ผู้จัดการรายวัน – เบอร์เกอร์ คิงชี้ปีหน้าการแข่งขันในตลาดฟาสต์ฟู้ดจะรุนแรงขึ้น ปีหน้าสร้างโพซิชั่นนิ่งแบรนด์ที่เป็นระดับพรีเมี่ยม ขยายสาขาเพิ่ม 4-5 แห่ง หลังจากปีนี้นิ่งเงียบเพราะมุ่งเน้นพัฒนาระบบปฏิบัติการในองค์กร ตั้งเป้าปีหน้ายอดขายโตเกิน 20-30%
นายจอห์น สก๊อต ไฮเน็ค ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เบอร์เกอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในปีหน้าการแข่งขันในตลาดเบอร์เกอร์ค่อนข้างจะรุนแรงขึ้น หลังจากที่ปีนี้ตลาดรวมคงที่ จากการที่เบอร์เกอร์ คิงและคู่แข่งไม่มีการขยายสาขา ซึ่งแนวทางการทำตลาดในปีหน้าบริษัทฯจะเน้นกลยุทธ์ทางการตลาดที่ช่วยกระตุ้นยอดขาย ไม่มีแผนที่จะปรับลดราคาลง แต่จะเพิ่มคุณค่าและคุณภาพให้กับสินค้าแทน ควบคู่กับการสร้างตำแหน่งทางการตลาดของเบอร์เกอร์ คิงในฐานะที่เป็นแบรนด์พรีเมี่ยม
ประกอบกับปี2548 บริษัทฯ เตรียมขยายสาขาเบอร์เกอร์ คิงเพิ่มอีก 4-5 แห่งทั่วประเทศ เล็งเปิดที่ภาคใต้ประมาณ 1-2 แห่ง โดยสาขาที่จะเปิดจะเน้นเปิดร้านใน โดยใช้งบลงทุนรวมประมาณ 40 ล้านบาท จากปัจจุบันเบอร์เกอร์ คิงมี 16 สาขา ซึ่งขณะนี้มีแผนทยอยปรับปรุงทุกแห่งด้วยงบสาขาละ 2-4 ล้านบาท
ในปีหน้าเบอร์เกอร์ คิงเตรียมออกแคมเปญและผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคมากขึ้น เช่น เบอร์เกอร์พรีเมี่ยมเนื้อและไก่ ,ชุดครัวซองอาหารเช้า และบริการเบอร์เกอร์ตามสั่งสามารถเลือกส่วนผสมได้ ซึ่งเฉลี่ยภายใน 1 ปีบริษัทฯจะออกเมนูใหม่ 2 เดือนต่อ 1เมนูทั้งกลุ่มเบอร์เกอร์และสแน็ค ซึ่งค่าใช้จ่ายลูกค้าคนละ 100-130 บาทต่อครั้ง
“ปีนี้ที่เบอร์เกอร์ คิงเงียบเพราะเราไม่ค่อยทำตลาดมาก เนื่องจากเราไม่มีสาขามากเท่ากับแมคโดนัลด์ แต่ถ้าจะไปทุ่มงบทางการตลาดมากๆก็ไม่คุ้ม ซึ่งงบตลาดของเบอร์เกอร์ คิงจะใช้ปีละ 7-8% ของยอดขาย รวมถึงในปีนี้เราไม่ได้เปิดสาขาเพิ่ม เพราะมัวแต่ปรับเรื่องโอเปอร์เรชั่นทุกสาขา” ผู้จัดการทั่วไปเบอร์เกอร์ คิงกล่าว
ล่าสุดเพื่อเป็นการฉลองที่เบอร์เกอร์ คิงของบริษัทแม่ที่ครบรอบ 50 ปี รวมถึงต้อนรับเทศกาลคริสมาสต์และปีใหม่ บริษัทฯ จึงได้จัดโปรโมชั่นพิเศษให้แก่ลูกค้า เช่น มอบส่วนลด และซื้ออาหารชุดจะได้รับคูปองชิงโชค เป็นต้น
สำหรับภาพรวมตลาดเบอร์เกอร์ปีนี้คงที่ โดยมูลค่าตลาดรวมเบอร์เกอร์ปีนี้มียอด 2,100 ล้านบาท ผู้นำตลาดยังคงเป็นแมคโดนัลด์ ส่วนเบอร์เกอร์ คิงมีส่วนแบ่งทางการตลาด 15% คาดปีหน้าเพิ่มเป็น17% โดยผลประกอบการปีนี้ของเบอร์เกอร์ คิงถือว่าโตขึ้น 20% ในรอบ 10 ปี จากการบริการของพนักงานในร้านที่ได้มาตรฐานเดียวกันทั่วโลก บรรยากาศในร้าน และคุณภาพของสินค้า คาดว่าปีหน้าจะโตขึ้นกว่า 20-30%
