พุทธธรรมประกอบด้วยธรรมที่แสดงถึงสภาวะเป็นจริงหรือธรรมชาติของสรรพสิ่ง และธรรมสำหรับการปฏิบัติอย่างสอดคล้องกับสภาวะเป็นจริงหรือธรรมชาติของสรรพสิ่ง
องค์ธรรมต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงนำมาสอน จึงล้วนแต่เพื่อให้ชาวโลกเข้าถึง "สภาวะ" เป็นจริงของธรรมชาติ รู้ทันกฎธรรมชาติ หรือก็คือ "กระบวนธรรม" ที่ดำเนินไปตามเหตุปัจจัย (ปฏิจจสมุปบาท) และชี้ให้เห็นถึง "เส้นทาง"แห่งการปฏิบัติหรือ "มรรค"ที่จะนำไปสู่การหลุดพ้น (วิวัฏฏ์)
การเข้าถึงกระบวนธรรม ค้นพบเหตุปัจจัยที่ขับเคลื่อนกระบวนธรรม ก็เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติอย่างถูกต้อง ในรูปของแนวคิด แนวทางและวิธีปฏิบัติที่เหมาะสมและเหมาะเจาะกับสภาวธรรม เพื่อให้การขับเคลื่อนของกระบวนธรรมของสิ่ง ของสังคม และของชีวิตมนุษย์ ดำเนินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง บรรลุสู่ความเป็นอิสระ ทีละขั้นๆ
ดังนั้น ผู้ใดสามารถเข้าถึงสภาวธรรม ค้นพบกระบวนธรรม ดำเนินการปฏิบัติไปตามเส้นทางแห่ง "มรรค" ก็จะประสบความสำเร็จ บรรลุสู่ความเป็นอิสระ
พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่เลื่อมใสในลัทธิมาร์กซ์ ยึดมั่นในหลักวัตถุนิยมวิภาษ และวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ ประสบความสำเร็จในการนำประชาชนจีนเคลื่อนไหวต่อสู้ปฏิวัติและพัฒนาประเทศ ยังผลให้ประเทศจีนกลายเป็น "เหตุปัจจัย" สำคัญยิ่งของกระบวนการพัฒนาของสังคมโลกยุคปัจจุบัน ในทางพฤตินัยก็ได้ดำเนินไปตามหลักธรรมข้างต้นอย่างไม่ผิดเพี้ยน
พวกเขาทำทุกอย่างเพื่อให้สามารถเข้าถึงสภาวธรรมของสิ่ง โดยเริ่มจากความเป็นจริง มิใช่จากตำราหรือความเพ้อฝันเลื่อนลอย ศึกษาค้นคว้าและประมวลประสบการณ์ตรง พัฒนาเป็นองค์ความรู้ใหม่ๆ ขึ้นมาในท่ามกลางการปฏิบัติ ซึ่งจะนำไปสู่การรับรู้ใน "กระบวนธรรม" ของสิ่ง จากนี้ก็จะนำไปสู่การก้าวกระโดดทางการรับรู้ สู่ระดับ "ปัญญา" เกิดวิสัยทัศน์และแนวคิดใหม่ๆ ที่เป็น "สัมมาทิฐิ" (ความเห็นชอบ) ชี้นำการปฏิบัติ
การปฏิบัติหรือ "มรรค" ของพวกเขาอันประกอบด้วย แนวทาง นโยบาย ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี ฯลฯ ก็จะได้รับการพัฒนาขึ้นมา อย่างสอดคล้องกับการขับเคลื่อนของกระบวนธรรมของสิ่ง กลายเป็น "เหตุปัจจัย" ใหม่ๆ ที่เอื้อต่อกระบวนการพัฒนาของสิ่ง ให้สามารถพัฒนาไปสู่จุดหมายปลายทางที่ตั้งไว้
ด้วยการ "ปฏิบัติธรรม" เช่นนี้ พรรคฯจีนจึงประสบความสำเร็จ บรรลุจุดมุ่งหมายในการปฏิวัติสังคมจีน และพัฒนาประเทศจีนมาโดยตลอด
ผู้นำจีนคือ "นักปฏิบัติธรรม"
พระพรหมคุณาภรณ์ ได้ให้คำจำกัดความของ "การปฏิบัติธรรม" มีนัยรวมๆ ว่า ก็คือการนำเอาหลักธรรมมาปฏิบัติ หรือดำเนินชีวิตตามหลักธรรม
