เอเอฟพี - วงการข่าวโทรทัศน์สหรัฐฯเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่าน เมื่อ "แดน แรตเธอร์" หนึ่งในผู้ประกาศข่าวที่ชาวอเมริกันคุ้นหน้ามากที่สุด ประกาศอำลาข่าวภาคค่ำของเครือข่ายซีบีเอส หลังไม่กี่เดือนก่อน เขาเพิ่งถูกบีบให้ต้องกล่าวคำขอโทษ กรณีใช้หลักฐานปลอมกล่าวหาประวัติการเป็นทหารรับใช้ชาติของประธานาธิบดีบุช
แรตเธอร์ วัย 73 ปี ถือเป็นหนึ่งในสามเสาหลักสำคัญของรายการข่าวภาคค่ำในสหรัฐฯ ซึ่งประกอบด้วยผู้ประกาศข่าวชื่อดังอีก 2 คน คือ ทอม โบรกาว จากเอ็นบีซี และปีเตอร์ เจนนิ่งส์ จากเอบีซี ทว่า เมื่อวันอังคาร (23) ที่ผ่านมา เขาได้ประกาศสละเก้าอี้ที่ตนเองนั่งมานาน 24 ปี และหันไปทำงานประจำเป็นนักข่าวให้กับนิตยสาร "ซิกซ์ตี้ มินิตส์" แทน
ถ้อยแถลงของการลาออกครั้งนี้ แรตเธอร์ไม่ได้ให้เหตุผลในการตัดสินใจ แต่บรรดานักวิเคราะห์เชื่อว่า น่าจะเป็นการแสดงความรับผิดชอบล่วงหน้า ก่อนที่คณะกรรมการอิสระที่ทางซีบีเอสตั้งขึ้นมา จะเปิดเผยรายงานสรุปผลการสอบสวนกรณี การใช้เอกสารปลอมกล่าวหาประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ของสหรัฐฯ ในเดือนหน้า
เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นข่าวครึกโครมก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังซีบีเอสยอมรับว่า เอกสารที่แรตเธอร์นำมาใช้โจมตีบุช เรื่องการได้รับอภิสิทธิ์เข้าประจำกองกำลังเนชั่นแนลการ์ด เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกส่งตัวไปร่วมรบสงครามเวียดนาม มีแหล่งที่มาไม่ชัดเจน ทำให้แรตเธอร์ต้องออกมากล่าวขอโทษผู้ชมในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ดี แอนดรูว์ เฮย์วาร์ด ประธานซีบีเอสนิวส์ ได้กล่าวชื่นชมการทำงานที่ผ่านมาของแรตเธอร์ ทั้งในเรื่องการเสียสละและทักษะการรายงานข่าวที่ถือเป็น "ตำนาน" ทว่า เขายังไม่ได้เปิดเผยตัวผู้ที่จะเข้ามารับหน้าที่แทน
การลาออกของแรตเธอร์ เท่ากับเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านผู้ทำหน้าที่รายงานข่าวหน้าจอโทรทัศน์ในสหรัฐฯ หลังจากก่อนหน้านั้น โบรกาว หนึ่งในสาม "บิ๊กทรี" ผู้ประกาศข่าวภาคค่ำแดนลุงแซม ก็ประกาศแผนยุติบทบาทของตนเองแล้วในสัปดาห์หน้า
สำหรับประวัติของแรตเธอร์นั้น เขาเป็นชาวเทกซัส บ้านเดียวกับประธานาธิบดีบุช เริ่มต้นอาชีพนักข่าวตั้งแต่เกิดพายุเฮอริเคนคาร์ลา พัดถล่มบ้านเกิดของตัวเองเมื่อปี 1961
เขาเริ่มมีชื่อเสียงจากการรายงานข่าวการลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี ที่เมืองดัลลัส เมื่อปี 1963 จากนั้นก็โด่งดังเรื่อยมา จากผลงานการทำข่าวในสงครามเวียดนาม รวมถึงการสัมภาษณ์อดีตประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน เกี่ยวกับคดีวอเตอร์เกต และประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซนของอิรัก ก่อนที่สหรัฐฯตัดสินใจยกทัพบุกแบกแดด เมื่อเดือนมีนาคม 2003 ไม่นาน
ปี 1981 แรตเธอร์ได้ทำหน้าที่ผู้ประกาศข่าวภาคค่ำของซีบีเอสครั้งแรก โดยเป็นการรับช่วงต่อจากรายการของวอลเตอร์ ครอนไคต์ ยักษ์ใหญ่แห่งวงการโทรทัศน์ของสหรัฐฯอีกคนหนึ่ง
