xs
xsm
sm
md
lg

บทบาทและกรรมวิธีในการขายชาติของลูกผู้ชายไทย (2)

เผยแพร่:   โดย: ยอดธง ทับทิวไม้

tavanron@yahoo.com

ในการประชุมแบบแนะนำสั่งสอนโดยท่านเสนาธิการผสมกับ ฯพณฯ จอห์น ฟอสเตอร์ ดัลเลส จะยุติ สมาชิกสภาทั้ง 8 นาย ทั้งรีพับลิกันและเดโมแครตได้ตกลงกันตามแบบแผนของระบอบประชาธิปไตยทุนนิยม โดยตกลงกันง่ายๆ ว่าจะเอากันตามความพอใจที่กล่าวมาก็ย่อมได้เพราะมีอำนาจที่จะทำ แต่ขอให้ ฯพณฯ จอห์น ฟอสเตอร์ ดัลเลส ควรจะไปลองฟังเสียงประเทศพันธมิตรทั้งหลายดูเสียก่อนว่าจะเอากันแบบที่อเมริกาต้องการทำหรือไม่?

การประชุมวันนั้นกินเวลาทั้งหมดสองชั่วโมงกับสิบนาที เมื่อคนทั้งหมดออกจากห้องประชุมมา เจ้าหน้าที่ของทำเนียบขาวบอกกับนักข่าวที่กำลังรอคอยอยู่ที่นั่นว่าไม่มีอะไรนอกจากมีการสรุปสถานการณ์ในอินโดจีนเล่าสู่กันฟังเล็กน้อยเท่านั้น

แต่จากผลการประชุมที่ไม่มีอะไรวันนั้นแหละ ความวิบัติฉิบหายได้เกิดขึ้นทั่วอินโดจีนและกระทบกระเทือนไปทั่วทั้งเอเชียอาคเนย์ ประชาชนจำนวนนับล้านๆ ทั้งลูกเล็กเด็กแดงและตลอดจนต้นไม้ใบหญ้าที่ไม่เคยก่อกรรมทำเวรกับใครที่ไหนมาก่อนย่อยยับไม่มีชิ้นดีเช่นเดียวกับอิรักในขณะนี้

และเพราะการพูดคุยอย่างไม่มีอะไรของคนอเมริกันที่ได้รับเลือกตั้งมาเป็นผู้แทนของปวงชนอเมริกันทั้ง 8 คนนั่นเอง ที่ทำให้อเมริกาประสบความล้มเหลวทุกด้าน ไม่ต้องพูดถึงความสูญเสียทางการเงินและอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่ชีวิตคนอเมริกันมากกว่า 50,000 คน ที่เดินทางเข้าไปเหยียบอินโดจีนครั้งนั้นตายโหงไปเรียบร้อย

นั่นคืออเมริกันหรือสิ่งสกปรกที่สุดของโลกที่เรียกกันว่า อเมริกา

จากขบวนการคนคุกจากเกาะอังกฤษมาเป็นริงโก้-จังโก้และนักล่าหัวมนุษย์มาเมื่อ 200 กว่าปีก่อน วิญญาณของเพชฌฆาตและสัญชาตญาณโจรยังอยู่ในวิญญาณและเป็นวิถีชีวิตของชนชาตินี้จนกลายเป็นวัฒนธรรมประจำชาติไป

คนอเมริกันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้นในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นความผิดหรือความถูกในเมื่ออเมริกาต้องการจะได้ และต้องการจะทำแล้วอเมริกาจะต้องทำเท่านั้น

อเมริกันจะยื้อแย่งฉกฉวยทุกสิ่งทุกอย่างทันทีเมื่ออเมริกันมองเห็นโอกาส

อเมริกันจะขู่เข็ญคุกคามและเหยียบขยี้เอาทันทีเมื่ออเมริกามองเห็นชัดว่าฝ่ายตรงข้ามของตนกำลังหมดทางเลือก

แน่นอน อเมริกันจะปล้นสะดมไม่เลือกหน้าทันทีเมื่ออเมริกันเชื่อว่ามันเป็นจังหวะของตน

