สังคมไทยเป็นสังคมเก่าแก่ “สะสมและสั่งสม” ขนบธรรมเนียมประเพณีมายาวนานนับร้อยๆ ปี จน “ตกผลึก” เป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมานับชั่วนาตาปี และที่สำคัญที่สุด คือ “วัฒนธรรมไทย” เป็นวัฒนธรรมที่ถูกหล่อหลอมมาจาก “อารยธรรม” เก่าแก่ของบรรพชนดั้งเดิมที่ทั้งถ่ายทอดและปลูกฝังนานนับพันปีก็เป็นได้ โดยเฉพาะวัฒนธรรมละว้า วัฒนธรรมขอม วัฒนธรรมแขก วัฒนธรรมล้านนา วัฒนธรรมจีนและวัฒนธรรมไทยดั้งเดิม ซึ่งเป็น “วัฒนธรรม” ที่เชื่อว่ามาจากจุดกำเนิดเดียวกันแล้วแตกเหล่าแตกกอ ประยุกต์จนกลายเป็น “วัฒนธรรมประจำชาติ-วัฒนธรรมประจำถิ่น” ของแต่ละประเทศ และ/หรือ พื้นที่ไป ทั้งนี้ ขอกล่าวอีกครั้งว่า “น่าจะ” มีวิวัฒนาการมาจากจุดกำเนิด (ORIGIN) เดียวกัน
ก่อนที่จะอธิบายถึงที่มาที่ไปของข้อสมมติฐานข้างต้นพร้อม “ข้อคิดเห็น-ข้อพิสูจน์” บางประการ จะขออธิบายคำว่า “สะสม” และ “สั่งสม” ก่อนว่าคืออะไรและแตกต่างกันอย่างไร
“สะสม” คือ กระบวนการ “เก็บเล็กผสมน้อย” โดยไม่มีกรอบหรือแนวทางที่มีการกำหนดตายตัว เป็นทั้งวิวัฒนาการและพัฒนาการของการเรียนรู้ที่เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัว และ/หรือ บังคับแต่ประการใด ซึ่ง “เวลา” และ “ประสบการณ์” เป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุดของ “การสะสม” โดยบางคนอาจสะสมได้มากหรือสะสมได้น้อย แล้วแต่ “สมรรถภาพ-ศักยภาพ” ของแต่ละคน โดยเฉพาะ “ความปราดเปรื่อง” เฉพาะตัวที่จะมีความสามารถเรียนรู้และสะสมได้มากน้อยเพียงใด จนก่อให้เกิด “วิจารณญาณ-การตัดสินใจ (JUDGEMENT)” ที่แตกต่างกัน หรือกล่าวอย่างง่ายๆ ก็หมายความว่า “สะสม” เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดจากความไม่ตั้งใจ ไม่มีการกำหนด เป็นปรากฎการณ์ตามธรรมชาติของการเรียนรู้ ใครเก็บได้มากก็ “สะสมมาก!” ใครเก็บได้น้อยก็ “สะสมน้อย!”
“สั่งสม” เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ต้องผ่าน “กระบวนการกล่อมเกลา” และ “กระบวนการอบรมสั่งสอน” หรือพูดง่ายๆ ก็หมายความว่าเป็นการเรียนรู้โดยกระบวนการ “สั่ง” และ “สอน” ที่มีหลักเกณฑ์ ระเบียบและที่สำคัญที่สุด คือ “ภาคบังคับ” ด้วยการ “สั่ง” เพราะฉนั้นตัวแปรเรื่อง “เวลา” พร้อมทั้ง “กรอบแนวทาง” จะเป็นตัวกำหนดสำคัญของกระบวนการเรียนรู้ “สั่งสม” นี้ ทั้งนี้ว่าไปแล้วกระบวนการ “สั่งสม” นี้จะทำให้วิวัฒนาการและพัฒนาการของแต่ละคนนั้น เร็วมากขึ้นและมีทิศทางมากขึ้น ดังนั้น “การศึกษาตามหลักสูตร” จึงเป็น “การสั่งสม” ที่สัมฤทธิ์ผลดีที่สุดและเร็วที่สุด เพราะ “สั่งสม” คือ “ตัวเร่ง”
อย่างไรก็ตาม “สะสม” และ “สั่งสม” นั้นต้องเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดควบคู่ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งหมายความว่าทั้ง “ภาคบังคับ” และ “ภาคธรรมชาติ” จะก่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่ค่อยเป็นค่อยไป โดยต้องมีทั้ง “กรอบ” และ “บริบท” หรือ “สภาพแวดล้อม” ที่สอดคล้องเอื้ออำนวยต่อกัน กระบวนการเรียนรู้จึงจะบรรลุถึงขั้นประสิทธิภาพประสิทธิผลได้