วิธีคิดวิธีการทำงานของชาวพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยรวมๆ สอดคล้องอย่างยิ่งกับนัยของคำจำกัดความนี้
ชาวพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ยึดมั่นในโลกทัศน์ลัทธิมาร์กซ์ อุทิศชีวิตให้แก่ภารกิจปลดปล่อยประเทศชาติ (ในยุคปฏิวัติประชาธิปไตย) และพัฒนาสร้างสรรค์สังคมนิยม (ในยุคปฏิรูปและเปิดกว้าง) ด้านหนึ่ง พยายามทำความเข้าใจในลักษณะของยุคสมัย และสภาวะเป็นจริงของสังคมโลกและประเทศตนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อปรับแนวคิดวิสัยทัศน์ให้สอดคล้องกับลักษณะของยุคสมัยและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งในสังคมโลกและในประเทศตน ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกและประเทศตน
อีกด้านหนึ่ง ยืนหยัดแนวทางมวลชน สามัคคีประชาชนจีนดำเนินการต่อสู้ (หรือพัฒนา) ทำการศึกษาค้นคว้า ทำความเข้าใจ ประมวล และกลั่นกรองประสบการณ์ตรงของมวลชน สรุปเป็นองค์ความรู้ใหม่ ตีความและเสริมนัยของหลักการที่ตั้งอยู่บนจุดยืน ทัศนะและวิธีการมาร์กซิสม์ แล้วยกระดับขึ้นเป็นทฤษฎีใหม่ ชี้นำการเคลื่อนไหวปฏิบัติของมวลชนต่อไป
ทั้งนี้ใน "ทฤษฎี" ของพรรคฯ จีน จะรวมไว้ทั้งในส่วนที่เป็นแนวคิดหรือองค์ความรู้ ที่สะท้อนถึง "กระบวนธรรม" ของสิ่งในระยะใหม่ (คู่ความขัดแย้งสำคัญๆ ใหม่ๆ กระบวนการขับเคลื่อนของคู่ความขัดแย้งหลักทั้งเก่าและใหม่ รวมถึงแนวโน้มและทิศทางที่สังคมจีนจะพัฒนาไปอย่างชัดเจน) และแนวทาง นโยบาย ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี อันเปรียบเสมือน "มรรค" ที่จะนำไปสู่จุดหมายปลายทาง
เมื่อมีทฤษฎีที่สอดคล้องกับกระบวนธรรม และแนวทาง นโยบาย ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีหรือมรรคที่ถูกต้องแล้ว ก็ง่ายที่ชาวพรรคฯจะไปจัดตั้งมวลชน สามัคคีพลังประชาชนทั้งประเทศ ทุ่มโถมเข้าสู่กระบวนการต่อสู่ปฏิวัติหรือพัฒนาปฏิรูป เพื่อบรรลุสู่จุดหมายปลายทางที่ตั้งไว้
เมื่อถึงตรงนี้ ประสิทธิภาพ ความเข้มแข็ง และความเอาจริงเอาจังของผู้ปฏิบัติงานของพรรค ก็กลายเป็นปัจจัยชี้ขาด
ด้วยเหตุนี้ พรรคฯจีนจึงต้องประกอบไปด้วยสมาชิกพรรคและผู้ปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพ มีระเบียบวินัย เอาการเอางาน ไม่กลัวเสียสละ ไม่กลัวตาย เป็นที่รักและเชื่อมั่นของประชาชน
ผู้นำพรรคฯจีนคนสำคัญๆ เช่น เหมาเจ๋อตง จูเต๋อ หลิวเซ่าฉี โจวเอินไหล เติ้งเสี่ยวผิง เป็นต้น ล้วนแต่มีบุคลิกและคุณสมบัติดังกล่าว หาไม่แล้ว พรรคฯ จีนจะไม่อาจอยู่ยั้งยืนยงได้จนถึงทุกวันนี้ ประเทศจีนจะไม่อาจพัฒนาก้าวไกลได้ดังเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้
