าสมัยนั้นคนยากคนจนเป็นบ่าวเป็นไพร่ที่ต้องการมีที่พึ่ง จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้นั้นจะต้องทำมาหากิน ต้องมีที่พึ่งคนที่มีฐานะดีมีตำแหน่งหน้าที่การงานเรียกว่า เจ้าขุนมูลนายก็จะมีทาส มีไพร่ และคนที่จะต้องเลี้ยงดูผู้หญิงที่มาเป็นเมียนั้น ถือว่าเป็นความเมตตาของเจ้าขุนมูลนายที่ตนจะต้องได้พึ่งก็คือ ฝากผีฝากไข้ ถ้าการเป็นเมียน้อยมันทำให้มีกินขึ้นมาได้ ก็ถือว่าเป็นคุณูปการแก่ชีวิต ไม่ใช่เป็นเมียน้อยเพื่อความสนุกสนานหรือเพื่อโทรศัพท์มือถือสักเครื่อง

อีกอย่างหนึ่ง เมียน้อยในสังคมไทยก็คือมีหน้าที่คอยปรนนิบัติใกล้ชิดเจ้านาย
จากการรับใช้ตามธรรมดาก็กลายมาเป็นเมียน้อย และเจ้าขุนมูลนายที่ว่านี้ทุกคนเมื่อ
แก่ตัวลงหมด ภาระการงานที่เคยทำประจำก็ไม่มีอะไรนอกจากเกิดความแก่ชราขึ้นมา เมียน้อยเหล่านี้แหละที่เป็นคนจะต้องเข้ามารับผิดชอบชีวิต มีหน้าที่ที่จะเป็นหมอนวดดูแลไม่ต้องไปจ้างไปวานที่ไหนมา นั่นก็ถือว่าเป็นความจำเป็นที่คนยากคนจนในสมัยโบราณซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นผู้แสวงหาที่พึ่งเพื่อกำจัดความยากจนของตนเองและครอบครัว

มันไม่ใช่เป็นเมียน้อยเพราะสังคมวิบัติของเราอย่างทุกวันนี้

และที่สำคัญที่สุดที่จะต้องศึกษากันก็คือ นอกจากการเป็นเมียน้อยจะมาจากความจำเป็นทางสังคมแล้ว การที่หญิงชายจะได้ร่วมสมสู่อยู่กินกันนั้น ผู้ใดไม่ว่าฝ่ายหญิงหรือฝ่ายชายทั้งสอง โบราณถือว่าได้เคย "ตัดดอกไม้ร่วมกิ่ง หรือเด็ดดอกไม้ร่วมต้น" กันมาในชาติก่อน เป็นเนื้อคู่หนังคู่กันมา หรือได้ทำบุญทำกรรมด้วยกันมาที่จะต้องมาทำหน้าที่ในการเป็นผัวเป็นเมียในชาตินี้ ซึ่งด้วยเหตุผลนี้ไม่ต้องทำให้ผู้หญิงที่ยังมีวัฒนธรรมอยู่ต้องมาเสียเวลาตั้งองค์กรประจานตัวเอง และนั่งประชุมกันว่าไม่ให้นุ่งกางเกงในเมื่อผัวอยู่บ้าน และต้องเป็นโสเภณีอย่างที่เป็นข่าว

แต่มันเป็นความรักระหว่างผู้หญิงผู้ชาย ที่เกิดมาทำหน้าที่ของมนุษย์ในการสร้างลูกหลานสืบพันธุ์กันต่อไป ซึ่งจะต้องทำต่อกันด้วยความรักและความปรารถนาดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศนาบอกกล่าวถึงความรักของปุถุชนไว้ว่า

ปุพเพสันนิวาเสนะ ปัจจุปันนะหิเตนะ วา
เอตัง ชายะเต เปมัง อุปลังวะยะโถทะเก

"ความรักของผู้หญิงผู้ชายจะเกิดได้เพราะเหตุ 2 ประการคือ (1) การอยู่ร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อน (2) การได้ช่วยเหลือเกื้อกูลต่อกันและกันในชาติปัจจุบัน มันเหมือนดอกบัวที่จะเกิดมาเป็นดอกบัวได้ เพราะอาศัยน้ำและโคลนฉะนั้น"

นั่นจะเป็นสาเหตุให้คนมีความรักและเป็นคู่ผัวเมียกันได้

ไม่ใช่การเป็นเมียน้อยกันอย่างไม่มีเหตุผลที่ทำกันอย่างทุกวันนี้ ซึ่งทำกันในนามของการค้าที่มีการแลกเปลี่ยนต่างคนต่างซื้อ ต่างคนต่างขายกัน ไม่ใช่เรื่องของการเป็นผัวเป็นเมียกัน แต่การที่ผู้ชายต้องไปสมสู่กับผู้หญิงที่มิใช่เมียตัวเอง และผู้หญิงยอมสมสู่แล้วก็ผ่านไปนั้น อาจจะถือว่าเป็นเพียง กีฬาในร่ม ที่นักกีฬาทั้งหลายคิดว่าเป็นการช่วยกันทำงานก่อเจดีย์หรือก่อพระทราย เพราะมีจังหวะที่ดีขึ้นมาเท่านั้นเอง