“วัฒนธรรม” ก็เช่นเดียวกันเป็น “กระบวนการสะสม-สั่งสม” ที่ใช้เวลานานที่ทั้ง “ทับถม-ตกผลึก” จนกลายเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของ “พฤติกรรม” มนุษย์ที่ถูก “หล่อหลอม” ให้เกิด “ค่านิยม-ความเชื่อ-การยึดถือ” จนกลายเป็น “วิถีชีวิต” และ/หรือ อาจเลยเถิดไปจนถึงขั้น “นับถือเป็นศาสนา!” ไปเลยก็มี ซึ่งเราก็ต้องยอมรับความจริงว่า “ศาสนา” ก็เป็น “วัฒนธรรม” ที่มีผลสำคัญมากต่อมนุษยชาติ
วัฒนธรรมของแต่ละชาติมักจะแตกต่างชนิดห่างกันไกลเลยก็พอมีบ้าง แต่ชนิดสุดโต่งกันเลยนั้น สามารถสังเกตได้ก็ “วัฒนธรรมตะวันตก (WESTERN CULTURE)” กับ “วัฒนธรรมตะวันออก (EASTERN CULTIRE)” โดยสามารถแบ่งแยกได้เลยระหว่าง วัฒนธรรมเอเชียที่เป็นการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมอินเดียและจีน โดยยังมีวัฒนธรรมละว้า และขอมเป็นรากฐานสำคัญ ส่วนวัฒนธรรมตะวันตกนั้นมีพื้นฐานจากโรมันแคทอลิค พร้อมผสมผสานกับศาสนาคริสต์นิกายต่างๆ อาทิ โรมันแคทอลิค โพเทสแตนท์ แบ๊บอิสต์ ตลอดจนเผ่าพันธุ์แองโกร แซกซอน (ANGLO-SAXON) ทั้งนี้ วัฒนธรรมเก่าแก่โบราณของชาวกรีกและโรมันก็เป็นรากฐานสำคัญหรือแม้กระทั่งยุโรปตะวันออกที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมตะวันตก ซี่งหมายรวมไปถึงกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป เลยไปจนถึงทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ค่อนข้างสมัยใหม่มากกว่า วัฒนธรรมตะวันตกโบราณที่ยังฝังรากลึกอยู่กับ “กลุ่มประเทศยุโรปเก่า” อาทิ อิตาลี สเปน กรีก เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม “วัฒนธรรมเก่า” ไม่ว่าสังคมตะวันตก ตะวันออก ล้วนยึดติดอยู่กับ “ความเชื่อ-ค่านิยม” เดิมๆ ที่ยังวนเวียนอยู่กับเรื่องทาง “ลัทธิพิธีกรรม” ต่างๆ ไม่ว่าทางไสยศาสตร์ และโหราศาสตร์ ตลอดจน “ระบบเก่า” อาทิ ระบบอาวุโส ระบบอุปถัมภ์ ระบบเครือญาติ แต่ “วัฒนธรรมตะวันตกยุคใหม่” มักเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างมาก โดยมี “ความเห็นแก่ตัว-ตัวใครตัวมัน” มากขึ้น นอกเหนือจากนั้น ยังยึดติดอยู่กับ “หลักการ-คุณธรรม” มากยิ่งขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือ “ความเป็นวิทยาศาสตร์” จะมีอิทธิพลมากต่อสังคมตะวันตกยุคใหม่!
เราสังเกตได้ว่า ฝรั่งมักไม่ค่อยยึดติดกับระบบอาวุโสมากเท่าสังคมเอเชียหรือระบบเครือญาติ ที่ต่างคนต่างอยู่ เมื่อจบการศึกษาระดับเตรียมอุดมศึกษาหรือไฮสกูลแล้ว ลูกๆ ก็จะแยกย้ายออกไปหางานทำหรือศึกษาต่อ และแยกไปอยู่กันตามลำพัง พอถึงเทศกาลสำคัญก็จะมารวมญาติกันครั้ง ในขณะเดียวกันก็จะมีบางครอบครัวเรียกชื่อต้นว่า จอห์น เจมส์ บ๊อป กันไปเลย โดยอาจไม่มีการเรียกว่า “พ่อ-แม่-แดด” หรือ “ลุง-อา-ป้า” อะไรทำนองนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมฝรั่งจะไม่มี “วัฒนธรรม” เรียก “พี่-น้อง” อย่างสิ้นเชิงโดยจะเรียกชื่อกันไปเลย
