หลังจากที่มหาอำนาจได้เข้าไปมีบทบาทในบางสำนักคิดของศาสนาอิสลามแล้ว ศาสนาอิสลามก็ตกเป็นเป้าหมายในการถูกทำลาย เช่นเดียวกับที่ศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์กำลังประสบอยู่
ลักษณะของการถูกทำลายจะเป็นไปอย่างเดียวกันคือเกิดความแตกแยกภายในและมีระดับที่รุนแรงแตกต่างกันไปตามแต่สถานการณ์ที่จะคิดอ่านเสกสร้างขึ้นได้
ในวันนี้ชาวพุทธในประเทศไทยและชาวพุทธในโลกก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนแล้วว่าพระพุทธศาสนากำลังถูกบ่อนทำลายอยู่ในแทบทุกปริมณฑล
ดาไลลามะได้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อการบ่อนทำลายประเทศจีน โดยอ้างอิงอาศัยศาสนาพุทธบังหน้า เป็นผลให้พระพุทธศาสนาในประเทศจีนต้องกระทบกระเทือนและกว่าที่ประเทศจีนจะกำหนดมาตรการรับมือได้ตรงเป้าเข้าจุด การพัฒนาพระพุทธศาสนาในประเทศจีนก็ต้องล่าช้าไปนานปี
ในแต่ละนิกายของศาสนาพุทธก็บังเกิดลัทธิปลีกย่อยและทำให้เกิดความขัดแย้งกัน สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นก็เกิดขึ้น แต่ที่ร้ายแรงก็คือการทำลายหลักธรรมคำสอนและการบิดเบือนคำสอนที่ผิด ๆ ซึ่งเป็นการทำลายเนื้อตัวของพระศาสนาโดยตรง
ส่วนในศาสนาคริสต์ก็บังเกิดเหตุการณ์ที่ทำลายความศรัทธาของคริสต์ศาสนิกชนอย่างร้ายแรง ด้วยการมีผู้คนผิดเพศแอบแฝงเข้ามาบวชเป็นบาทหลวง แล้วกระทำชำเราย่ำยีเด็ก ๆ และเยาวชน
เฉพาะจำนวนผู้ที่แปลกปลอมเข้าไปบวชเท่าที่ถูกจับได้ในอเมริกาแห่งเดียวก็มีจำนวนกว่า 4,000 คน อย่างนี้แล้วจะทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองและคริสต์ศาสนิกชนไม่กระทบกระเทือนจิตใจได้อย่างไร
ศาสนาอิสลามก็เหมือนกัน แม้ว่าจะมีข้อปฏิบัติที่เข้มงวดและแข็งแกร่ง แต่ก็ถูกแทรกแซงเพื่อบ่อนทำลายไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย
ดังที่ได้กล่าวข้างต้นนั่นแหละ การบ่อนทำลายศาสนาที่ร้ายแรงที่สุดก็คือการทำลายที่หลักธรรมคำสอนอันเป็นเนื้อตัวหัวใจของศาสนา
เพราะเหตุที่ศาสนาอิสลามยึดมั่นในความศรัทธาและความภักดีที่มีต่อพระอัลเลาะห์เป็นเจ้า ดังนั้นจึงมีการใช้ศรัทธาที่บรรดามุสลิมมีต่อพระอัลเลาะห์เป็นเจ้า มีต่อศาสนาอิสลามและพระศาสดานั่นเองไปทำการบิดเบือนหลักธรรมคำสอนโดยมีปฏิบัติการจิตวิทยาทางสื่อมวลชนรณรงค์เข้าช่วย
ศาสนาอิสลามมีศาสนิกที่เป็นเอกภาพและแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศาสนิกของทุกศาสนา ดังนั้นจึงเป็นอันตรายต่ออสูรสงครามมากที่สุด เพราะเหตุนี้จึงเป็นเป้าหมายที่จะถูกทำลายมากที่สุดด้วย
กระบวนการทำลายจึงอาศัยมุสลิมทำลายกันเอง โดยอาศัยศรัทธานั่นแหละเป็นเครื่องมือ ความศรัทธาที่เป็นจุดแข็งจึงเสี่ยงที่จะกลายเป็นจุดอ่อนได้
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดมาหลังสงครามโลกครั้งที่สองก็คือ ด้านหนึ่งเกิดการบิดเบือนคำสอนให้มุ่งใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา ซึ่งเป็นการทำลายที่จิตใจและเนื้อตัวของพระศาสนาโดยตรง และอีกด้านหนึ่งคือการทำให้แตกความสามัคคีภายในเพื่อให้เกิดความขัดแย้งในบรรดาศาสนิกด้วยกันเอง
ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาแห่งสันติ มุสลิมคือผู้แสวงหาสันติ คือสันติทั้งภายในจิตใจของตนเอง ภายในสังคม และต่อโลกภายนอกทั้งปวง แต่กลับถูกบิดเบือนให้กลายเป็นศาสนาแห่งความรุนแรงและใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหา
เกิดเหตุรุนแรงในประเทศอิสลามใดก็ตาม หรือเกิดความรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับมุสลิมในที่ใดก็ตาม สื่อตะวันตกก็จะโหมประโคมว่าเป็นการกระทำของ “มุสลิมหัวรุนแรง” บ้าง หรือไม่ก็สร้างภาพลักษณ์ที่ร้ายหนักไปกว่านั้นด้วยการใช้ถ้อยคำว่า “โจรมุสลิม”
ทั้ง ๆ ที่ความรุนแรงก็ดี คำว่า “โจร” ก็ดี มีอยู่ในทุกพื้นที่ของโลก และมีอยู่กับคนในทุกศาสนาของโลก แต่กลับจงใจใช้เฉพาะกับมุสลิมเท่านั้น นี่คือการสร้างภาพลักษณ์ให้ประชาคมโลกเกลียดชังรังเกียจมุสลิม
บางทียกกองทัพนับหมื่นแสนไปฆ่าฟันชาวมุสลิมในดินแดนอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของเขาแท้ ๆ ก็อ้างว่าไปปราบปรามพวกกบฏ หรือไม่ก็อ้างว่าไปปราบปรามผู้ก่อการร้าย
เหตุการณ์ร้ายมากหลายในโลกถูกเชื่อมโยงว่าเป็นการกระทำของมุสลิมและโหมประโคมทางสื่อมวลชน จนชาวโลกต้องถูกยัดเยียดให้เชื่อว่ามุสลิมเป็นพวกหัวรุนแรงและนิยมใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา
ที่เลือดเย็นยิ่งกว่าก็คือการยุยงส่งเสริมในทำนองสดุดีให้เห็นว่าการก่อความรุนแรงหรือการสร้างความรุนแรงใด ๆ เป็นวีรกรรมของมุสลิม นี่คือการวางยาพิษลงในบรรดาศาสนิกของศาสนาอิสลาม เพื่อให้ทำลายความเป็นมุสลิมในที่สุดนั่นเอง
การทำลายศาสนาต่าง ๆ รวมทั้งศาสนาอิสลามได้แพร่หลายและขยายผลไปอย่างกว้างขวาง จนกลายเป็นกระบวนสำคัญในทางการเมืองทั้งระดับโลก ระดับภูมิภาคและระดับประเทศไปแล้ว
ดังนั้นบรรดาศาสนิกของทุกศาสนาโดยเฉพาะบรรดามุสลิมทั่วโลกจึงควรตั้งความสังเกตในเรื่องนี้ให้ดี
บรรดาผู้นำทางศาสนาอิสลามในประเทศต่าง ๆ ก็ได้สัมผัสและประจักษ์ชัดขึ้นทุกทีว่าการทำลายศาสนาอิสลามกำลังแพร่ขยายตัวไปเหมือนกับที่เกิดขึ้นกับศาสนาอื่น ๆ ดังนั้นกระบวนการตอบโต้และแก้ไขปัญหาจึงเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางทั่วโลกอิสลาม
ผู้นำโลกอิสลามซึ่งก็คือบรรดาผู้นำระดับสูงของศาสนาอิสลามในประเทศต่าง ๆ ได้ดำเนินการร่วมกันเพื่อปกป้องศาสนา ปกป้องศาสนิกอย่างไร เป็นเรื่องที่ชาวมุสลิมจะต้องติดตามอย่าให้คลาดสายตา
การประชุมผู้นำศาสนาอิสลามครั้งใหญ่ในอินโดนีเซียเมื่อเดือนมีนาคมปีนี้ มีผู้นำทางศาสนาจาก 42 ประเทศ กว่า 240 คน มาประชุมกันและมีมติร่วมกันให้ประณามการใช้ความรุนแรง ประณามการก่อการร้าย และเรียกร้องให้การแก้ไขปัญหาทั้งปวงต้องกระทำโดยสันติ รวมทั้งการส่งเสริมสนับสนุนให้มีการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศอิสลามด้วย
