xs
xsm
sm
md
lg

อริยสัจการเมืองจีน(10)ทำปัจจัยให้พร้อม

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

พุทธศาสนายึดถือหลักเหตุปัจจัย หรือ "กฎปฏิจจสมุปบาท" ที่ว่า "เมื่ออันนี้มี อันนี้จึงมี ; เมื่ออันนี้ไม่มี อันนี้ก็ไม่มี. เพราะอันนี้เกิด อันนี้จึงเกิด; เพราะอันนี้ดับ อันนี้ก็ดับ" (พระธรรมปิฎก/ป.อ.ปยุตฺโต, พุทธศาสนา ในฐานะเป็นรากฐานของวิทยาศาสตร์ หน้า 84) การจะเกิดมีสิ่งใหม่หรือปราฏการณ์ใหม่ๆ จะต้องเป็น "ผล" ของ "เหตุ" อย่างใดอย่างหนึ่ง มิใช่อุบัติขึ้นลอยๆ

กระนั้นก็ตาม กระบวนการขับเคลื่อนของ "เหตุ" และ "ผล" นี้ ในความเป็นจริง มักจะมีความสลับซับซ้อนมากกว่าที่เราคิด เช่น จะมีตัว "เหตุ" เข้าร่วมกระบวนการขับเคลื่อนจำนวนหนึ่ง ซึ่งในจำนวนนั้นมีทั้งเหตุหลักและเหตุรอง ทั้งเหตุภายในและเหตุภายนอก แสดงบทบาทเกื้อกูลให้แก่การขับเคลื่อนของสิ่ง จากจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่ง จากสภาวะหนึ่งไปสู่สภาวะหนึ่ง พัฒนาเปลี่ยนแปลงตนเองไปเรื่อยๆ

ด้วยหลักคิด (ที่สะท้อนถึงกฎปฏิจจสมุปบาท)ดังกล่าว ชาวพุทธทั่วไปจึงให้ความสำคัญกับการทำปัจจัยให้พร้อม สำหรับเป็น "เหตุ" ที่เพียงพอสำหรับการเกิด "ผล" ที่เราต้องการ

หลักคิดนี้ตรงกันกับวิธีคิดของชาวมาร์กซิสม์ เป็นวิธีคิดที่เป็น "วิทยาศาสตร์" เข้าถึงกฎเกณฑ์หรือ "กระบวนธรรม" การพัฒนาของสรรพสิ่ง รวมทั้งจิตใจของคนเรา

บนพื้นฐานอันเป็น "เหตุปัจจัย" นี้ ก็จะนำไปสู่การเกิดขึ้นของ "มรรค" สำหรับการปฏิบัติตนอย่างถูกต้อง สอดคล้องกับกฎเกณฑ์แห่งความเป็นจริง ในทางสังคมก็คือนำไปสู่สภาวะที่เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น ประชาชนมีความสุขสมบูรณ์มากขึ้น

ปัจจุบัน พรรคคอมมิวนิสต์จีนเรียนรู้และสามารถใช้หลักคิดดังกล่าวชี้นำการปฏิบัติของตนได้อย่างชำนิชำนาญ ยังผลให้สังคมจีนพัฒนาก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและอย่าง "รอบด้าน" ซึ่งจะสั่งสมเป็น "เหตุปัจจัย" ให้ประชาชนจีนสามารถพัฒนาตนเองได้อย่าง "รอบด้าน" ไปในตัว (และจะหันกลับมาประกอบเข้าเป็น "เหตุปัจจัย" ให้แก่การพัฒนาก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งของสังคมจีนต่อไป)

ยึดมั่นในอุดมการณ์ มุ่งมั่นทำปัจจัยให้พร้อม

เมื่อศึกษาดูพัฒนาการทางวิธีคิดวิธีทำงานของชาวพรรคคอมมิวนิสต์จีน ก็พบว่า พวกเขา "ยึดมั่น"ในอุดมการณ์ลัทธิมาร์กซ์อย่างแน่วแน่ และ "มุ่งมั่น" อย่างยิ่งในการสร้างเหตุปัจจัยให้พร้อมสำหรับการขับเคลื่อนของสังคมจีน