นี่คืออานุภาพยิ่งใหญ่ของการ "ปฏิบัติธรรม" ของชาวพรรคฯ จีน โดยเฉพาะคือคณะผู้นำจีน
ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนกลายเป็นพรรคปฏิบัติธรรมไปโดยปริยาย
ตัวอย่างกระบวนธรรมและมรรคในยุคปฏิวัติ
ลักษณะสังคมจีนก่อนปี ค.ศ.1949 คือกึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินา มหาอำนาจต่างชาติเข้าครอบครองประเทศจีนเป็นส่วนๆ ปัจจัยทุนนิยมงอกเงยขึ้นมาอย่างยากลำบาก กลุ่มทุนจีนตกเป็นเบี้ยล่างของทุนผูกขาดต่างชาติ อำนาจรัฐตกอยู่ในมือของกลุ่มทุนขุนนางนายหน้า ตัวแทนผลประโยชน์เจ้าที่ดินและมหาอำนาจต่างชาติ ฯลฯ
อำนาจครอบงำเหล่านี้ ตั้งหน้าตั้งตาตักตวงผลประโยชน์ แก่งแย่งกันครอบครองแหล่งทรัพยากรธรรมชาติและตลาดจีน ด้วยวิธีการต่างๆ รวมทั้งวิธีการทางการทหาร สร้างเงื่อนไขให้เกิดการปฏิวัติด้วยกำลังอาวุธ ทำสงครามประชาชนขึ้นในประเทศจีน
ในภาวะเช่นนี้ ประชาชนจีนซึ่งประกอบด้วยชาวนาชาวไร่ในชนบทเป็นส่วนใหญ่ มีกรรมกรผู้ใช้แรงงาน และพ่อค้าแม่ขายรายเล็กรายน้อยอีกจำนวนหนึ่ง จึงตกอยู่ในสภาวะลำบาก ถูกกดขี่ขูดรีดเอารัดเอาเปรียบ ข่มเหงรังแก ไร้อนาคต พวกเขากลายเป็น "เนื้อนาบุญ" ผืนใหญ่ของชาวพรรคคอมมิวนิสต์ ในการเคลื่อนไหวจัดตั้ง ระดมปัจจัยต่างๆ เข้าสู่กระบวนการปฏิวัติด้วยกำลังอาวุธ ทำสงครามประชาชน ใช้ชนบทล้อมเมืองและยึดเมืองในที่สุด
ในการนี้ เหมาเจ๋อตงจึงได้พัฒนาทฤษฎีชี้นำการปฏิวัติขึ้นมาเป็นชุดๆ สะท้อนถึงกระบวนธรรมที่ดำรงอยู่และขับเคลื่อนไปในสังคมจีน และนำเสนอหนทางหรือ "มรรค" สำหรับการขับเคลื่อนสังคมจีนให้พ้นไปจากวังวนของความทุกข์
ทฤษฎีต้นแบบของการปฏิวัติจีน ที่เหมาเจ๋อตงนำเสนอ และได้รับการยอมรับนำไปปฏิบัติใช้ทั่วทั้งประเทศในช่วงนั้นก็คือ "การปฏิวัติประชาธิปไตยแผนใหม่"
ตามทฤษฎีนี้ "กระบวนธรรม" ของการปฏิวัติประเทศจีน หลักๆ คือจะต้องดำเนินไปภายใต้การนำของพรรคการเมืองชนชั้นกรรมาชีพ และแบ่งเป็นสองขั้นตอน
เหตุผลก็คือ สังคมจีนได้ก้าวเข้าสู่ความเป็นกึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินาตั้งแต่สงครามฝิ่น (ก่อนนั้นเป็นสังคมศักดินาที่เป็นเอกราชเต็มตัว) คู่ความขัดแย้งหลักของสังคมจีนที่จะต้องแก้ให้ตกไป ก็คือความขัดแย้งระหว่างประชาชาติจีนกับจักรพรรดินิยมต่างชาติ ดังนั้น ในขั้นแรก ประชาชนจีนทั้งประเทศ ที่รักชาติ จะต้องรวมตัวกันเข้า ทำการต่อสู้ขับไล่อำนาจอิทธิพลจักรพรรดินิยมต่างชาติ ซึ่งก็คือทำการปฏิวัติประชาธิปไตย นำประเทศไปสู่ความเป็นอิสระ ประชาชนหลุดพ้นจากการครอบงำของอิทธิพลต่างชาติ เจ้าที่ดินและทุนขุนนางนายหน้า