การประชุมสภาผู้นำศาสนาอิสลามโลกซึ่งประกอบด้วยผู้นำศาสนาอิสลามจากทุกนิกาย จากทุกสำนักคิด และจากทุกประเทศทั่วโลกที่กรุงเตหะรานประเทศอิหร่าน เมื่อเดือนพฤษภาคม ปีนี้ ก็ได้ลงมติประณามการใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา ประณามการก่อการร้าย ส่งเสริมสนับสนุนให้มีการแก้ไขปัญหาทั้งหลายโดยสันติวิธี และมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอิสลาม ตลอดจนการส่งเสริมการเผยแพร่ศาสนาที่ถูกต้องทั่วโลก
เหล่านี้คือกระบวนการในการต้านรับการบ่อนทำลายศาสนาอิสลามของบรรดาผู้นำศาสนาอิสลามจากทุกนิกายและจากทุกประเทศทั่วโลก เป็นกระบวนการที่กำลังต่อสู้และขับเคี่ยวกับกระบวนการที่บ่อนทำลายศาสนาอิสลามที่พยายามสร้างภาพลักษณ์ศาสนาอิสลามและมุสลิมไปในทางความรุนแรงอย่างมีพลังยิ่ง
การประชุมสันนิบาตประเทศอิสลามโลกหรือ OIC ที่กัวลาลัมเปอร์ ในเวลาไล่เลี่ยกันก็มีมติไปในทางเดียวกัน
ล่าสุดสันนิบาตมุสลิมโลกซึ่งเป็นองค์กรภาคเอกชนของชาวมุสลิมก็ได้ออกแถลงการณ์มติที่ประชุมคณะมนตรีก่อตั้งสันนิบาตมุสลิมโลก ครั้งที่ 38 ซึ่งได้ประชุมที่นครเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ในอุปถัมภ์ของกษัตริย์ฟาฮัดแห่งซาอุดิอาระเบียก็ได้มีมติเป็นอย่างเดียวกัน
เฉพาะที่เกี่ยวกับปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ประชุมมีมติว่า “เรียกร้องชาวมุสลิมทั้งหลายอย่าเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ก่อความไม่สงบ และต้องการที่จะเห็นชาวมุสลิมในประเทศไทยดำรงชีวิตด้วยความสงบสุข”
นั่นเป็นที่มาของการรู้เห็นเหตุการณ์เบื้องหลังกระจ่างชัดว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ปัญหาทางศาสนา และไม่ใช่ปัญหาของมุสลิม แต่เป็นเรื่องของกระบวนการทางการเมืองสองชนิด
ชนิดหนึ่ง คือกระบวนการทางการเมืองที่ต้องการล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และอีกชนิดหนึ่ง คือกระบวนการทางการเมืองที่ต้องการให้ชาติมหาอำนาจบางประเทศเข้ามามีบทบาทครอบงำภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ซึ่งไม่ใช่ผลประโยชน์ของมุสลิมและศาสนาอิสลาม
จึงเป็นเรื่องที่มุสลิมทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกไม่ควรต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว ไม่ควรตกไปเป็นเรื่องมือให้กับผู้บ่อนทำลายศาสนาและอสูรสงครามโดยเด็ดขาด
คนที่ตกเป็นเครื่องมือรับใช้กระบวนการทั้งสองชนิดนั้นมีทั้งพวกที่เป็นไทยพุทธและไทยมุสลิม ซึ่งปัจจุบันนี้เขาไม่ได้มีฐานะเป็นพุทธศาสนิกชนหรือเป็นมุสลิมอีกต่อไปแล้ว เพราะเขาได้เปลี่ยนฐานะของตัวเองไปเป็นสาวกของอสูรสงครามที่มุ่งทำลายศาสนาและเพื่อนมนุษย์ โดยฝ่าฝืนต่อหลักธรรมคำสอนในศาสนาอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต
ความจริงเรื่องเหล่านี้ควรจะถูกเปิดเผยขยายผลให้ประชาชนชาวไทยได้รับรู้ทั้งประเทศ แต่ก็น่าแปลกประหลาดใจที่หามีใครใส่ใจไม่