นายจอห์น สก๊อต ไฮเน็ค ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เบอร์เกอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในปีหน้าการแข่งขันในตลาดเบอร์เกอร์ค่อนข้างจะรุนแรงขึ้น หลังจากที่ปีนี้ตลาดรวมคงที่ จากการที่เบอร์เกอร์ คิงและคู่แข่งไม่มีการขยายสาขา ซึ่งแนวทางการทำตลาดในปีหน้าบริษัทฯจะเน้นกลยุทธ์ทางการตลาดที่ช่วยกระตุ้นยอดขาย ไม่มีแผนที่จะปรับลดราคาลง แต่จะเพิ่มคุณค่าและคุณภาพให้กับสินค้าแทน ควบคู่กับการสร้างตำแหน่งทางการตลาดของเบอร์เกอร์ คิงในฐานะที่เป็นแบรนด์พรีเมี่ยม
ประกอบกับปี2548 บริษัทฯ เตรียมขยายสาขาเบอร์เกอร์ คิงเพิ่มอีก 4-5 แห่งทั่วประเทศ เล็งเปิดที่ภาคใต้ประมาณ 1-2 แห่ง โดยสาขาที่จะเปิดจะเน้นเปิดร้านใน โดยใช้งบลงทุนรวมประมาณ 40 ล้านบาท จากปัจจุบันเบอร์เกอร์ คิงมี 16 สาขา ซึ่งขณะนี้มีแผนทยอยปรับปรุงทุกแห่งด้วยงบสาขาละ 2-4 ล้านบาท
ในปีหน้าเบอร์เกอร์ คิงเตรียมออกแคมเปญและผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคมากขึ้น เช่น เบอร์เกอร์พรีเมี่ยมเนื้อและไก่ ,ชุดครัวซองอาหารเช้า และบริการเบอร์เกอร์ตามสั่งสามารถเลือกส่วนผสมได้ ซึ่งเฉลี่ยภายใน 1 ปีบริษัทฯจะออกเมนูใหม่ 2 เดือนต่อ 1เมนูทั้งกลุ่มเบอร์เกอร์และสแน็ค ซึ่งค่าใช้จ่ายลูกค้าคนละ 100-130 บาทต่อครั้ง
“ปีนี้ที่เบอร์เกอร์ คิงเงียบเพราะเราไม่ค่อยทำตลาดมาก เนื่องจากเราไม่มีสาขามากเท่ากับแมคโดนัลด์ แต่ถ้าจะไปทุ่มงบทางการตลาดมากๆก็ไม่คุ้ม ซึ่งงบตลาดของเบอร์เกอร์ คิงจะใช้ปีละ 7-8% ของยอดขาย รวมถึงในปีนี้เราไม่ได้เปิดสาขาเพิ่ม เพราะมัวแต่ปรับเรื่องโอเปอร์เรชั่นทุกสาขา” ผู้จัดการทั่วไปเบอร์เกอร์ คิงกล่าว
ล่าสุดเพื่อเป็นการฉลองที่เบอร์เกอร์ คิงของบริษัทแม่ที่ครบรอบ 50 ปี รวมถึงต้อนรับเทศกาลคริสมาสต์และปีใหม่ บริษัทฯ จึงได้จัดโปรโมชั่นพิเศษให้แก่ลูกค้า เช่น มอบส่วนลด และซื้ออาหารชุดจะได้รับคูปองชิงโชค เป็นต้น
สำหรับภาพรวมตลาดเบอร์เกอร์ปีนี้คงที่ โดยมูลค่าตลาดรวมเบอร์เกอร์ปีนี้มียอด 2,100 ล้านบาท ผู้นำตลาดยังคงเป็นแมคโดนัลด์ ส่วนเบอร์เกอร์ คิงมีส่วนแบ่งทางการตลาด 15% คาดปีหน้าเพิ่มเป็น17% โดยผลประกอบการปีนี้ของเบอร์เกอร์ คิงถือว่าโตขึ้น 20% ในรอบ 10 ปี จากการบริการของพนักงานในร้านที่ได้มาตรฐานเดียวกันทั่วโลก บรรยากาศในร้าน และคุณภาพของสินค้า คาดว่าปีหน้าจะโตขึ้นกว่า 20-30%