ประชาธิปัตย์แฉนโยบายทูตเชิงรุกของรัฐบาลทักษิณ แฝงไว้ด้วยสารพัดผลประโยชน์ทับซ้อน ชี้ 4 ปีกวาดเงินเข้าเครือชินฯ มหาศาล
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรประชาธิปัตย์ กล่าวว่า 4 ปีของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถือว่าเป็น 4 ปีแห่งนโยบายการทูตเชิงรุกที่พ่วงผลประโยชน์ทับซ้อน ทุจริตเชิงนโยบาย โดยเฉพาะการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่เอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจในครอบครัวของนายกรัฐมนตรี และนักการเมือง และเครือญาติ ซึ่งเป็นคนในรัฐบาลหลายครั้งที่มีการลงนามทำข้อตกลงกับต่างประเทศ หรือการไปเยือนต่างประเทศ มักมีข้อกล่าวหาว่ามีการเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของนายกฯเสมอ
นายองอาจ กล่าวว่า การไปเยือนสหรัฐฯระหว่างวันที่ 13-19 ธ.ค.44 มีคำถามหลังจากที่นายกฯเดินทางกลับ กรณีที่บริษัทในเครือชินคอร์ป ไปขอกู้เงินจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งสหรัฐฯ จำนวน 350 ล้านเหรียญสหรัฐฯ การไปเยือนอินเดีย 2 ครั้ง คือช่วง 26-29พ.ย.44 และวันที่ 1ก.พ.45 เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังจากนายกฯเดินทางกลับ กรมกิจการอวกาศแห่งอินเดีย ได้ตัดสินใจต่อสัญญาการใช้ช่องสัญญาณดาวเทียมไทยคมออกไปอีก 6 เดือน หลังจากก่อนหน้านี้มีข่าวทำนองว่าหน่วยงานดังกล่าวอาจไม่ต่อสัญญากับชินแซท ทำให้เสียรายได้ 467ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีการตั้งข้อสังเกตในกรณีการหาตลาดล่วงหน้า ในโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์-1(ไทยคม 4) ที่มีมูลค่าการลงทุนราว 14,000 ล้านบาท มีกำหนดปล่อยขึ้นสู่วงโคจรในต้นปี 48 ซึ่งถือเป็นโครงการยักษ์ และเดิมพันสูงของบริษัทชินแซท เพราะมีเป้าหมายจะเป็นหนึ่งในย่านเอเซีย-แปซิฟิก
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การไปเยือนพม่าในวันที่ 3 ก.ย.44 ของนายกฯได้ลงนามในสัญญาการให้บริการดาวเทียมไทยคม และสัญญาจัดซื้ออุปกรณ์ภาคพื้นดินกับบริษัทบากัน ไซเบอร์เทค ไอดีซี แอนด์ เทเลพอร์ต จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทกึ่งรัฐบาลของพม่า มีคนในรัฐบาลพม่าถือหุ้นใหญ่ ในจำนวนนี้คือบุตรชายของ พล.อ.ขิ่น ยุ้นต์ อดีตนายกฯพม่า
ซึ่งปัจจุบันถูกโค่นอำนาจ เพราะปัญหาคอร์รัปชั่น นอกจากนี้ ในการประชุมความร่วมมือกรอบยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ หรือ อีซีเอส ซึ่งเป็นความร่วมมือไทย ลาว พม่า กัมพูชา เมื่อเดือนพ.ย.46 ทำให้รัฐบาลพม่าขอรับการสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ในลักษณะเงินกู้ผ่อนปรน หรือซอฟท์โลนในรูปเงินบาทจากรัฐบาลไทยผ่านธนาคารส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย(ธสน.)จำนวน 740 ล้านบาท ระยะเวลาชำระ 20-30 ปี