เป็นที่น่ายินดีว่าหลังจากมีพระราชเสาวนีย์ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ แล้ว นายภานุ อุทัยรัตน์ ประธานชมรมนักวิทยุสมัครเล่น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ดำเนินการสนองพระราชเสาวนีย์อย่างเป็นรูปธรรม
นายภานุ อุทัยรัตน์ ประธานชมรมนักวิทยุสมัครเล่น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้เปิดเผยว่าได้จัดทำป้ายคัตเอาท์ขนาดกว้าง 4 เมตร ยาว 3 เมตร ไปติดตามสถานที่ต่าง ๆ ในจังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาส บอกกล่าวถึงมติองค์การสันนิบาตมุสลิมโลกตามแถลงการณ์ของการประชุมครั้งที่ 38 ว่า “ชาวมุสลิมทั้งหลายอย่าเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ก่อความไม่สงบ และต้องการที่จะเห็นชาวมุสลิมในประเทศไทยดำรงชีวิตด้วยความสงบ”
แม้ว่ามติดังกล่าวนั้นจะเป็นเพียงมติขององค์กรภาคเอกชน แต่ก็เป็นมติที่เป็นอย่างเดียวกันกับมติของที่ประชุมผู้นำศาสนาอิสลามทั่วโลกและเป็นอย่างเดียวกันกับมติของที่ประชุมสันนิบาตประเทศอิสลามโลกด้วย
ผู้นำศาสนาอิสลามระดับต่าง ๆ ทุกสำนักคิดในประเทศไทย สื่อมวลชนมุสลิมทั่วโลก และหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทยจึงควรต้องขอบคุณชมรมนักวิทยุสมัครเล่นฯ ดังกล่าว และควรที่จะได้ขยายผลของมติดังกล่าวเพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการในการต่อต้านการบ่อนทำลายศาสนาที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในโลกปัจจุบันด้วย.
ลักษณะของการถูกทำลายจะเป็นไปอย่างเดียวกันคือเกิดความแตกแยกภายในและมีระดับที่รุนแรงแตกต่างกันไปตามแต่สถานการณ์ที่จะคิดอ่านเสกสร้างขึ้นได้
ในวันนี้ชาวพุทธในประเทศไทยและชาวพุทธในโลกก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนแล้วว่าพระพุทธศาสนากำลังถูกบ่อนทำลายอยู่ในแทบทุกปริมณฑล
ดาไลลามะได้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อการบ่อนทำลายประเทศจีน โดยอ้างอิงอาศัยศาสนาพุทธบังหน้า เป็นผลให้พระพุทธศาสนาในประเทศจีนต้องกระทบกระเทือนและกว่าที่ประเทศจีนจะกำหนดมาตรการรับมือได้ตรงเป้าเข้าจุด การพัฒนาพระพุทธศาสนาในประเทศจีนก็ต้องล่าช้าไปนานปี
ในแต่ละนิกายของศาสนาพุทธก็บังเกิดลัทธิปลีกย่อยและทำให้เกิดความขัดแย้งกัน สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นก็เกิดขึ้น แต่ที่ร้ายแรงก็คือการทำลายหลักธรรมคำสอนและการบิดเบือนคำสอนที่ผิด ๆ ซึ่งเป็นการทำลายเนื้อตัวของพระศาสนาโดยตรง
ส่วนในศาสนาคริสต์ก็บังเกิดเหตุการณ์ที่ทำลายความศรัทธาของคริสต์ศาสนิกชนอย่างร้ายแรง ด้วยการมีผู้คนผิดเพศแอบแฝงเข้ามาบวชเป็นบาทหลวง แล้วกระทำชำเราย่ำยีเด็ก ๆ และเยาวชน
เฉพาะจำนวนผู้ที่แปลกปลอมเข้าไปบวชเท่าที่ถูกจับได้ในอเมริกาแห่งเดียวก็มีจำนวนกว่า 4,000 คน อย่างนี้แล้วจะทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองและคริสต์ศาสนิกชนไม่กระทบกระเทือนจิตใจได้อย่างไร