ความ "ยึดมั่น" และ "มุ่งมั่น" นี้ มีปรากฏให้เห็นโดยตลอด ตั้งแต่พวกเขาก่อตั้งพรรคขึ้นมาในปี ค.ศ. 1921

วิเคราะห์ตามหลักเหตุปัจจัย "ความยึดมั่น" ในอุดมการณ์ลัทธิมาร์กซ์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็น "ผล" ของการเคลื่อนไหวต่อสู้ ของประชาชนจีนนับตั้งแต่สงครามฝิ่นเป็นต้นมา ส่วน "ความมุ่งมั่น" ในการสร้างเหตุปัจจัยให้พร้อม ก็เป็น "ผล" จากการเรียนรู้และรับรู้ในท่ามกลางการเคลื่อนไหวต่อสู้ของประชาชนจีน ที่ประสานเข้ากับปรัชญามาร์กซิสม์ (วัตถุนิยมวิภาษ และวัตถุนิยมประวัติศาสตร์) ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะตั้งแต่ปี ค.ศ. 1921 ภายหลังการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน

ก่อนหน้าที่คนจีนจะรับเอาลัทธิมาร์กซ์เป็นทฤษฎีชี้นำการปฏิบัติ พวกเขาได้เพียรพยายามดำเนินการเคลื่อนไหว เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมไปในทางที่ดีขึ้น แต่ก็ต้องเผชิญกับการขัดขวาง กำราบปราบปรามจากราชวงศ์ชิง และกลุ่มขุนศึกที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์มหาอำนาจต่างชาติ ประสบกับความพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า

ดังที่เหมาเจ๋อตงได้พรรณนาไว้ในบทนิพนธ์ "ว่าด้วยประชาธิไตยแบบเผด็จการของประชาชน" ดังนี้

"นับแต่ความปราชัยในสงครามฝิ่นปี ค.ศ. 1840 เป็นต้นมา ชาวจีนผู้ก้าวหน้าได้เพียรพยายามค้นหาสัจธรรมจากโลกตะวันตก ทั้งหงสิ้วฉวน คังอิ่วเหวย เอี๋ยนฟู่ และซุนจงซาน คือตัวแทนประชาชนจีนทั้งมวลในการแสวงหาสัจธรรมจากโลกตะวันตก ในช่วงก่อนการเกิดขึ้นของพรรคคอมมิวนิสต์จีน

ในระยะนั้น ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีอะไร ขอแต่ให้เป็นของตะวันตก ชาวจีนผู้ก้าวหน้าจะอ้าแขนรับอย่างเต็มที่ มีการส่งนักเรียนจีนไปเรียนต่อในต่างประเทศจำนวนมากมาย ทั้งที่ญี่ปุ่น อังกฤษ สหรัฐฯ ฝรั่งเศส เยอรมนี ขณะเดียวกันก็เร่งปรับปฏิรูประบบราชการ การเรียนการสอนจากแบบโบราณมาเป็นแบบสมัยใหม่ มีการก่อตั้งโรงเรียนสมัยใหม่เกิดขึ้นมากมายทั่วประเทศ...

สรุปคือคนจีนมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะศึกษาเรียนรู้จากโลกตะวันตก ซึ่งก็คือวัฒนธรรมประชาธิปไตยของชนชั้นทุนนายทุนของโลกตะวันตก หรือที่เรียกกันว่า "วิชาใหม่" ทั้งที่เป็นสังคมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ตรงกันข้ามกับ "วิชาเก่า" แบบศักดินาในยุคนั้นอย่างสิ้นเชิง"

ผู้คนที่รับเอาวิชาใหม่แบบตะวันตกมาใช้ ล้วนแต่สำคัญว่า วิชาเหล่านั้นจะสามารถช่วยกอบกู้ประเทศจีนได้ ดังนั้น จึง "ยึดมั่น" ในแนวคิดที่ว่า จะพัฒนาตนเอง ก็ต้องศึกษาจากตะวันตก ใช้วิชาการของตะวันตก และ "มุ่งมั่น" อย่างยิ่งที่จะพัฒนาปฏิรูปตนเองตามอย่างประเทศตะวันตก ดังเช่นที่ญี่ปุ่นได้ทำสำเร็จมาแล้ว

แต่แล้ว พวกเขาก็ต้องผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า จากการกำราบปราบปรามของกลุ่มอำนาจปกครอง ตัวแทนผลประโยชน์เจ้าที่ดิน มหาอำนาจต่างชาติและทุนขุนนาง ยังผลให้กระบวนการเปลี่ยนแปลงสะดุด ประเทศจีนยังคงเวียนว่ายอยู่ในความล้าหลัง ประชาชนจีนยากจนข้นแค้นเช่นเดิม

เมื่อสิ้นหวังจากการแสวงหาสัจธรรมทุนนิยมตะวันตก ชาวจีนหัวก้าวหน้าก็หันไปสนใจลัทธิมาร์กซ์ มีการศึกษาค้นคว้าทั้งจากภาษาเยอรมันและภาษาอังกฤษ และแปลเป็นภาษาจีนเผยแพร่ไปในกลุ่มคนจีนระดับต่างๆ แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นปัญญาชนในเมืองใหญ่เช่นเซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง กว่างโจว เป็นต้น จนกระทั่งเกิดการปฏิวัติรัสเซีย ชาวจีนจึงเกิดความหวังขึ้นอีกครั้งว่า สัจธรรมลัทธิมาร์กซ์จะเป็นทางออกของประเทศจีนและประชาชนจีนได้ในที่สุด

จาก "คัมภีร์" เป็น "เครื่องมือ"

ภายหลังชัยชนะของการปฏิวัติรัสเซียในปี ค.ศ.1917 คนจีนหัวก้าวหน้าพากันหันมาสนใจศึกษาทฤษฎีลัทธิมาร์กซ์กันมากขึ้น โดยรวมกันเป็นกลุ่มๆ ทั้งในประเทศและนอกประเทศ ประสานเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย แสดงบทบาทชี้นำในการเคลื่อนไหว "4 พฤษภา" ค.ศ. 1919 ปลุกเร้าคนจีนทั้งประเทศให้ตื่นตัวขึ้นมาต่อสู้เพื่อความเป็นอิสระเป็นตัวของตัวเอง

ทั้งหมดจึงประกอบกันเข้าเป็น "เหตุปัจจัย" ที่นำไปสู่การก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนในปี ค.ศ. 1921 โดยมีบุคคลที่เป็นแกนนำไม่กี่คน (13 คนจากสมาชิกพรรคฯทั้งหมด 53 คน) เข้าร่วมประชุมสมัชชาพรรคครั้งที่หนึ่งที่นครเซี่ยงไฮ้เมื่อราววันที่ 1 ก.ค. 1921 ออกแถลงการณ์ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนอย่างเป็นทางการ

อย่างไรก็ดี ในระยะแรกๆ ของการเคลื่อนไหวปฏิวัติตามแนวคิดลัทธิมาร์กซ์ พรรคฯ จีนมีปัญหาเรื่องการใช้ทฤษฎีชี้นำเป็นอย่างยิ่ง ยังผลให้เกิดอุปสรรคและประสบความล้มเหลวหลายครั้งหลายหน