โดยสาระ ภารกิจของการปฏิวัติประชาธิปไตย ก็คือโค่นล้มอำนาจปกครองของจักรพรรดินิยมและศักดินานิยม นำประเทศจีนให้พ้นจากสภาวะกึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินา กลายเป็นประเทศเอกราช เป็นประชาธิปไตย
ส่วนการปฏิวัติสังคมนิยม ตามอุดมการณ์มาร์กซิสม์ จะต้องทำหลังจากการปฏิวัติประชาธิปไตยผ่านพ้นไปแล้ว คู่ความขัดแย้งหลักในสังคมจีนชุดเก่าได้สลายตัวไปแล้ว เกิดคู่ความขัดแย้งใหม่ขึ้นมาแทนที่ (ระหว่างชนชั้นนายทุนจีนกับชนชั้นกรรมาชีพ) ซึ่งการดำเนินการปฏิวัติในขั้นที่สองก็จะมีกระบวนวิธีการหรือ "มรรค" ที่สอดคล้องกับสภาวะหรือ "กระบวนธรรม" ที่เป็นจริง ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการแบบเดิมๆ
"หัวใจ" ของกระบวนธรรมอยู่ที่ "อำนาจการนำ"
เหมาเจ๋อตงได้ประมวลลักษณะและวิธีการเคลื่อนไหวปฏิวัติอย่างรอบด้าน ในรูปของ "แนวทางทั่วไป" (ภาษาจีนเรียกว่า "จ่งลู่เสี้ยน" "จ่ง" แปลว่าทั้งหมดหรือรวม "ลู่เสี้ยน" แปลว่า "เส้นทาง" หรือ "มรรค")
สาระสำคัญของแนวทางทั่วไปก็คือ จะต้องนำโดยชนชั้นกรรมาชีพ โดยมวลประชามหาชนเป็น "เจ้าภาพ" ตัวจริง เป้าหมายคือโค่นล้มจักรพรรดินิยม ศักดินานิยม และลัทธิทุนขุนนาง (ภาษาจีนว่า "กวนเหลียวจือเปิ่นจู่อี้")
ทั้งนี้ "หัวใจ" ของแนวทางทั่วไปหรือกระบวนธรรมทั้งหมด อยู่ที่ "อำนาจการนำ" คือการปฏิวัติประชาธิปไตยจีนจะต้องนำโดยชนชั้นกรรมาชีพ ซึ่งก็คือพรรคคอมมิวนิสต์จีน พรรคการเมืองที่เป็นกองหน้าของชนชั้นกรรมาชีพจีน
ในทางปฏิบัติหรือ "มรรค" พรรคฯ จีนจะทำหน้าที่เป็นแกนนำ ด้วยการสร้างแนวร่วมปฏิวัติอย่างกว้างขวางที่ตั้งอยู่บนรากฐานของพันธมิตรกรรมกรชาวนา มีแต่ทำเช่นนี้ พรรคฯจีนจึงจะทำหน้าที่เป็นแกนนำ มีอำนาจนำในการเคลื่อนไหวปฏิวัติอย่างเป็นจริง
การแสดงถึงการมีอำนาจนำในการปฏิวัติเมื่อทำงานแนวร่วมกับชนชั้นนายทุน พรรคฯ จีน จะต้องรักษาความเป็นอิสระเป็นตัวของตัวเองเสมอ นั่นคือทั้งต่อสู้และสามัคคีกับชนชั้นนายทุน
ที่สำคัญยิ่งกว่าอื่นใด คือจะต้องสร้างกองกำลังติดอาวุธปฏิวัติที่เข้มแข็งเกรียงไกร ที่อยู่ภายใต้การนำของพรรคฯ กองกำลังติดอาวุธที่ปฏิวัติดังกล่าว จะเป็นหลักประกันพื้นฐานที่สำคัญที่สุด ให้แก่อำนาจการนำของชนชั้นกรรมาชีพในการปฏิวัติประชาธิปไตย
พลังปฏิวัติคือปวงประชามหาชน
ทฤษฎีปฏิวัติประชาธิปไตยของเหมาเจ๋อตง ระบุชัดว่า ปวงประชามหาชน ที่ประกอบด้วยชนชั้นกรรมกร ชนชั้นชาวนา ชนชั้นนายทุนน้อยในเมืองและชนชั้นนายทุนชาติ คือพลังขับเคลื่อนการปฏิวัติประชาธิปไตย
พรรคคอมมิวนิสต์จีนมีหน้าที่กำหนดแนวทาง นโยบาย ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี หรือ "มรรค" ไปดำเนินการจัดตั้ง สามัคคีพลังรวมเหล่านี้ ให้เกิดเป็นพลังร่วมอันยิ่งใหญ่ ดุจกำปั้นเหล็ก ไล่ทุบศัตรูให้พ่ายแพ้ไป