ด้วยใบหน้ารูปสี่เหลี่ยม และผมสีดอกเลา ทำให้แรตเธอร์เป็นผู้ประกาศข่าวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 1999 เขาเคยกล่าวปิดรายการของตนว่า "ถ้าคุณชอบรายการนี้ เราหวังว่าคุณจะเปิดชมมันอีกในคืนพรุ่งนี้ หรือบางทีอาจชวนเพื่อนข้างบ้านดูด้วยก็ได้"
แรตเธอร์ วัย 73 ปี ถือเป็นหนึ่งในสามเสาหลักสำคัญของรายการข่าวภาคค่ำในสหรัฐฯ ซึ่งประกอบด้วยผู้ประกาศข่าวชื่อดังอีก 2 คน คือ ทอม โบรกาว จากเอ็นบีซี และปีเตอร์ เจนนิ่งส์ จากเอบีซี ทว่า เมื่อวันอังคาร (23) ที่ผ่านมา เขาได้ประกาศสละเก้าอี้ที่ตนเองนั่งมานาน 24 ปี และหันไปทำงานประจำเป็นนักข่าวให้กับนิตยสาร "ซิกซ์ตี้ มินิตส์" แทน
ถ้อยแถลงของการลาออกครั้งนี้ แรตเธอร์ไม่ได้ให้เหตุผลในการตัดสินใจ แต่บรรดานักวิเคราะห์เชื่อว่า น่าจะเป็นการแสดงความรับผิดชอบล่วงหน้า ก่อนที่คณะกรรมการอิสระที่ทางซีบีเอสตั้งขึ้นมา จะเปิดเผยรายงานสรุปผลการสอบสวนกรณี การใช้เอกสารปลอมกล่าวหาประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ของสหรัฐฯ ในเดือนหน้า
เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นข่าวครึกโครมก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังซีบีเอสยอมรับว่า เอกสารที่แรตเธอร์นำมาใช้โจมตีบุช เรื่องการได้รับอภิสิทธิ์เข้าประจำกองกำลังเนชั่นแนลการ์ด เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกส่งตัวไปร่วมรบสงครามเวียดนาม มีแหล่งที่มาไม่ชัดเจน ทำให้แรตเธอร์ต้องออกมากล่าวขอโทษผู้ชมในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ดี แอนดรูว์ เฮย์วาร์ด ประธานซีบีเอสนิวส์ ได้กล่าวชื่นชมการทำงานที่ผ่านมาของแรตเธอร์ ทั้งในเรื่องการเสียสละและทักษะการรายงานข่าวที่ถือเป็น "ตำนาน" ทว่า เขายังไม่ได้เปิดเผยตัวผู้ที่จะเข้ามารับหน้าที่แทน
การลาออกของแรตเธอร์ เท่ากับเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านผู้ทำหน้าที่รายงานข่าวหน้าจอโทรทัศน์ในสหรัฐฯ หลังจากก่อนหน้านั้น โบรกาว หนึ่งในสาม "บิ๊กทรี" ผู้ประกาศข่าวภาคค่ำแดนลุงแซม ก็ประกาศแผนยุติบทบาทของตนเองแล้วในสัปดาห์หน้า
สำหรับประวัติของแรตเธอร์นั้น เขาเป็นชาวเทกซัส บ้านเดียวกับประธานาธิบดีบุช เริ่มต้นอาชีพนักข่าวตั้งแต่เกิดพายุเฮอริเคนคาร์ลา พัดถล่มบ้านเกิดของตัวเองเมื่อปี 1961
เขาเริ่มมีชื่อเสียงจากการรายงานข่าวการลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี ที่เมืองดัลลัส เมื่อปี 1963 จากนั้นก็โด่งดังเรื่อยมา จากผลงานการทำข่าวในสงครามเวียดนาม รวมถึงการสัมภาษณ์อดีตประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน เกี่ยวกับคดีวอเตอร์เกต และประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซนของอิรัก ก่อนที่สหรัฐฯตัดสินใจยกทัพบุกแบกแดด เมื่อเดือนมีนาคม 2003 ไม่นาน
ปี 1981 แรตเธอร์ได้ทำหน้าที่ผู้ประกาศข่าวภาคค่ำของซีบีเอสครั้งแรก โดยเป็นการรับช่วงต่อจากรายการของวอลเตอร์ ครอนไคต์ ยักษ์ใหญ่แห่งวงการโทรทัศน์ของสหรัฐฯอีกคนหนึ่ง
ด้วยใบหน้ารูปสี่เหลี่ยม และผมสีดอกเลา ทำให้แรตเธอร์เป็นผู้ประกาศข่าวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 1999 เขาเคยกล่าวปิดรายการของตนว่า "ถ้าคุณชอบรายการนี้ เราหวังว่าคุณจะเปิดชมมันอีกในคืนพรุ่งนี้ หรือบางทีอาจชวนเพื่อนข้างบ้านดูด้วยก็ได้"