ศาสนาอิสลามก็เหมือนกัน แม้ว่าจะมีข้อปฏิบัติที่เข้มงวดและแข็งแกร่ง แต่ก็ถูกแทรกแซงเพื่อบ่อนทำลายไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย
ดังที่ได้กล่าวข้างต้นนั่นแหละ การบ่อนทำลายศาสนาที่ร้ายแรงที่สุดก็คือการทำลายที่หลักธรรมคำสอนอันเป็นเนื้อตัวหัวใจของศาสนา
เพราะเหตุที่ศาสนาอิสลามยึดมั่นในความศรัทธาและความภักดีที่มีต่อพระอัลเลาะห์เป็นเจ้า ดังนั้นจึงมีการใช้ศรัทธาที่บรรดามุสลิมมีต่อพระอัลเลาะห์เป็นเจ้า มีต่อศาสนาอิสลามและพระศาสดานั่นเองไปทำการบิดเบือนหลักธรรมคำสอนโดยมีปฏิบัติการจิตวิทยาทางสื่อมวลชนรณรงค์เข้าช่วย
ศาสนาอิสลามมีศาสนิกที่เป็นเอกภาพและแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศาสนิกของทุกศาสนา ดังนั้นจึงเป็นอันตรายต่ออสูรสงครามมากที่สุด เพราะเหตุนี้จึงเป็นเป้าหมายที่จะถูกทำลายมากที่สุดด้วย
กระบวนการทำลายจึงอาศัยมุสลิมทำลายกันเอง โดยอาศัยศรัทธานั่นแหละเป็นเครื่องมือ ความศรัทธาที่เป็นจุดแข็งจึงเสี่ยงที่จะกลายเป็นจุดอ่อนได้
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดมาหลังสงครามโลกครั้งที่สองก็คือ ด้านหนึ่งเกิดการบิดเบือนคำสอนให้มุ่งใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา ซึ่งเป็นการทำลายที่จิตใจและเนื้อตัวของพระศาสนาโดยตรง และอีกด้านหนึ่งคือการทำให้แตกความสามัคคีภายในเพื่อให้เกิดความขัดแย้งในบรรดาศาสนิกด้วยกันเอง
ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาแห่งสันติ มุสลิมคือผู้แสวงหาสันติ คือสันติทั้งภายในจิตใจของตนเอง ภายในสังคม และต่อโลกภายนอกทั้งปวง แต่กลับถูกบิดเบือนให้กลายเป็นศาสนาแห่งความรุนแรงและใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหา
เกิดเหตุรุนแรงในประเทศอิสลามใดก็ตาม หรือเกิดความรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับมุสลิมในที่ใดก็ตาม สื่อตะวันตกก็จะโหมประโคมว่าเป็นการกระทำของ “มุสลิมหัวรุนแรง” บ้าง หรือไม่ก็สร้างภาพลักษณ์ที่ร้ายหนักไปกว่านั้นด้วยการใช้ถ้อยคำว่า “โจรมุสลิม”
ทั้ง ๆ ที่ความรุนแรงก็ดี คำว่า “โจร” ก็ดี มีอยู่ในทุกพื้นที่ของโลก และมีอยู่กับคนในทุกศาสนาของโลก แต่กลับจงใจใช้เฉพาะกับมุสลิมเท่านั้น นี่คือการสร้างภาพลักษณ์ให้ประชาคมโลกเกลียดชังรังเกียจมุสลิม
บางทียกกองทัพนับหมื่นแสนไปฆ่าฟันชาวมุสลิมในดินแดนอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของเขาแท้ ๆ ก็อ้างว่าไปปราบปรามพวกกบฏ หรือไม่ก็อ้างว่าไปปราบปรามผู้ก่อการร้าย
เหตุการณ์ร้ายมากหลายในโลกถูกเชื่อมโยงว่าเป็นการกระทำของมุสลิมและโหมประโคมทางสื่อมวลชน จนชาวโลกต้องถูกยัดเยียดให้เชื่อว่ามุสลิมเป็นพวกหัวรุนแรงและนิยมใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา
ที่เลือดเย็นยิ่งกว่าก็คือการยุยงส่งเสริมในทำนองสดุดีให้เห็นว่าการก่อความรุนแรงหรือการสร้างความรุนแรงใด ๆ เป็นวีรกรรมของมุสลิม นี่คือการวางยาพิษลงในบรรดาศาสนิกของศาสนาอิสลาม เพื่อให้ทำลายความเป็นมุสลิมในที่สุดนั่นเอง
การทำลายศาสนาต่าง ๆ รวมทั้งศาสนาอิสลามได้แพร่หลายและขยายผลไปอย่างกว้างขวาง จนกลายเป็นกระบวนสำคัญในทางการเมืองทั้งระดับโลก ระดับภูมิภาคและระดับประเทศไปแล้ว
ดังนั้นบรรดาศาสนิกของทุกศาสนาโดยเฉพาะบรรดามุสลิมทั่วโลกจึงควรตั้งความสังเกตในเรื่องนี้ให้ดี
บรรดาผู้นำทางศาสนาอิสลามในประเทศต่าง ๆ ก็ได้สัมผัสและประจักษ์ชัดขึ้นทุกทีว่าการทำลายศาสนาอิสลามกำลังแพร่ขยายตัวไปเหมือนกับที่เกิดขึ้นกับศาสนาอื่น ๆ ดังนั้นกระบวนการตอบโต้และแก้ไขปัญหาจึงเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางทั่วโลกอิสลาม
ผู้นำโลกอิสลามซึ่งก็คือบรรดาผู้นำระดับสูงของศาสนาอิสลามในประเทศต่าง ๆ ได้ดำเนินการร่วมกันเพื่อปกป้องศาสนา ปกป้องศาสนิกอย่างไร เป็นเรื่องที่ชาวมุสลิมจะต้องติดตามอย่าให้คลาดสายตา
การประชุมผู้นำศาสนาอิสลามครั้งใหญ่ในอินโดนีเซียเมื่อเดือนมีนาคมปีนี้ มีผู้นำทางศาสนาจาก 42 ประเทศ กว่า 240 คน มาประชุมกันและมีมติร่วมกันให้ประณามการใช้ความรุนแรง ประณามการก่อการร้าย และเรียกร้องให้การแก้ไขปัญหาทั้งปวงต้องกระทำโดยสันติ รวมทั้งการส่งเสริมสนับสนุนให้มีการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศอิสลามด้วย
การประชุมสภาผู้นำศาสนาอิสลามโลกซึ่งประกอบด้วยผู้นำศาสนาอิสลามจากทุกนิกาย จากทุกสำนักคิด และจากทุกประเทศทั่วโลกที่กรุงเตหะรานประเทศอิหร่าน เมื่อเดือนพฤษภาคม ปีนี้ ก็ได้ลงมติประณามการใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา ประณามการก่อการร้าย ส่งเสริมสนับสนุนให้มีการแก้ไขปัญหาทั้งหลายโดยสันติวิธี และมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอิสลาม ตลอดจนการส่งเสริมการเผยแพร่ศาสนาที่ถูกต้องทั่วโลก
เหล่านี้คือกระบวนการในการต้านรับการบ่อนทำลายศาสนาอิสลามของบรรดาผู้นำศาสนาอิสลามจากทุกนิกายและจากทุกประเทศทั่วโลก เป็นกระบวนการที่กำลังต่อสู้และขับเคี่ยวกับกระบวนการที่บ่อนทำลายศาสนาอิสลามที่พยายามสร้างภาพลักษณ์ศาสนาอิสลามและมุสลิมไปในทางความรุนแรงอย่างมีพลังยิ่ง
การประชุมสันนิบาตประเทศอิสลามโลกหรือ OIC ที่กัวลาลัมเปอร์ ในเวลาไล่เลี่ยกันก็มีมติไปในทางเดียวกัน
ล่าสุดสันนิบาตมุสลิมโลกซึ่งเป็นองค์กรภาคเอกชนของชาวมุสลิมก็ได้ออกแถลงการณ์มติที่ประชุมคณะมนตรีก่อตั้งสันนิบาตมุสลิมโลก ครั้งที่ 38 ซึ่งได้ประชุมที่นครเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ในอุปถัมภ์ของกษัตริย์ฟาฮัดแห่งซาอุดิอาระเบียก็ได้มีมติเป็นอย่างเดียวกัน
เฉพาะที่เกี่ยวกับปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ประชุมมีมติว่า “เรียกร้องชาวมุสลิมทั้งหลายอย่าเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ก่อความไม่สงบ และต้องการที่จะเห็นชาวมุสลิมในประเทศไทยดำรงชีวิตด้วยความสงบสุข”