ระบบอุปถัมภ์ก็ดี ระบบเอื้ออาทรก็ดี แทบจะไม่ค่อยปรากฏในสังคมตะวันตก “ระบบคุณธรรม” จะเป็นหลักการที่ยึดถือปฏิบัติกันโดยตลอด “ระบบการแข่งขัน” ด้วยความรู้ความสามารถจึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้ “สมรรถนะในการแข่งขัน” ของสังคมฝรั่งมีสูงมากกว่าสังคมเอเชีย ว่าไปแล้ว “ระบบการแข่งขัน” ในสังคมฝรั่งก็นับว่าเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน
ถามว่า วัฒนธรรมเก่าๆ ของสังคมเอเชีย โดยเฉพาะในบ้านเรานั้น “ผิด” หรือไม่?” ก็ต้องตอบว่า “ไม่ผิด!” เพียงแต่ว่า อาจจะทำให้ “ระบบคุณธรรม” และ “ระบบการแข่งขัน” ไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลได้ จึงก่อให้เกิด “ความบกพร่อง!” ใน “กระบวนการทางความคิด-กระบวนการในการทำงาน” เพราะฉะนั้น ตัวแปรทาง “การบริหารจัดการ (MANAGEMENT)” ของบ้านเราต้องบรรจุตัวแปรทางวัฒนธรรมไทยลงไปด้วยเพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจถึง “ระบบการทำงาน” ของสังคมไทย
ระบบเก่าๆ ของวัฒนธรรมไทยนั้นมี “คุณค่า (VALUE)” ที่ก่อให้เกิดความสมานฉันท์ กลมเกลียว และความอบอุ่น เพียงแต่ว่าจะต้องยึดมั่นและตีกรอบให้เกิดความ “พอดี” พร้อมทั้งต้องมีการปรับประยุกต์ให้ก้าวทันสังคมยุคใหม่ โดยให้มีผลกระทบต่อวัฒนธรรมไทยและกระบวนการทำงานให้น้อยที่สุด
เราจะสังเกตได้ว่า วัฒนธรรมจีนก็ดี วัฒนธรรมญี่ปุ่นก็ดี เป็นวัฒนธรรมเก่าทั้งสิ้นที่คนจีนและคนญี่ปุ่นยุคใหม่ก็ยังยึดถือปฏิบัติ โดยเฉพาะ “ความนอบน้อม” หรือ “การโค้งคำนับ” รวมถึง การแต่งกายด้วยชุดกิโมโน ชุดประจำชาติ หรือแม้กระทั่ง “ความอ่อนน้อมถ่อมตน” ไม่ค่อยขี้โม้โอ้อวด เคารพให้เกียรติผู้สูงอายุ ทั้งๆ ที่สังคมญี่ปุ่นนั้นล้ำยุคล้ำหน้าไปอย่างมหาศาล
ดังที่กล่าวไว้แล้วข้างต้นว่า สังคมไทยนั้นดาษดื่นไปด้วย “วัฒนธรรม” เก่าแก่ที่ประกอบไปด้วยขนบธรรมเนียมอันดีงาม เพียงแต่ว่าคนไทยในปัจจุบันไม่ว่าคนยุคเก่าหรือคนยุคใหม่ ไม่สามารถแยกแยะรายละเอียดปลีกย่อยว่า วัฒนธรรมเก่าแก่อันดีงามมีอะไรบ้าง แต่ที่เลวร้ายไปมากกว่านั้นคือ นอกเหนือจากที่ไม่รู้จักแยกแยะไม่ถูกแล้ว ยังนำเอาวัฒนธรรมตะวันตกมาปฏิบัติใช้ในการดำเนินชีวิตอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การไหว้” ที่คนไทยยุคใหม่ “ไม่ไหว้กัน!” เอาแต่ “ผงกหัว-พยักหน้า!” หรือ “เช็คแฮนด์” กัน
กระทรวงวัฒนธรรมหลังการปฏิรูประบบราชการเพิ่งจะ “ตั้งไข่” จึงพยายามที่จะกำหนดยุทธศาสตร์เกี่ยวกับ “การอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย” ด้วยการรื้อฟิ้นค่านิยมดีๆ พร้อมทั้งจุดประกายให้คนไทยรู้จัก “วัฒนธรรมไทย” และให้คุณค่ามากขึ้นกว่าเดิม ตลอดจนเริ่มรณรงค์ให้คนไทยช่วยเสริมสร้าง “เอกลักษณ์” ของวัฒนธรรมไทยให้คงอยู่ต่อไป เพราะนับวัน วัฒนธรรมไทยอันดีงาม นอกเหนือจะค่อยๆ ถูกลืมแล้วยังถูกกลืนโดยวัฒนธรรมนอกประเทศ โดยคนไทยไม่รู้ตัวหรือยอมรับโดยปริยาย
ดีแล้วที่กระทรวงวัฒนธรรมกำลังจะเดินมาถูกทางแล้ว!
……………..