ผมจึงมองไม่เห็นว่าเพราะเหตุผลอะไรจะมาโวยวายกันอย่างที่ทำทุเรศกันอยู่ทุกวันนี้

เมียน้อยหรือการซื้อขายความใคร่ระหว่างผู้หญิงผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นเมียน้อยหรือไม่น้อย เป็นสถานการณ์ทางสังคมของเราเท่านั้น

สังคมของเรามันชั่ว ผลิตผลของสังคมมันก็ชั่วไปตลอดหัวตลอดหาง แม้แต่ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบบ้านเมืองมันก็ชั่ว ความจริงเราต้องไปแก้ที่ความชั่วทั้งหมดนั้น ไม่ว่าจะเป็นตัวสังคมของเราเอง และความชั่วรวมถึงผู้รับผิดชอบทุกคนในบ้านเมือง

แต่กระนั้นก็เถอะ แม้ว่ามันชั่วถึงขนาดนี้ก็ยังไม่มีใครมองเห็น

ถึงมองเห็นก็ไม่มีปัญญาที่จะรู้จะแก้มันยังไง เพราะคนมีสิทธิที่จะแก้ก็สิ้นคิดกันไปทั้งหมด เพราะเรามีแต่คนสิ้นคิด

เราก็ทำได้แต่เพียงว่าเราจะต้องไม่นุ่งกางเกงในเมื่ออยู่ในบ้าน เราก็ต้องทำตัวเป็นโสเภณีเสียเมื่อนอนอยู่ใกล้ผัว

ทำกันได้เท่านั้น

ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่ามันเกิดมาจากปัญหาทางสังคม ก็ไม่มีใครยอมเข้มงวดกวดขันในสิ่ง ที่บรรพบุรุษของเรายึดถือกันมา เราต่างก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่กันไปทั้งชาติ ไม่เคยมีผู้หนึ่งผู้ใดที่พูดถึงปัญหาสังคมที่เป็นต้นตอของความชั่วทุกอย่างในบ้านเมือง

ไม่ต้องเสียเวลาไปแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยของคนกรุงเทพฯ ที่ยังยากจนไม่มีที่ซุกหัวนอน ไม่พูดถึงคนยากคนจนทั่วประเทศที่โกหกตอแหลออกมาว่ามีอยู่ 9 ล้านคน ซึ่งน่าจะมากกว่านั้นเป็นครึ่งค่อน ปัญหาคอร์รัปชันที่กินบ้านกินเมืองกันทั้งลับและซับซ้อนที่ไม่มีใครยอมเปิดเผยและไม่มีใครแตะต้อง

เฉพาะอย่างยิ่ง นักการเมืองที่เข้ามาทำหน้าที่รับผิดชอบต่อประเทศชาติทุกคนหลังจากปี 2475 หรือหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาแล้ว นักขายชาติประ
เภทต่างๆ ของเราทำหน้าที่เป็นเพียง โจรที่คอยปล้นประชาชน กันทั้งสิ้น และตอนนี้ ทั้งรัฐธรรมนูญ และประชาชนก็ยินยอมพร้อมใจที่จะสร้างนักการเมืองประเภทหัวหน้าซ่องที่สมบูรณ์ซึ่งมีอาชีพร่ำรวยขึ้นมา ทางการค้าน้ำกามของผู้หญิงที่ยากจนข้นแค้นจำนวนหนึ่งเท่ากับมีความชำนาญในการเลี้ยงดูด้วยการติดสินบนแก่ตำรวจ และผู้รักษากฎหมาย มาเป็นนักการเมืองผู้มีเกียรติและขวัญใจของประชาชน ซึ่งหมายถึงว่าเราจะพัฒนาระบบการติดสินบนคนในกรมตำรวจเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับบรรดาผู้หญิงที่ยากจนไม่มีที่พึ่งพาที่ไหนก็จะมีซ่องหากินได้ทั่วราชอาณาจักร เพราะหัวหน้าซ่องของเราก็จะมีโอกาสหาที่ขายน้ำกามได้มากขึ้น

มันจะหวังอะไรได้อีกจากแผ่นดินไทยของเรา?

เราอาจจะต้องมีโจรมากขึ้นพร้อมทั้งลูกหลานของเราก็จะมีโอกาสได้เป็นโสเภณีกันมากขึ้น

หรือกางเกงในผู้หญิงก็จะขายได้น้อยลง!!!
กำลังโหลดความคิดเห็น