xs
xsm
sm
md
lg

"แม้ว"นัดคุยมาเลย์-อิเหนา เคลียร์กรณีงดแตะไฟใต้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน/เอเอฟพี/รอยเตอร์ – “ทักษิณ”บินเข้าลาว เตรียมหารือลับกับนายกฯพม่ากลางดึกวานนี้ รวมถึงจับเข่าคุยกับผู้นำมาเลย์-อินโดนีเซีย กรณีที่ขอให้ที่ประชุมอาเซียนงดเว้นการวิจารณ์เหตุการณ์ความไม่สงบทางภาคใต้ ขณะที่บรรดาประมุขอาเซียนเรียกร้องผนึกกำลัง เพื่อสร้างกลุ่มที่มีอำนาจต่อรองทัดเทียมสหรัฐฯและยุโรป

วานนี้ (28 พ.ย.) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคณะได้ออกเดินทางไปร่วมประชุมสุดยอดผู้นำสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ครั้งที่ 10 และการประชุมสุดยอดอื่นๆ ณ กรุงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และจะเดินทางกลับสู่ประเทศไทย ในวันอังคารที่ 30 พ.ย.

นัดเคลียร์ปัญหาใต้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงค่ำวันอาทิตย์ รัฐบาลลาวจะเลี้ยงต้อนรับผู้นำทุกประเทศที่เดินทางเข้าร่วมประชุม และเปิดตัวผู้นำพม่า และอินโดนีเซีย ซึ่งได้รับการแต่งตั้งและเลือกตั้งขึ้นมาใหม่ และจะมีการหารือกันนอกรอบที่โรงแรมดงป่าสักวิลเลจ ซึ่งลาวจัดเป็นที่พักของผู้นำทุกประเทศ

ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ มีกำหนดหารือทวิภาคีกับนายกฯพม่าคนใหม่ ในเวลา 23.00 น.วันเดียวกัน ซึ่งนายกฯพม่ามีความต้องการที่จะหารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยตัวเอง

นายจักรภพให้สัมภาษณ์สำนักข่าวรอยเตอร์ว่า นายกฯทักษิณจะเสนอแนะในที่ประชุมอาเซียนว่า ผู้นำอาเซียนควรหารืออย่างไม่เป็นทางการ เพื่อรับรู้สถานการณ์ล่าสุดของพม่า และความคืบหน้าของโรดแมปเพื่อประชาธิปไตย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การดำเนินการดังกล่าวจะต้องได้รับความเห็นชอบจากพม่าก่อน

ขณะเดียวกัน สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานโดยอ้างเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศของไทยที่ไม่ประสงค์ออกนามว่า นายกฯทักษิณได้นัดพบผู้นำมาเลเซียและอินโดนีเซียคืนวานนี้ เพื่ออธิบายถึงสาเหตุที่ไทยไม่ต้องการให้ที่ประชุมสุดยอดอาเซียนหยิบยกเรื่องความไม่สงบทางชายแดนภาคใต้มาวิพากษ์วิจารณ์

รวมกลุ่มคานอำนาจตต.

นอกจากนั้น สำนักข่าวเอเอฟพียังรายงานว่า บรรดาผู้นำอาเซียนที่ร่วมประชุมในลาว เรียกร้องให้มีการผนึกเศรษฐกิจแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพื่อตั้งกลุ่มที่มีอำนาจต่อรองกับสหรัฐฯและยุโรป

ประธานาธิบดีกลอเรีย อาร์โรโยของฟิลิปปินส์ กล่าวในที่ประชุมภาคธุรกิจวานนี้ว่า อาเซียนจำเป็นต้องผลักดันความพยายามในการรวมกลุ่มในปี 2020 หรือเร็วกว่านั้น จากนั้นจึงอ้าแขนรับจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย อันจะทำให้เกิดกลุ่มเศรษฐกิจทรงอิทธิพล ที่มีอำนาจในการเจรจาต่อรองในอนาคตกับสหรัฐฯ ยุโรป ละตินอเมริกา แอฟริกา ตลอดจนถึงองค์การระดับภูมิภาคอื่นๆ