องค์ธรรมต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงนำมาสอน จึงล้วนแต่เพื่อให้ชาวโลกเข้าถึง "สภาวะ" เป็นจริงของธรรมชาติ รู้ทันกฎธรรมชาติ หรือก็คือ "กระบวนธรรม" ที่ดำเนินไปตามเหตุปัจจัย (ปฏิจจสมุปบาท) และชี้ให้เห็นถึง "เส้นทาง"แห่งการปฏิบัติหรือ "มรรค"ที่จะนำไปสู่การหลุดพ้น (วิวัฏฏ์)
การเข้าถึงกระบวนธรรม ค้นพบเหตุปัจจัยที่ขับเคลื่อนกระบวนธรรม ก็เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติอย่างถูกต้อง ในรูปของแนวคิด แนวทางและวิธีปฏิบัติที่เหมาะสมและเหมาะเจาะกับสภาวธรรม เพื่อให้การขับเคลื่อนของกระบวนธรรมของสิ่ง ของสังคม และของชีวิตมนุษย์ ดำเนินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง บรรลุสู่ความเป็นอิสระ ทีละขั้นๆ
ดังนั้น ผู้ใดสามารถเข้าถึงสภาวธรรม ค้นพบกระบวนธรรม ดำเนินการปฏิบัติไปตามเส้นทางแห่ง "มรรค" ก็จะประสบความสำเร็จ บรรลุสู่ความเป็นอิสระ
พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่เลื่อมใสในลัทธิมาร์กซ์ ยึดมั่นในหลักวัตถุนิยมวิภาษ และวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ ประสบความสำเร็จในการนำประชาชนจีนเคลื่อนไหวต่อสู้ปฏิวัติและพัฒนาประเทศ ยังผลให้ประเทศจีนกลายเป็น "เหตุปัจจัย" สำคัญยิ่งของกระบวนการพัฒนาของสังคมโลกยุคปัจจุบัน ในทางพฤตินัยก็ได้ดำเนินไปตามหลักธรรมข้างต้นอย่างไม่ผิดเพี้ยน
พวกเขาทำทุกอย่างเพื่อให้สามารถเข้าถึงสภาวธรรมของสิ่ง โดยเริ่มจากความเป็นจริง มิใช่จากตำราหรือความเพ้อฝันเลื่อนลอย ศึกษาค้นคว้าและประมวลประสบการณ์ตรง พัฒนาเป็นองค์ความรู้ใหม่ๆ ขึ้นมาในท่ามกลางการปฏิบัติ ซึ่งจะนำไปสู่การรับรู้ใน "กระบวนธรรม" ของสิ่ง จากนี้ก็จะนำไปสู่การก้าวกระโดดทางการรับรู้ สู่ระดับ "ปัญญา" เกิดวิสัยทัศน์และแนวคิดใหม่ๆ ที่เป็น "สัมมาทิฐิ" (ความเห็นชอบ) ชี้นำการปฏิบัติ
การปฏิบัติหรือ "มรรค" ของพวกเขาอันประกอบด้วย แนวทาง นโยบาย ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี ฯลฯ ก็จะได้รับการพัฒนาขึ้นมา อย่างสอดคล้องกับการขับเคลื่อนของกระบวนธรรมของสิ่ง กลายเป็น "เหตุปัจจัย" ใหม่ๆ ที่เอื้อต่อกระบวนการพัฒนาของสิ่ง ให้สามารถพัฒนาไปสู่จุดหมายปลายทางที่ตั้งไว้
ด้วยการ "ปฏิบัติธรรม" เช่นนี้ พรรคฯจีนจึงประสบความสำเร็จ บรรลุจุดมุ่งหมายในการปฏิวัติสังคมจีน และพัฒนาประเทศจีนมาโดยตลอด
ผู้นำจีนคือ "นักปฏิบัติธรรม"
พระพรหมคุณาภรณ์ ได้ให้คำจำกัดความของ "การปฏิบัติธรรม" มีนัยรวมๆ ว่า ก็คือการนำเอาหลักธรรมมาปฏิบัติ หรือดำเนินชีวิตตามหลักธรรม