นั่นคือ พวกเขายังถือลัทธิมาร์กซ์เป็นคัมภีร์ ไม่ใช่ลัทธิมาร์กซ์เป็นเครื่องมือ จึง "เข้าไม่ถึง" ความจริงหรือลักษณะและกฎเกณฑ์การพัฒนาของสังคมจีน พวกเขายังถือเอาการปฏิวัติรัสเซียเป็นแม่แบบการเคลื่อนไหวต่อสู้ เน้นการลุกขึ้นสู้ในเมือง ซึ่งทั้งหมดตั้งอยู่บนพื้นฐานความต้องการทางอัตวิสัย มิใช่ดำเนินไปตามกฎภววิสัยของสังคมจีน

จนกระทั่งต่อมา เหมาเจ๋อตงและกลุ่มผู้นำพรรคอีกจำนวนหนึ่ง (รวมทั้งเติ้งเสี่ยวผิง) ได้นำเสนอแนวทางการปฏิวัติบนพื้นฐานของการศึกษาค้นคว้าวิเคราะห์สังคมจีน ระบุชัดว่า สังคมจีนเป็นสังคมกึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินา จะต้องดำเนินการปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตย มิใช่ดำเนินการปฏิวัติสังคมนิยม เฉกเช่นที่เป็นไปในรัสเซีย (รัสเซียเป็นสังคมทุนนิยมแล้ว)

คู่ความขัดแย้งหลักที่จะต้องแก้ให้ตกไปมิใช่ระหว่างกรรมกรจีนกับนายทุนจีน แต่เป็นระหว่างประชาชาติจีนกับมหาอำนาจต่างชาติ ระหว่างประชาชนจีนกับศักดินานิยมและทุนนิยมขุนนาง ซึ่งเกี่ยวก้อยอยู่กับมหาอำนาจต่างชาติ

พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะต้องแสดงบทบาทเป็นแกนนำ จัดตั้งกองกำลังบนฐานของพันธมิตรกรรมกรชาวนา สามัคคีประชาชนคนจีนที่รักชาติรักประชาธิปไตย ไปต่อสู้กับการปราบปรามของกลุ่มอำนาจต่างๆ ที่ครอบงำสังคมจีนเวลานั้น

การต่อสู้ตามแนวเสนอของเหมาเจ๋อตงทำให้การปฏิวัติของจีนพัฒนาขยายตัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นเป็นต้นมา พรรคฯ จีนก็ได้ย้ำเน้นตลอดมาว่า การเคลื่อนไหวปฏิวัติจะต้องใช้ทฤษฎีประสานกับความเป็นจริง ใช้หลักทฤษฎีเป็นเครื่องมือวิเคราะห์สังคม ทฤษฎีประสานกับการปฏิบัติ ทุกอย่างเริ่มจากความเป็นจริง ฯลฯ

ชัยชนะของการปฏิวัติในอดีต และความสำเร็จของการพัฒนาประเทศในปัจจุบัน ได้ตอกย้ำความเชื่อมั่นศรัทธาในทฤษฎีลัทธิมาร์กซ์ในหมู่ชาวพรรคคอมมิวนิสต์จีนยิ่งขึ้นทุกที โดยเฉพาะภายหลังการจัดขบวนแถวครั้งใหญ่เมื่อการเคลื่อนไหวปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรมสิ้นสุดลงพร้อมกับการจากไปของเหมาเจ๋อตง เมื่อปลายทศวรรษ ค.ศ. 1970 พวกเขายิ่งเกิดความเชื่อมั่นในแนวคิดทฤษฎีมาร์กซิสม์ ว่าจะสามารถแสดงบทบาทชี้นำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคมจีนได้ตลอดไป

ทำให้เกิดความกล้าที่จะพัฒนาและสร้างกระบวนการนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นในสังคมจีน ในท่ามกลางสายตาชาวโลก เพื่อบรรลุสู่สังคมอุดมการณ์ ทีละขั้นๆ