ตามด้วยนายกรัฐมนตรีอับดุลเลาะห์ อาหมัด บาดาวีของมาเลเซีย ที่กระตุ้นให้อาเซียนผนึกกำลังกับประเทศคู่ค้าภายในภูมิภาค เพื่อส่งเสริมการเติบโต ควบคู่ไปกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน อันจะช่วยดึงดูดการค้าและการลงทุน

ด้านผู้นำใหม่ของอินโดนีเซีย ซูซิโล บัมบัง ยุทโธโยโน ที่เข้าร่วมประชุมเป็นครั้งแรก กล่าวว่า อาเซียนจำเป็นต้องลดการคอร์รัปชั่น ปรับปรุงถนนหนทาง สนามบิน และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ เพื่อรักษาเสน่ห์ดึงดูดนักลงทุน

อนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่า ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากเหล่าผู้นำให้มีการผนึกเศรษฐกิจภายในภูมิภาคให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทว่า เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา บรรดารัฐมนตรีอาเซียนกลับไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการจัดซัมมิตพิเศษกับ 3 ชาติเอเชียตะวันออก ที่มาเลเซียและญี่ปุ่นเสนอเป็นเจ้าภาพร่วมกันในปีหน้า โดยที่ประชุมเห็นพ้องให้นำประเด็นนี้ไปหารือต่อต้นปีหน้าที่ฟิลิปปินส์

สำหรับในวันจันทร์ คณะผู้นำทุกประเทศ รวมทั้งออสเตรเลีย ที่เข้าร่วมประชุมเป็นครั้งแรก จะเปิดประชุมร่วมกัน โดยมีประเด็นเรื่องของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน สืบเนื่องจากผู้นำอาเซียนได้เห็นชอบให้เร่งรัดการรวมกลุ่มสินค้าและบริการสำคัญ 11 สาขา ของอาเซียน เพื่อนำไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ภายในปี 2020 ตามแถลงการณ์ Bali Concord II เดือนตุลาคม 2546 โดยอาเซียนจะมีตลาดและฐานการผลิตร่วมกัน และมีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน เงินทุน และแรงงานมีฝีมืออย่างเสรียิ่งขึ้น โดยให้มีการเร่งลดอัตราภาษีให้เป็นร้อยละ 0 ภายในปี 2007 การขจัดมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี การจัดทำมาตรการร่วมกัน การเคลื่อนย้ายของบุคลากร และอำนวยความสะดวกการเดินทางภายในอาเซียน ฯลฯ

ผู้นำอาเซียนจะได้ลงนามใน ASEAN Framework Agreement for the Integration of Priority Sectors และรัฐมนตรีที่รับผิดชอบในการร่วมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียนจะลงนามในพิธีสารสำหรับการรวมกลุ่มสินค้าและบริการ 11 สาขา ซึ่งมี Roadmap ของ 11 สาขา เป็นเอกสารภาคผนวก ในการประชุมสุดยอดอาเซียนวันที่ 29 พ.ย.47 ซึ่งฝ่ายไทยเห็นว่า แนวทางการหารือควรชี้ให้เห็นถึงความสำคัญในการมุ่งผลักดันการดำเนินมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐตามแผนและกรอบเวลาที่ได้กำหนดไว้ และเน้นย้ำบทบาทของรัฐมนตรีที่ดูแลรับผิดชอบการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียน ที่จะต้องประสานร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ และส่งเสริมบทบาทของภาคเอกชน ในการเข้ามามีส่วนร่วมและริเริ่มโครงการลงทุนต่าง ๆ รวมทั้งติดตามและประเมินผลให้เป็นไปตามแผนอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว

มั่นใจดันแผนFTAออสซี่-จิงโจ้

ขณะเดียวกัน วานนี้ อเล็กซานเดอร์ ดาวเนอร์ รัฐมนตรีต่างประเทศออสเตรเลีย แสดงความมั่นใจว่า ในการประชุมครั้งนี้ ผู้นำอาเซียนจะตกลงเริ่มเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีกับออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ระหว่างฤดูร้อนปีหน้า แม้ทั้งสองประเทศไม่ได้ลงนามสนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในภูมิภาค (TAC)ตามที่อาเซียนเรียกร้องก็ตาม