วิธีคิดวิธีการทำงานของชาวพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยรวมๆ สอดคล้องอย่างยิ่งกับนัยของคำจำกัดความนี้
ชาวพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ยึดมั่นในโลกทัศน์ลัทธิมาร์กซ์ อุทิศชีวิตให้แก่ภารกิจปลดปล่อยประเทศชาติ (ในยุคปฏิวัติประชาธิปไตย) และพัฒนาสร้างสรรค์สังคมนิยม (ในยุคปฏิรูปและเปิดกว้าง) ด้านหนึ่ง พยายามทำความเข้าใจในลักษณะของยุคสมัย และสภาวะเป็นจริงของสังคมโลกและประเทศตนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อปรับแนวคิดวิสัยทัศน์ให้สอดคล้องกับลักษณะของยุคสมัยและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งในสังคมโลกและในประเทศตน ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกและประเทศตน
อีกด้านหนึ่ง ยืนหยัดแนวทางมวลชน สามัคคีประชาชนจีนดำเนินการต่อสู้ (หรือพัฒนา) ทำการศึกษาค้นคว้า ทำความเข้าใจ ประมวล และกลั่นกรองประสบการณ์ตรงของมวลชน สรุปเป็นองค์ความรู้ใหม่ ตีความและเสริมนัยของหลักการที่ตั้งอยู่บนจุดยืน ทัศนะและวิธีการมาร์กซิสม์ แล้วยกระดับขึ้นเป็นทฤษฎีใหม่ ชี้นำการเคลื่อนไหวปฏิบัติของมวลชนต่อไป
ทั้งนี้ใน "ทฤษฎี" ของพรรคฯ จีน จะรวมไว้ทั้งในส่วนที่เป็นแนวคิดหรือองค์ความรู้ ที่สะท้อนถึง "กระบวนธรรม" ของสิ่งในระยะใหม่ (คู่ความขัดแย้งสำคัญๆ ใหม่ๆ กระบวนการขับเคลื่อนของคู่ความขัดแย้งหลักทั้งเก่าและใหม่ รวมถึงแนวโน้มและทิศทางที่สังคมจีนจะพัฒนาไปอย่างชัดเจน) และแนวทาง นโยบาย ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี อันเปรียบเสมือน "มรรค" ที่จะนำไปสู่จุดหมายปลายทาง
เมื่อมีทฤษฎีที่สอดคล้องกับกระบวนธรรม และแนวทาง นโยบาย ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีหรือมรรคที่ถูกต้องแล้ว ก็ง่ายที่ชาวพรรคฯจะไปจัดตั้งมวลชน สามัคคีพลังประชาชนทั้งประเทศ ทุ่มโถมเข้าสู่กระบวนการต่อสู่ปฏิวัติหรือพัฒนาปฏิรูป เพื่อบรรลุสู่จุดหมายปลายทางที่ตั้งไว้
เมื่อถึงตรงนี้ ประสิทธิภาพ ความเข้มแข็ง และความเอาจริงเอาจังของผู้ปฏิบัติงานของพรรค ก็กลายเป็นปัจจัยชี้ขาด
ด้วยเหตุนี้ พรรคฯจีนจึงต้องประกอบไปด้วยสมาชิกพรรคและผู้ปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพ มีระเบียบวินัย เอาการเอางาน ไม่กลัวเสียสละ ไม่กลัวตาย เป็นที่รักและเชื่อมั่นของประชาชน
ผู้นำพรรคฯจีนคนสำคัญๆ เช่น เหมาเจ๋อตง จูเต๋อ หลิวเซ่าฉี โจวเอินไหล เติ้งเสี่ยวผิง เป็นต้น ล้วนแต่มีบุคลิกและคุณสมบัติดังกล่าว หาไม่แล้ว พรรคฯ จีนจะไม่อาจอยู่ยั้งยืนยงได้จนถึงทุกวันนี้ ประเทศจีนจะไม่อาจพัฒนาก้าวไกลได้ดังเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้