สำหรับจัดหาอุปกรณ์และสร้างสถานีภาคพื้นดิน(เกตเวย์)ดาวเทียมบอร์ดแบนด์ รองรับบริการโทรศัพท์ไร้สายในพม่า และยังได้เสนอขอเงินกู้และเงินให้เปล่าอีก 222 ล้านบาท เพื่อใช้ในการพัฒนาระบบสื่อสารโทรคมนาคมในประเทศโดยระบุชื่อ 2 บริษัท คือ บริษัท บากันฯ และบริษัทสื่อสารยักษ์ใหญ่ในประเทศไทย เป็นซัพพลายเออร์ ได้รับคัดเลือก
ล่าสุด การเดินทางไปเยือนพม่าเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.47 ที่มีการเข้าเจรจากับ พล.อ.อาวุโส ตาน ฉ่วย ผู้นำสูงสุดของพม่าในลักษณะเช้าไปเย็นกลับ เป็นช่วงที่พม่าเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่ และเปลี่ยนแปลงนายกฯ จาก พล.อ.ขิ่น ยุ้นต์ มาเป็น พล.ท.โซ วิน ท่ามกลางกระแสข่าวว่ารัฐบาลพม่าอาจทบทวนสัญญาสัมปทานโครงการโทรคมนาคม กับบริษัทยักษ์ใหญ่ของไทยที่ทำธุรกิจร่วมกับลูกชายพล.อ.ขิ่น ยุ้นต์
สำหรับการเดินทางไปเยือนจีน ระหว่าง 11-12 เม.ย.45 หลังจากก่อนหน้านี้ไป เยือนมาแล้ว 2 ครั้ง เป็นไปท่ามกลางข้อสังสัยในการเจรจาระหว่างบริษัม ชินแซทกับจีน เพื่อขอให้จีนย้ายองศาดาวเทียม ป้องกันการทับซ้อนของสัญญาณระหว่างไอพีสตาร์ ของชินแซท กับเอเชียแซท ของจีน ที่ใช้เวลาในการเจรจามานาน แต่ไม่สำเร็จ
เมื่อถึงกลางเดือนเม.ย.45 หลังจากนายกฯเดินทางกลับจากประเทศจีน บริษัท ชิน แซทเทิลไลท์ แถลงว่า ทางการจีนยอมย้ายองศาดาวเทียมของจีน จาก 121 องศา เป็น 122 องศา ขณะที่ไอพีสตาร์ อยู่ที่เดิมคือ 120 องศา ตามาด้วยข่าวที่ทางการไทยบังคับให้กองทัพเรือ สั่งต่อเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งโอพีวี 2 ลำ มูลค่า 3,500 ล้านบาท จากจีน ทั้งที่กองทัพเรือไม่พอใจ เพราะต้องการต่อเรือเอง เพื่อพัฒนาศักยภาพของกองทัพเรือด้วยตัวเอง
สำหรับการเยือนบังคลาเทศ 2 ครั้ง ในวันที่ 8 ก.ค.45และ วันที่ 12 ธ.ค.45 มีข้อกล่าวหาว่า มีการใช้การเมืองบีบบริษัท การบินไทย ให้เปิดเที่ยวบินเชียงใหม่-จิตตะกอง เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในบังคลาเทศ ส่งผลให้บริษัทการบินไทย ขาดทุนในเที่ยวบินนี้ เพราะมีผู้โดยสารน้อยมาก ซึ่งพบว่าในช่วงเวลานั้น บริษัท ชิน แซทฯ ให้บริการไทยคมครอบคลุมบังคลาเทศ
ทั้งนี้เห็นได้ว่า กรณีที่เกิดขึ้น มีการเจรจาทำข้อผูกพันในช่วง 4 ปี ของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นการสะท้อนและชี้ให้เห็นว่า การดำเนินนโยบายที่มักอ้างว่าเชิงรุกเป็นการเอื้อประโยชน์ใครกันแน่ และการที่นายกฯมักอ้างว่า เป็นผู้นำคนแรกที่ไปต่างประเทศมากที่สุดก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าภาคภูมิใจ เพราะจำนวนประเทศจะมากหรือน้อยไม่สำคัญมากกว่าการที่สังคมมีข้อสงสัยว่ามีผลทางธุรกิจส่วนตัวแอบแฝงมาด้วยทุกครั้ง