นั่นเป็นที่มาของการรู้เห็นเหตุการณ์เบื้องหลังกระจ่างชัดว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ปัญหาทางศาสนา และไม่ใช่ปัญหาของมุสลิม แต่เป็นเรื่องของกระบวนการทางการเมืองสองชนิด
ชนิดหนึ่ง คือกระบวนการทางการเมืองที่ต้องการล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และอีกชนิดหนึ่ง คือกระบวนการทางการเมืองที่ต้องการให้ชาติมหาอำนาจบางประเทศเข้ามามีบทบาทครอบงำภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ซึ่งไม่ใช่ผลประโยชน์ของมุสลิมและศาสนาอิสลาม
จึงเป็นเรื่องที่มุสลิมทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกไม่ควรต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว ไม่ควรตกไปเป็นเรื่องมือให้กับผู้บ่อนทำลายศาสนาและอสูรสงครามโดยเด็ดขาด
คนที่ตกเป็นเครื่องมือรับใช้กระบวนการทั้งสองชนิดนั้นมีทั้งพวกที่เป็นไทยพุทธและไทยมุสลิม ซึ่งปัจจุบันนี้เขาไม่ได้มีฐานะเป็นพุทธศาสนิกชนหรือเป็นมุสลิมอีกต่อไปแล้ว เพราะเขาได้เปลี่ยนฐานะของตัวเองไปเป็นสาวกของอสูรสงครามที่มุ่งทำลายศาสนาและเพื่อนมนุษย์ โดยฝ่าฝืนต่อหลักธรรมคำสอนในศาสนาอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต
ความจริงเรื่องเหล่านี้ควรจะถูกเปิดเผยขยายผลให้ประชาชนชาวไทยได้รับรู้ทั้งประเทศ แต่ก็น่าแปลกประหลาดใจที่หามีใครใส่ใจไม่
เป็นที่น่ายินดีว่าหลังจากมีพระราชเสาวนีย์ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ แล้ว นายภานุ อุทัยรัตน์ ประธานชมรมนักวิทยุสมัครเล่น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ดำเนินการสนองพระราชเสาวนีย์อย่างเป็นรูปธรรม
นายภานุ อุทัยรัตน์ ประธานชมรมนักวิทยุสมัครเล่น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้เปิดเผยว่าได้จัดทำป้ายคัตเอาท์ขนาดกว้าง 4 เมตร ยาว 3 เมตร ไปติดตามสถานที่ต่าง ๆ ในจังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาส บอกกล่าวถึงมติองค์การสันนิบาตมุสลิมโลกตามแถลงการณ์ของการประชุมครั้งที่ 38 ว่า “ชาวมุสลิมทั้งหลายอย่าเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ก่อความไม่สงบ และต้องการที่จะเห็นชาวมุสลิมในประเทศไทยดำรงชีวิตด้วยความสงบ”
แม้ว่ามติดังกล่าวนั้นจะเป็นเพียงมติขององค์กรภาคเอกชน แต่ก็เป็นมติที่เป็นอย่างเดียวกันกับมติของที่ประชุมผู้นำศาสนาอิสลามทั่วโลกและเป็นอย่างเดียวกันกับมติของที่ประชุมสันนิบาตประเทศอิสลามโลกด้วย
ผู้นำศาสนาอิสลามระดับต่าง ๆ ทุกสำนักคิดในประเทศไทย สื่อมวลชนมุสลิมทั่วโลก และหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทยจึงควรต้องขอบคุณชมรมนักวิทยุสมัครเล่นฯ ดังกล่าว และควรที่จะได้ขยายผลของมติดังกล่าวเพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการในการต่อต้านการบ่อนทำลายศาสนาที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในโลกปัจจุบันด้วย.