อีกนัยหนึ่ง ชาวพรรคฯ จีนไม่ลังเลที่จะยืนหยัด "ชูธง" ลัทธิคอมมิวนิสต์ให้สูงเด่นเสมอ ขณะที่เพียรพยายามอย่างยิ่งในการศึกษาค้นคว้าหา "สัจธรรม" จากความเป็นจริง และเสริมสร้างเหตุปัจจัยให้พร้อมสำหรับการขับเคลื่อนของสังคมจีนไปสู่จุดหมายปลายทางที่ตั้งไว้ ทีละก้าวๆ

หรือจะบอกว่า "ตาหมายดาว เท้าย่ำดิน" ก็ไม่ผิดอะไร

เคารพความจริง สร้างเหตุปัจจัย ใช้โอกาส

เมื่อเราทำการศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง ก็จะพบว่า สิ่งสำคัญที่ชาวพรรคฯจีนเรียนรู้ ก็คือการรู้จักเคารพความเป็นจริง ไม่ยึดติดกับความต้องการทางอัตวิสัยของตนเอง ขณะเดียวกันก็ยึดมั่นในหลักทฤษฎีมาร์กซิสม์ ไม่ละทิ้งอุดมการณ์ ใช้หลักทฤษฎีชี้นำการปฏิบัติ จะได้ไม่สะเปะสะปะหลงทิศผิดทาง

ลัทธิตำรา กางตำราหาคำตอบ เคยพาพวกเขาลงเหวมาแล้ว ขณะที่การอิงประสบการณ์เฉพาะตัวเป็นใหญ่ ทำให้พวกเขาประสบความเสียหายอย่างใหญ่หลวงมาแล้วเช่นเดียวกัน

มีแต่เริ่มจากความเป็นจริง ประสานหลักทฤษฎีเข้ากับความเป็นจริงเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าถึงสัจธรรมหรือกฎเกณฑ์ของสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ภายใน ห่อหุ้มด้วยปรากฏการณ์หรือ "มายาภาพ" หลากหลาย จนสุดที่จะบรรยาย

การเข้าถึงหรือจับได้ "กฎเกณฑ์" การพัฒนาของสิ่ง (ธรรมชาติ สังคม จิตใจ) จะทำให้เรารู้วิธีที่จะเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการหรือกฎเกณฑ์นั้นๆ (เกิดปัญญา เห็นกระบวนธรรม) และนำไปสู่วิธีการปฏิบัติตามเส้นทาง หรือ "มรรค" อันประเสริฐ สามารถแก้ไขปัญหา ให้สังคมหรือตัวเราเองหลุดจากสภาวะเดือดร้อนคับขัน (ทุกข์)ได้เป็นขั้นๆ

โดยหลักการแล้วก็คือ ชาวลัทธิมาร์กซ์ (เฉกเช่นชาวพรรคฯจีน) ไม่เพียงต้องเคารพความจริง ทุกอย่างเริ่มจากความเป็นจริง ใช้หลักทฤษฎีมาร์กซิสม์เป็นเครื่องมือสำหรับการเข้าถึงความจริงเท่านั้น แต่ยังจะต้องเพียรพยายามเสริมสร้างเหตุปัจจัย โดยใช้เงื่อนไขและโอกาสที่มีอยู่อย่างเต็มที่เสมอ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาเปลี่ยนแปลงของสิ่ง สู่จุดหมายปลายทางที่เราตั้งไว้ ได้เป็นขั้นๆ ตลอดไป

อยากกินมะม่วงลูกอวบๆ อร่อยๆ ไม่เพียงต้องรู้จัก (มีปัญญา) คัดพันธุ์มะม่วงที่ดีๆ มาปลูกเท่านั้น ยังต้องรู้จักเลือกที่ปลูก และหมั่นเพียรดูแล ฟูมฟัก รถน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ย ตัดกิ่งก้าน ฯลฯ อย่างสอดคล้องกับ "กฎเกณฑ์" ความเจริญเติบโตของมะม่วงพันธุ์นั้นๆ ด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น