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรประชาธิปัตย์ กล่าวว่า 4 ปีของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถือว่าเป็น 4 ปีแห่งนโยบายการทูตเชิงรุกที่พ่วงผลประโยชน์ทับซ้อน ทุจริตเชิงนโยบาย โดยเฉพาะการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่เอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจในครอบครัวของนายกรัฐมนตรี และนักการเมือง และเครือญาติ ซึ่งเป็นคนในรัฐบาลหลายครั้งที่มีการลงนามทำข้อตกลงกับต่างประเทศ หรือการไปเยือนต่างประเทศ มักมีข้อกล่าวหาว่ามีการเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของนายกฯเสมอ
นายองอาจ กล่าวว่า การไปเยือนสหรัฐฯระหว่างวันที่ 13-19 ธ.ค.44 มีคำถามหลังจากที่นายกฯเดินทางกลับ กรณีที่บริษัทในเครือชินคอร์ป ไปขอกู้เงินจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งสหรัฐฯ จำนวน 350 ล้านเหรียญสหรัฐฯ การไปเยือนอินเดีย 2 ครั้ง คือช่วง 26-29พ.ย.44 และวันที่ 1ก.พ.45 เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังจากนายกฯเดินทางกลับ กรมกิจการอวกาศแห่งอินเดีย ได้ตัดสินใจต่อสัญญาการใช้ช่องสัญญาณดาวเทียมไทยคมออกไปอีก 6 เดือน หลังจากก่อนหน้านี้มีข่าวทำนองว่าหน่วยงานดังกล่าวอาจไม่ต่อสัญญากับชินแซท ทำให้เสียรายได้ 467ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีการตั้งข้อสังเกตในกรณีการหาตลาดล่วงหน้า ในโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์-1(ไทยคม 4) ที่มีมูลค่าการลงทุนราว 14,000 ล้านบาท มีกำหนดปล่อยขึ้นสู่วงโคจรในต้นปี 48 ซึ่งถือเป็นโครงการยักษ์ และเดิมพันสูงของบริษัทชินแซท เพราะมีเป้าหมายจะเป็นหนึ่งในย่านเอเซีย-แปซิฟิก
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การไปเยือนพม่าในวันที่ 3 ก.ย.44 ของนายกฯได้ลงนามในสัญญาการให้บริการดาวเทียมไทยคม และสัญญาจัดซื้ออุปกรณ์ภาคพื้นดินกับบริษัทบากัน ไซเบอร์เทค ไอดีซี แอนด์ เทเลพอร์ต จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทกึ่งรัฐบาลของพม่า มีคนในรัฐบาลพม่าถือหุ้นใหญ่ ในจำนวนนี้คือบุตรชายของ พล.อ.ขิ่น ยุ้นต์ อดีตนายกฯพม่า
ซึ่งปัจจุบันถูกโค่นอำนาจ เพราะปัญหาคอร์รัปชั่น นอกจากนี้ ในการประชุมความร่วมมือกรอบยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ หรือ อีซีเอส ซึ่งเป็นความร่วมมือไทย ลาว พม่า กัมพูชา เมื่อเดือนพ.ย.46 ทำให้รัฐบาลพม่าขอรับการสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ในลักษณะเงินกู้ผ่อนปรน หรือซอฟท์โลนในรูปเงินบาทจากรัฐบาลไทยผ่านธนาคารส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย(ธสน.)จำนวน 740 ล้านบาท ระยะเวลาชำระ 20-30 ปี