เพราะฉะนั้นเมื่อวันแรกที่ ฯพณฯ จอห์น ฟอสเตอร์ ดัลเลส เหยียบเท้าลงบนแผ่นดินไทยในครั้งนั้น จึงประกาศออกมาเสมือนผู้บังเกิดเกล้าของคนไทยทั้งชาติว่า "สหรัฐฯ จะใช้แผ่นดินไทยทำสงครามต่อไปไม่มีกำหนด" (จดหมายเปิดผนึกถึงรัฐบาลเงา ที่ถนนวิทยุ, สังคมศาสตร์ปริทัศน์ กรุงเทพฯ กุมภาพันธ์ 2517, หน้า 10)

"เราไม่สามารถจะนิ่งเฉย ถ้าประเทศไทยดำเนินการใดๆ ซึ่งเราเห็นว่าจะเป็นอันตรายต่อผลประโยชน์อันแท้จริงของประเทศไทย และผลประโยชน์อันแท้จริงของสหรัฐฯ" (จดหมายเปิดผนึก หน้าเดียวกัน)

บรรดาประเทศประชาธิปไตยคอร์รัปชันหรือประชาธิปไตยขายชาติทั่วโลกทุกประเทศจะเข้าใจอเมริกาเป็นชาติเป็นประเทศที่เจริญก้าวหน้าที่สุด และเต็มไปด้วยความปรารถนาดีต่อประเทศต่างๆ ยิ่งกว่าพระเจ้า แต่คนที่รู้จักและเข้าใจอเมริกาจริงๆ นั้น มีน้อยมาก เฉพาะในเมืองไทยเรา นักการเมืองคนสำคัญในระดับรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีส่วนมากก็จะไม่ได้ศึกษาอเมริกาอย่างลึกซึ้ง แต่ก็พร้อมที่จะรับใช้และขายชาติให้แก่อเมริกาทุกโอกาสและทุกเวลา โดยข้ออ้างต่างๆ ที่ประธานเหมาเจ๋อตุงของจีนเคยเรียกประเทศเหล่านี้และคนเหล่านี้ว่า "สุนัขรับใช้" ของอเมริกา เรื่องราวที่เขียนต่อไปนี้เป็นวิธีการขายชาติและการทำตัวเป็นสุนัขรับใชัที่เหนียวแน่นหลายประการของผู้มีอำนาจและมีโอกาสในเมืองไทย

อเมริกาได้ถูกขนานนามเป็นที่รู้จักกันทั้งโลกว่าคือประเทศที่อยู่ ด้วยการล่าเมืองขึ้น ในรูปของการพยายามแผ่ขยายอิทธิพลไปทั่วโลกอย่างไม่มีขอบเขต เป็นประเทศจักรวรรดินิยมที่อยู่ได้ด้วยการล่าเมืองขึ้นหรือใช้อำนาจอิทธิพลเข้าครองประเทศอื่น ทั้งทางตรงและทางอ้อมเพื่อให้ได้มาซึ่งประเทศและแผ่นดินที่จะเป็นเมืองขึ้นและบริวารของตน

บางครั้ง คำว่า จักรวรรดินิยม เป็นคำที่แปลกใหม่ แปร่งหูและน่าตื่นเต้นสำหรับคนไทยบางคนและในหลายๆ ระดับ

ความจริงคำว่า จักรวรรดินิยมไม่ใช่ "สิ่งใหม่" หรือไม่ใช่ "ความใหม่" ที่ชาติไทยต้องเผชิญตลอดมาตั้งแต่เรายังกระต้วมกระเตี้ยมอยู่กับความงมงายกับการเมืองระหว่างประเทศตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา ซึ่งการรุกเข้ามาของจักรวรรดินิยมจากยุโรปได้ทำให้ชาติไทยต้องเผชิญปัญหาทางการเมืองระหว่างประเทศมาตั้งแต่สมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ชาติไทยถูกรุกอย่างหนักทั้งจากอังกฤษ ฝรั่งเศส และชาติใหญ่ๆ หลายชาติ ความเจ็บปวดของไทยอันเนื่องมาจากจักรวรรดินิยมเริ่มต้นฝากบาดแผลฉกรรจ์ไว้ให้แก่คนไทยทั้งชาติค่อนข้างหนักมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 และเมื่อปี พ.ศ. 2436 หรือ ร.ศ. 112 เป็นลำดับมา

