อุบลราชธานี-"ห้างฯ ยงสงวน"ค้าปลีกท้องถิ่นรายใหญ่เมืองอุบลฯ เผยกลยุทธ์ลดผลกระทบค้าปลีกรายใหญ่ โดยเฉพาะดิสเคานต์สโตร์ที่เป็นทุนต่างชาติ คือ การปรับแนวทางการบริหารและการลดต้นทุนสินค้าให้ถูกที่สุด แม้จะยอมได้กำไรที่น้อยลง พร้อมร่วมมือภาครัฐสร้างพัฒนาค้าปลีกรายย่อยสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ
นางมลิวัลย์ ไชยสงคราม เจ้าของธุรกิจในเครือห้างสรรพสินค้ายงสงวน กรุ๊ป จ.อุบลราชธานี เปิดเผยว่า หลังจากที่ห้างดิสเคานต์สโตร์ขนาดใหญ่ที่เป็นทุนต่างชาติ เช่น ห้างแม็คโครฯรุกเข้ามาเปิดที่ จ.อุบลฯในปี 2540 ยอมรับว่า ในช่วงแรกสร้างความหนักใจให้กับห้างฯยงสงวนอยู่พอสมควร แต่ด้วยประสบการณ์การทำกิจการค้าปลีกที่ยาวนานกว่า 50 ปี และด้วยความเป็นนักสู้ของผู้บริหาร จึงสามารถประคับประคองกิจการมาได้ จนขณะนี้ห้างฯยงสงวนมีสาขามากถึง 9 แห่ง ถือเป็นธุรกิจของคนท้องถิ่นชาวอุบลฯ 100 %
ต่อมาประมาณปี 2544 ห้างโมเดิร์นเทรด หรือห้างขายปลีกขนาดใหญ่ เช่น บิ๊กซี โลตัส ก็ได้เข้ารุกตลาดที่ จ.อุบลฯ อีก ทำให้ยงสงวนกรุ๊ป ต้องปรับกลยุทธ์ใหม่อีกครั้ง ด้วยการปรับการแข่งขันทางการตลาดต่อสู้ในเรื่องของราคา ที่ต้องพยายามลดราคาสินค้าลงมา เพื่อแข่งขันกับห้างโมเดิร์นเทรดเหล่านี้ ถึงแม้จะได้กำไรน้อย หรืออาจจะต้องขาดทุนบ้าง เพื่อให้บริษัทผู้ผลิตสินค้าไว้วางใจ ว่าสามารถจำหน่ายสินค้าได้ปริมาณมาก จนสามารถซื้อสินค้าจากผู้ผลิตได้ราคาที่ถูกลง ทำให้ห้างฯสามารถสู้กับห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ได้
"ยอมรับว่ากลยุทธ์ด้านราคา ทำให้ต้องขาดทุนบ้าง และทางซัปพลายเออร์เอง ก็ใช้วิธีบีบให้ร้านขนาดเล็กเป็นเอเยนต์ ในการกระจายสินค้าให้ ในลักษณะเป็นหน่วยรถเคลื่อนที่ กระจายสินค้าไปตามที่ต่างๆ ซึ่งในขณะนี้ห้างฯเหลือกำไรเพียงแค่ประมาณ 1 % จากที่เคยได้ 3-4 % ก่อนที่จะมีห้างฯจากต่างชาติเข้ามา แต่ก็สามารถจำหน่ายสินค้าได้ในปริมาณที่มากกว่าเดิม"นางมลิวัลย์กล่าวและว่า
นอกจากนี้ห้างฯยังได้พยายามช่วยเหลือร้านค้าปลีกรายย่อยในพื้นที่ เพื่อให้สามารถปรับตัวอยู่ในตลาดได้ ด้วยการร่วมมือกับภาครัฐในการให้ความรู้ กับผู้ประกอบการร้านค้าปลีกรายย่อย ซึ่งกลุ่มร้านค้ารายย่อย ที่เข้าร่วมโครงการเสมือนหนึ่งเป็นพันธมิตรร่วมค้า ระหว่างกลุ่มธุรกิจค้าปลีกท้องถิ่น ที่ผนึกกำลัง ในการลดความเสี่ยงทางการตลาด จากการรุกเข้ามาของห้างดิสเคานต์สโตร์รายใหญ่
นางมลิวัลย์กล่าวว่า ห้างฯยงสงวนปัจจุบันมีธุรกิจในเครือ ประกอบด้วย ห้างสรรพสินค้าขายส่งและปลีก 2 แห่ง รวมทั้งมินิมาร์ทอีก 9 แห่ง สามารถสร้างพันธมิตรค้าปลีกรายย่อยในพื้นที่ได้แล้วกว่า 100 ร้านค้า และในปีหน้าได้เตรียมขยายสร้างพันธมิตรให้ได้ถึง 200 ร้านค้า เพื่อให้ธุรกิจร้านค้าย่อยเหล่านี้สามารถอยู่ได้ในกระแสการแข่งขันที่สูงภายใต้การเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน
ทั้งนี้ เชื่อว่าหากร้านค้าปลีกรายย่อยทุกรายในพื้นที่ ร่วมกันทำธุรกิจในทิศทางเดียวกันจะช่วยป้องกันการเข้ามาแชร์ตลาดของดิสเคานต์สโตร์ได้มาก และจะทำให้เกิดความเข้มแข็งในบรรดาผู้ค้าในพื้นที่เอง
ด้านนายชาตรี เตชะวลีกุล เจ้าของหงส์ทองมินิมาร์ท กล่าวว่า ขณะนี้น่าวิตกว่า ห้างฯค้าปลีกขนาดใหญ่ เช่น โลตัส ที่กำลังจะรุกเข้ามาแชร์ตลาดในกลุ่มธุรกิจร้านสะดวกซื้อ โดยจับมือกับปั๊มน้ำมันเปิดเป็นมินิมาร์ท คือ มินิโลตัส ซึ่งเขากำลังทดลองทำอยู่ในเขตกรุงเทพฯ หากมีการขยายออกมาสู่ต่างจังหวัด ก็เป็นที่น่ากลัวไม่น้อย เพราะอาจส่งผลกระทบต่อร้านสะดวกซื้อของท้องถิ่นรวมทั้งร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ที่ครองตลาดอยู่ในปัจจุบันนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม คาดว่าการเข้ามาของมินิโลตัสดังกล่าวน่าจะอีก 3-4 ปี ข้างหน้า ซึ่งการเตรียมการป้องกันผลกระทบผู้ประกอบการท้องถิ่นคือการนำเอากลยุทธ์ด้านราคาและบริการมาต่อสู้ นอกจากนั้นยังต้องมีการบริหารจัดการที่ดี และต้องทำให้กิจการมีต้นทุนต่ำที่สุด