สำหรับจัดหาอุปกรณ์และสร้างสถานีภาคพื้นดิน(เกตเวย์)ดาวเทียมบอร์ดแบนด์ รองรับบริการโทรศัพท์ไร้สายในพม่า และยังได้เสนอขอเงินกู้และเงินให้เปล่าอีก 222 ล้านบาท เพื่อใช้ในการพัฒนาระบบสื่อสารโทรคมนาคมในประเทศโดยระบุชื่อ 2 บริษัท คือ บริษัท บากันฯ และบริษัทสื่อสารยักษ์ใหญ่ในประเทศไทย เป็นซัพพลายเออร์ ได้รับคัดเลือก
ล่าสุด การเดินทางไปเยือนพม่าเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.47 ที่มีการเข้าเจรจากับ พล.อ.อาวุโส ตาน ฉ่วย ผู้นำสูงสุดของพม่าในลักษณะเช้าไปเย็นกลับ เป็นช่วงที่พม่าเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่ และเปลี่ยนแปลงนายกฯ จาก พล.อ.ขิ่น ยุ้นต์ มาเป็น พล.ท.โซ วิน ท่ามกลางกระแสข่าวว่ารัฐบาลพม่าอาจทบทวนสัญญาสัมปทานโครงการโทรคมนาคม กับบริษัทยักษ์ใหญ่ของไทยที่ทำธุรกิจร่วมกับลูกชายพล.อ.ขิ่น ยุ้นต์
สำหรับการเดินทางไปเยือนจีน ระหว่าง 11-12 เม.ย.45 หลังจากก่อนหน้านี้ไป เยือนมาแล้ว 2 ครั้ง เป็นไปท่ามกลางข้อสังสัยในการเจรจาระหว่างบริษัม ชินแซทกับจีน เพื่อขอให้จีนย้ายองศาดาวเทียม ป้องกันการทับซ้อนของสัญญาณระหว่างไอพีสตาร์ ของชินแซท กับเอเชียแซท ของจีน ที่ใช้เวลาในการเจรจามานาน แต่ไม่สำเร็จ
เมื่อถึงกลางเดือนเม.ย.45 หลังจากนายกฯเดินทางกลับจากประเทศจีน บริษัท ชิน แซทเทิลไลท์ แถลงว่า ทางการจีนยอมย้ายองศาดาวเทียมของจีน จาก 121 องศา เป็น 122 องศา ขณะที่ไอพีสตาร์ อยู่ที่เดิมคือ 120 องศา ตามาด้วยข่าวที่ทางการไทยบังคับให้กองทัพเรือ สั่งต่อเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งโอพีวี 2 ลำ มูลค่า 3,500 ล้านบาท จากจีน ทั้งที่กองทัพเรือไม่พอใจ เพราะต้องการต่อเรือเอง เพื่อพัฒนาศักยภาพของกองทัพเรือด้วยตัวเอง
สำหรับการเยือนบังคลาเทศ 2 ครั้ง ในวันที่ 8 ก.ค.45และ วันที่ 12 ธ.ค.45 มีข้อกล่าวหาว่า มีการใช้การเมืองบีบบริษัท การบินไทย ให้เปิดเที่ยวบินเชียงใหม่-จิตตะกอง เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในบังคลาเทศ ส่งผลให้บริษัทการบินไทย ขาดทุนในเที่ยวบินนี้ เพราะมีผู้โดยสารน้อยมาก ซึ่งพบว่าในช่วงเวลานั้น บริษัท ชิน แซทฯ ให้บริการไทยคมครอบคลุมบังคลาเทศ
ทั้งนี้เห็นได้ว่า กรณีที่เกิดขึ้น มีการเจรจาทำข้อผูกพันในช่วง 4 ปี ของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นการสะท้อนและชี้ให้เห็นว่า การดำเนินนโยบายที่มักอ้างว่าเชิงรุกเป็นการเอื้อประโยชน์ใครกันแน่ และการที่นายกฯมักอ้างว่า เป็นผู้นำคนแรกที่ไปต่างประเทศมากที่สุดก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าภาคภูมิใจ เพราะจำนวนประเทศจะมากหรือน้อยไม่สำคัญมากกว่าการที่สังคมมีข้อสงสัยว่ามีผลทางธุรกิจส่วนตัวแอบแฝงมาด้วยทุกครั้ง