ดาวเนอร์เสริมว่า หากผู้นำอาเซียนเห็นพ้องในการตั้งเขตการค้าเสรี จะถือเป็นพัฒนาการอันน่าตื่นเต้นในแง่ของวิวัฒนาการความสัมพันธ์ระหว่างออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์กับอาเซียน

เสนอไอเดียกระตุ้นท่องเที่ยว

โทนี่ เฟอร์นันเดซ ประธานบริหารแอร์เอเชียแห่งมาเลเซีย ผู้บุกเบิกวงการสายการบินต้นทุนต่ำในเอเชีย ให้สัมภาษณ์ข้างเวทีการประชุมภาคธุรกิจในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า อาเซียนจำเป็นต้องลดภาษีสนามบิน และค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่เรียกเก็บจากสายการบิน อาทิ ค่าธรรมเนียมการลงจอด ค่าธรรมเนียมการใช้เส้นทางบิน เพื่อลดต้นทุนการเดินทางทางอากาศ อันจะส่งเสริมให้นักเดินทางหันมามองอาเซียนเป็นจุดหมายปลายทาง โดยแนะนำว่า อาเซียนอาจใช้นโยบายเลือกปฏิบัติ ด้วยการลดภาษีและ ค่าธรรมเนียมต่างๆ สำหรับเที่ยวบินภายในภูมิภาค

เฟอร์นันเดซตั้งข้อสังเกตว่า จำนวนนักท่องเที่ยวในอินโดนีเซียเพิ่มขึ้น หลังจากมีการผ่อนคลายกฎระเบียบการเดินทางทางอากาศ นอกจากนั้น การวิจัยตลาดเมื่อเร็วๆ นี้ยังพบว่า มีชาวมาเลเซียเพียง 6% ชาวไทยและอินโดนีเซียชาติละ 1% ที่เดินทางทางอากาศก่อนการแจ้งเกิดของสายการบินต้นทุนต่ำ

ประธานบริหารแอร์เอเชียยังเรียกร้องรัฐบาลในอาเซียน ให้ส่งเสริมการเติบโตของสายการบินต้นทุนต่ำภายในภูมิภาค

ทางด้านรองประธานสมาคมการท่องเที่ยวอาเซียน เอลลี ฮูตาบารัต สำทับว่า อาเซียนกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในภูมิภาค และในหมู่นักเดินทางตะวันออกกลาง ส่วนหนึ่งเนื่องจากสหรัฐฯและยุโรปมีกฎเข้มงวดยิ่งขึ้นสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางเข้าประเทศ

ทั้งนี้ คาดว่าจำนวนนักเดินทางที่จะเดินทางสู่อาเซียนจะเพิ่มขึ้นเป็น 56 ล้านคนในปี 2006 เทียบกับเกือบ 50 ล้านคนในปีนี้

กระนั้นก็ดี ฮูตาบารัตชี้ว่า อาเซียนยังมีจุดอ่อนที่ต้องแก้ไข อาทิ ภาพลักษณ์ของการต่อต้านตะวันตก การขาดการส่งเสริมในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่เป็นหนึ่งเดียว และขาดกระบวนการวีซ่าที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมถึงภัยคุกคามด้านความมั่นคง

เธอเสริมว่า สมาชิก 10 ชาติของอาเซียนควรเตรียมพร้อมเปิดประเทศ และเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวโลก เตรียมพร้อมที่จะจับนักเดินทางจีน ฮ่องกง อินเดีย และตะวันออกกลาง และว่า นโยบายวีซ่าเดียวเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การพิจารณา เพื่อลดอุปสรรคสำหรับนักท่องเที่ยวและนักลงทุน

อนึ่ง การท่องเที่ยวเป็น 1 ในอุตสาหกรรมหลัก 11 ภาคที่ต้องเปิดเสรีภายใต้แผนการสร้างตลาดเดียวในสไตล์เดียวกับสหภาพยุโรป (อียู) ภายในปี 2020 อีกทั้งเป็นแหล่งรายได้สำคัญสำหรับอาเซียน โดยทำเงินให้ถึง 27,700 ล้านดอลลาร์ในปี 2002 (ไม่รวมบรูไน) หรือ 4.8% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี)
กำลังโหลดความคิดเห็น