ในสมัยรัชกาลที่ 5 แผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติมหาศาลที่สามารถเอาไปเลี้ยงโลกทั้งโลกเป็นเวลาหลายปี ก็ถูกรุมแทะรุมทึ้งจากจักรวรรดินิยมไปเป็นจำนวนเกือบ 500,000 ตารางกิโลเมตร หรือเกือบครึ่งหนึ่งของดินแดนที่เหลืออยู่ทุกวันนี้
เอกราชทางศาล เอกราชทางเศรษฐกิจถูกทำลายย่อยยับ ศักดิ์ศรีทางการเมือง ถูกเหยียบย่ำลงอย่างน่าอัปยศอดสู

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงลงทุนทุกอย่างเพื่อที่จะกอบกู้เกียรติยศและเอกราชเหล่านั้นกลับคืนมาอย่างสุดชีวิต แม้แต่การส่งคนไทยหรือทหารไทยเข้าไปร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 เพื่อเป็นการต่อรองปลดเปลื้องพันธนาการที่จักรวรรดินิยมได้กระทำต่อชาติไทยและคนไทยในสมัยก่อน

วาระนั้น เกือบจะกล่าวได้ว่า เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ปลอดจากการเหยียบกระหน่ำของจักรวรรดินิยมต่างชาติ เอกราชทางศาล เอกราชทางเศรษฐกิจของชาติไทยได้กลับคืนมา เสียงย่ำเท้าของคนต่างชาติที่เคยกระทบกระเทือนหัวใจคนไทยมาเป็นร้อยๆ ปีได้สิ้นสุดลงไปเหมือนฝัน

จากรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองทั้งนอกประเทศและในประเทศ เนื่องจากภาระทางเศรษฐกิจทำให้การขยายอำนาจอิทธิพลของนักล่าเมืองขึ้นต้องหยุดชะงักลงไปชั่วระยะหนึ่ง ประเทศไทยจึงได้มีโอกาสปลอดจากการรองรับการเหยียบย่ำของจักรวรรดินิยมหรืออาจจะพูดง่ายๆ ได้ว่า ตลอดระยะเวลาอันไม่นานนักนั้น ชื่อเสียงและความหมายของคำว่า จักรวรรดินิยมเงียบไปจากหูของคนไทยเหมือนกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นและไม่เคยมีอยู่ในเมืองไทย

เป็นยุคเดียวที่เรียกว่าคำว่า จักรวรรดินิยมหายไปจากหูของมนุษย์ผู้ยากไร้ทั่วโลก

จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่สองมาถึง

มีแต่คำว่า การต่อสู้ และวีรบุรุษขึ้นมาแทน

แต่ในระหว่างเวลาเหล่านั้น ประเทศไทยก็ได้มีการต่อสู้ทั้งเพื่อเอกราชเพื่อทำลายพวกขายชาติและเพื่อการต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันเป็นการภายในอยู่เงียบๆ จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่สองเสร็จสิ้นลง ก็ได้มีการต่อสู้ทางการเมืองอย่างลำหักลำโค่นได้เริ่มต้นขึ้นอีกระหว่างบุคคลสามกลุ่ม กลุ่มแรกคือ กลุ่มผู้เปลี่ยนแปลงการปกครองฝ่ายพลเรือนซึ่งมีนายปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้าหรือเรียกกันว่า กลุ่มเสรีไทย กลุ่มที่สองเป็นกลุ่มนักการเมืองฝ่ายขวาอันได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีนายควง อภัยวงศ์ เป็นหัวหน้า และกลุ่มสุดท้ายคือ กลุ่มผู้สูญเสียอำนาจอันได้แก่ กลุ่มจอมพล ป.พิบูลสงคราม

แต่ละฝ่ายพยายามจะอยู่แต่ผู้เดียวโดยการแย่งกันเป็นใหญ่ในแผ่นดิน

และอีกไม่กี่ปีต่อมาก็มีกลุ่มใหม่เกิดขึ้นนั่นคือ กลุ่มนักศึกษาและประชาชนที่ลงมือต่อสู้กับการขายชาติของคนไทย และการเข้ามาใช้แผ่นดินไทย และคนไทยเป็นสมรภูมินั่นคือ อเมริกาหรือจักรวรรดินิยมที่ไทยเคยฉิบหายมาในยุคก่อนๆ แต่การต่อสู้ของนักศึกษาประชาชนในยุคนั้น เป็นการต่อสู้เพื่อขับไล่ทหารอเมริกันออกนอกประเทศเพราะอเมริกันในยุคนั้นเข้ามายึดประเทศไทยเพื่อทำสงครามปล้นเอเชียอาคเนย์โดยการขายชาติของคนไทยและลูกผู้ชายไทยจำนวนหนึ่ง