นี่คืออานุภาพยิ่งใหญ่ของการ "ปฏิบัติธรรม" ของชาวพรรคฯ จีน โดยเฉพาะคือคณะผู้นำจีน
ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนกลายเป็นพรรคปฏิบัติธรรมไปโดยปริยาย
ตัวอย่างกระบวนธรรมและมรรคในยุคปฏิวัติ
ลักษณะสังคมจีนก่อนปี ค.ศ.1949 คือกึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินา มหาอำนาจต่างชาติเข้าครอบครองประเทศจีนเป็นส่วนๆ ปัจจัยทุนนิยมงอกเงยขึ้นมาอย่างยากลำบาก กลุ่มทุนจีนตกเป็นเบี้ยล่างของทุนผูกขาดต่างชาติ อำนาจรัฐตกอยู่ในมือของกลุ่มทุนขุนนางนายหน้า ตัวแทนผลประโยชน์เจ้าที่ดินและมหาอำนาจต่างชาติ ฯลฯ
อำนาจครอบงำเหล่านี้ ตั้งหน้าตั้งตาตักตวงผลประโยชน์ แก่งแย่งกันครอบครองแหล่งทรัพยากรธรรมชาติและตลาดจีน ด้วยวิธีการต่างๆ รวมทั้งวิธีการทางการทหาร สร้างเงื่อนไขให้เกิดการปฏิวัติด้วยกำลังอาวุธ ทำสงครามประชาชนขึ้นในประเทศจีน
ในภาวะเช่นนี้ ประชาชนจีนซึ่งประกอบด้วยชาวนาชาวไร่ในชนบทเป็นส่วนใหญ่ มีกรรมกรผู้ใช้แรงงาน และพ่อค้าแม่ขายรายเล็กรายน้อยอีกจำนวนหนึ่ง จึงตกอยู่ในสภาวะลำบาก ถูกกดขี่ขูดรีดเอารัดเอาเปรียบ ข่มเหงรังแก ไร้อนาคต พวกเขากลายเป็น "เนื้อนาบุญ" ผืนใหญ่ของชาวพรรคคอมมิวนิสต์ ในการเคลื่อนไหวจัดตั้ง ระดมปัจจัยต่างๆ เข้าสู่กระบวนการปฏิวัติด้วยกำลังอาวุธ ทำสงครามประชาชน ใช้ชนบทล้อมเมืองและยึดเมืองในที่สุด
ในการนี้ เหมาเจ๋อตงจึงได้พัฒนาทฤษฎีชี้นำการปฏิวัติขึ้นมาเป็นชุดๆ สะท้อนถึงกระบวนธรรมที่ดำรงอยู่และขับเคลื่อนไปในสังคมจีน และนำเสนอหนทางหรือ "มรรค" สำหรับการขับเคลื่อนสังคมจีนให้พ้นไปจากวังวนของความทุกข์
ทฤษฎีต้นแบบของการปฏิวัติจีน ที่เหมาเจ๋อตงนำเสนอ และได้รับการยอมรับนำไปปฏิบัติใช้ทั่วทั้งประเทศในช่วงนั้นก็คือ "การปฏิวัติประชาธิปไตยแผนใหม่"
ตามทฤษฎีนี้ "กระบวนธรรม" ของการปฏิวัติประเทศจีน หลักๆ คือจะต้องดำเนินไปภายใต้การนำของพรรคการเมืองชนชั้นกรรมาชีพ และแบ่งเป็นสองขั้นตอน
เหตุผลก็คือ สังคมจีนได้ก้าวเข้าสู่ความเป็นกึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินาตั้งแต่สงครามฝิ่น (ก่อนนั้นเป็นสังคมศักดินาที่เป็นเอกราชเต็มตัว) คู่ความขัดแย้งหลักของสังคมจีนที่จะต้องแก้ให้ตกไป ก็คือความขัดแย้งระหว่างประชาชาติจีนกับจักรพรรดินิยมต่างชาติ ดังนั้น ในขั้นแรก ประชาชนจีนทั้งประเทศ ที่รักชาติ จะต้องรวมตัวกันเข้า ทำการต่อสู้ขับไล่อำนาจอิทธิพลจักรพรรดินิยมต่างชาติ ซึ่งก็คือทำการปฏิวัติประชาธิปไตย นำประเทศไปสู่ความเป็นอิสระ ประชาชนหลุดพ้นจากการครอบงำของอิทธิพลต่างชาติ เจ้าที่ดินและทุนขุนนางนายหน้า