แต่เพื่อไม่ให้คนไทยต้องฆ่ากันเองเพื่อสังเวยอเมริกัน รัฐบาลผสมของม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีได้ยืนยันว่า ประเทศไทยจะลดบทบาทแห่งความเป็นสุนัขรับใช้ของต่างชาติลงโดยการแถลงนโยบายต่อสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2518 ว่ารัฐบาลไทยพร้อมที่จะให้อเมริกันถอนทหารออกไปจากประเทศไทยภายในเวลา 1 ปี

เอาล่ะ เป็นอันว่าปัญหาเกี่ยวกับการรุกรานของประเทศจักรวรรดินิยมที่กำลังพูดกันทั่วไปนั้นก็คือ การถอนทหารอเมริกันออกจากประเทศหรือถอนฐานทัพอเมริกันออกจากประเทศไทยซึ่งเชื่อกันว่ารัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช จะต้องกระทำและยอมรับว่ามันเป็นภัยต่อประเทศชาติที่ไม่มีทางแก้ตัวหรือไม่มีทางคัดค้านอะไรได้

แต่ก็ยังมีปัญหาที่จะต้องพูดกันต่อไปอีกว่า การถอนทหารและถอนทัพอเมริกาออกจากประเทศไทยแล้ว เอกราชและอธิปไตยของชาติไทยจะกลับฟื้นคืนมาอีกกระนั้นหรือ เพราะว่าอย่างน้อยที่สุด นอกจากการวางฐานทัพไว้ในประเทศไทยอย่างงดงามแล้ว สัญญาด้วยความเป็นทาสระหว่างไทยกับอเมริกาที่เรียกว่า สัญญาว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการทหารที่ไทยยอมทำเพื่อความเป็นเมืองขึ้นถาวรของอเมริกัน เมื่อเดือนตุลาคม 2493 นั้น จนกระทั่งถึงวันนี้ ยังไม่ได้มีการแก้ไขใดๆ และมีผลบังคับอยู่ในการที่จะต้องทำหน้าที่เป็นสุนัขรับใช้ของอเมริกาต่อไป

วีรกรรมการขายชาติของลูกผู้ชายไทยบางกลุ่มในยุคนั้น ยังคงมีผลบังคับใช้และค้ำคอคนไทยอยู่จนกระทั่งวันนี้ ซึ่งเราได้ยินได้ฟังเรื่องการเช่าสนามบินของประเทศสิงคโปร์ที่หลายคนพยายามแก้ตัวกันอย่างหน้าตาเฉยนั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาทาสชุดนี้ (น่าเสียใจที่ว่านายทหาร และนักการเมืองระดับสูงไม่มีใครเคยอ่านสัญญานี้ก็อาจจะเป็นได้)

เพราะฉะนั้นก่อนที่จะเข้าใจกันให้ละเอียดลึกซึ้งต่อไป หรือการถอนทหารและฐานทัพของอเมริกันออกไปจากแผ่นดินไทยของอเมริกันในครั้งนั้น เราจะต้องย้อนกลับไปถึงจุดมุ่งหมายหรือนโยบายต่างประเทศของอเมริกันที่อยู่ดีๆ ก็เข้ามาซื้อประเทศไทยเป็นฐานทัพและเป็นศูนย์กลางของการล่าเมืองขึ้นทั้งหมดในเอเชียอาคเนย์ที่บ่งบอกให้คนไทยรู้ว่าต่อนี้ไปคนไทยและเมืองไทยจะไม่มีความสุขต่อไปอีก

เราจะต้องช่วยกันพับนกหลอกตัวเองกันต่อไป

ไม่ใช่นิยายหรือเพื่อความสุขสันต์หรรษาใดๆ ทั้งสิ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น