โดยสาระ ภารกิจของการปฏิวัติประชาธิปไตย ก็คือโค่นล้มอำนาจปกครองของจักรพรรดินิยมและศักดินานิยม นำประเทศจีนให้พ้นจากสภาวะกึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินา กลายเป็นประเทศเอกราช เป็นประชาธิปไตย
ส่วนการปฏิวัติสังคมนิยม ตามอุดมการณ์มาร์กซิสม์ จะต้องทำหลังจากการปฏิวัติประชาธิปไตยผ่านพ้นไปแล้ว คู่ความขัดแย้งหลักในสังคมจีนชุดเก่าได้สลายตัวไปแล้ว เกิดคู่ความขัดแย้งใหม่ขึ้นมาแทนที่ (ระหว่างชนชั้นนายทุนจีนกับชนชั้นกรรมาชีพ) ซึ่งการดำเนินการปฏิวัติในขั้นที่สองก็จะมีกระบวนวิธีการหรือ "มรรค" ที่สอดคล้องกับสภาวะหรือ "กระบวนธรรม" ที่เป็นจริง ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการแบบเดิมๆ
"หัวใจ" ของกระบวนธรรมอยู่ที่ "อำนาจการนำ"
เหมาเจ๋อตงได้ประมวลลักษณะและวิธีการเคลื่อนไหวปฏิวัติอย่างรอบด้าน ในรูปของ "แนวทางทั่วไป" (ภาษาจีนเรียกว่า "จ่งลู่เสี้ยน" "จ่ง" แปลว่าทั้งหมดหรือรวม "ลู่เสี้ยน" แปลว่า "เส้นทาง" หรือ "มรรค")
สาระสำคัญของแนวทางทั่วไปก็คือ จะต้องนำโดยชนชั้นกรรมาชีพ โดยมวลประชามหาชนเป็น "เจ้าภาพ" ตัวจริง เป้าหมายคือโค่นล้มจักรพรรดินิยม ศักดินานิยม และลัทธิทุนขุนนาง (ภาษาจีนว่า "กวนเหลียวจือเปิ่นจู่อี้")
ทั้งนี้ "หัวใจ" ของแนวทางทั่วไปหรือกระบวนธรรมทั้งหมด อยู่ที่ "อำนาจการนำ" คือการปฏิวัติประชาธิปไตยจีนจะต้องนำโดยชนชั้นกรรมาชีพ ซึ่งก็คือพรรคคอมมิวนิสต์จีน พรรคการเมืองที่เป็นกองหน้าของชนชั้นกรรมาชีพจีน
ในทางปฏิบัติหรือ "มรรค" พรรคฯ จีนจะทำหน้าที่เป็นแกนนำ ด้วยการสร้างแนวร่วมปฏิวัติอย่างกว้างขวางที่ตั้งอยู่บนรากฐานของพันธมิตรกรรมกรชาวนา มีแต่ทำเช่นนี้ พรรคฯจีนจึงจะทำหน้าที่เป็นแกนนำ มีอำนาจนำในการเคลื่อนไหวปฏิวัติอย่างเป็นจริง
การแสดงถึงการมีอำนาจนำในการปฏิวัติเมื่อทำงานแนวร่วมกับชนชั้นนายทุน พรรคฯ จีน จะต้องรักษาความเป็นอิสระเป็นตัวของตัวเองเสมอ นั่นคือทั้งต่อสู้และสามัคคีกับชนชั้นนายทุน
ที่สำคัญยิ่งกว่าอื่นใด คือจะต้องสร้างกองกำลังติดอาวุธปฏิวัติที่เข้มแข็งเกรียงไกร ที่อยู่ภายใต้การนำของพรรคฯ กองกำลังติดอาวุธที่ปฏิวัติดังกล่าว จะเป็นหลักประกันพื้นฐานที่สำคัญที่สุด ให้แก่อำนาจการนำของชนชั้นกรรมาชีพในการปฏิวัติประชาธิปไตย
พลังปฏิวัติคือปวงประชามหาชน
ทฤษฎีปฏิวัติประชาธิปไตยของเหมาเจ๋อตง ระบุชัดว่า ปวงประชามหาชน ที่ประกอบด้วยชนชั้นกรรมกร ชนชั้นชาวนา ชนชั้นนายทุนน้อยในเมืองและชนชั้นนายทุนชาติ คือพลังขับเคลื่อนการปฏิวัติประชาธิปไตย
พรรคคอมมิวนิสต์จีนมีหน้าที่กำหนดแนวทาง นโยบาย ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี หรือ "มรรค" ไปดำเนินการจัดตั้ง สามัคคีพลังรวมเหล่านี้ ให้เกิดเป็นพลังร่วมอันยิ่งใหญ่ ดุจกำปั้นเหล็ก ไล่ทุบศัตรูให้พ่ายแพ้ไป