ก่อนที่จะอธิบายถึงที่มาที่ไปของข้อสมมติฐานข้างต้นพร้อม “ข้อคิดเห็น-ข้อพิสูจน์” บางประการ จะขออธิบายคำว่า “สะสม” และ “สั่งสม” ก่อนว่าคืออะไรและแตกต่างกันอย่างไร
“สะสม” คือ กระบวนการ “เก็บเล็กผสมน้อย” โดยไม่มีกรอบหรือแนวทางที่มีการกำหนดตายตัว เป็นทั้งวิวัฒนาการและพัฒนาการของการเรียนรู้ที่เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัว และ/หรือ บังคับแต่ประการใด ซึ่ง “เวลา” และ “ประสบการณ์” เป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุดของ “การสะสม” โดยบางคนอาจสะสมได้มากหรือสะสมได้น้อย แล้วแต่ “สมรรถภาพ-ศักยภาพ” ของแต่ละคน โดยเฉพาะ “ความปราดเปรื่อง” เฉพาะตัวที่จะมีความสามารถเรียนรู้และสะสมได้มากน้อยเพียงใด จนก่อให้เกิด “วิจารณญาณ-การตัดสินใจ (JUDGEMENT)” ที่แตกต่างกัน หรือกล่าวอย่างง่ายๆ ก็หมายความว่า “สะสม” เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดจากความไม่ตั้งใจ ไม่มีการกำหนด เป็นปรากฎการณ์ตามธรรมชาติของการเรียนรู้ ใครเก็บได้มากก็ “สะสมมาก!” ใครเก็บได้น้อยก็ “สะสมน้อย!”
“สั่งสม” เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ต้องผ่าน “กระบวนการกล่อมเกลา” และ “กระบวนการอบรมสั่งสอน” หรือพูดง่ายๆ ก็หมายความว่าเป็นการเรียนรู้โดยกระบวนการ “สั่ง” และ “สอน” ที่มีหลักเกณฑ์ ระเบียบและที่สำคัญที่สุด คือ “ภาคบังคับ” ด้วยการ “สั่ง” เพราะฉนั้นตัวแปรเรื่อง “เวลา” พร้อมทั้ง “กรอบแนวทาง” จะเป็นตัวกำหนดสำคัญของกระบวนการเรียนรู้ “สั่งสม” นี้ ทั้งนี้ว่าไปแล้วกระบวนการ “สั่งสม” นี้จะทำให้วิวัฒนาการและพัฒนาการของแต่ละคนนั้น เร็วมากขึ้นและมีทิศทางมากขึ้น ดังนั้น “การศึกษาตามหลักสูตร” จึงเป็น “การสั่งสม” ที่สัมฤทธิ์ผลดีที่สุดและเร็วที่สุด เพราะ “สั่งสม” คือ “ตัวเร่ง”
อย่างไรก็ตาม “สะสม” และ “สั่งสม” นั้นต้องเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดควบคู่ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งหมายความว่าทั้ง “ภาคบังคับ” และ “ภาคธรรมชาติ” จะก่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่ค่อยเป็นค่อยไป โดยต้องมีทั้ง “กรอบ” และ “บริบท” หรือ “สภาพแวดล้อม” ที่สอดคล้องเอื้ออำนวยต่อกัน กระบวนการเรียนรู้จึงจะบรรลุถึงขั้นประสิทธิภาพประสิทธิผลได้
“วัฒนธรรม” ก็เช่นเดียวกันเป็น “กระบวนการสะสม-สั่งสม” ที่ใช้เวลานานที่ทั้ง “ทับถม-ตกผลึก” จนกลายเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของ “พฤติกรรม” มนุษย์ที่ถูก “หล่อหลอม” ให้เกิด “ค่านิยม-ความเชื่อ-การยึดถือ” จนกลายเป็น “วิถีชีวิต” และ/หรือ อาจเลยเถิดไปจนถึงขั้น “นับถือเป็นศาสนา!” ไปเลยก็มี ซึ่งเราก็ต้องยอมรับความจริงว่า “ศาสนา” ก็เป็น “วัฒนธรรม” ที่มีผลสำคัญมากต่อมนุษยชาติ
วัฒนธรรมของแต่ละชาติมักจะแตกต่างชนิดห่างกันไกลเลยก็พอมีบ้าง แต่ชนิดสุดโต่งกันเลยนั้น สามารถสังเกตได้ก็ “วัฒนธรรมตะวันตก (WESTERN CULTURE)” กับ “วัฒนธรรมตะวันออก (EASTERN CULTIRE)” โดยสามารถแบ่งแยกได้เลยระหว่าง วัฒนธรรมเอเชียที่เป็นการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมอินเดียและจีน โดยยังมีวัฒนธรรมละว้า และขอมเป็นรากฐานสำคัญ ส่วนวัฒนธรรมตะวันตกนั้นมีพื้นฐานจากโรมันแคทอลิค พร้อมผสมผสานกับศาสนาคริสต์นิกายต่างๆ อาทิ โรมันแคทอลิค โพเทสแตนท์ แบ๊บอิสต์ ตลอดจนเผ่าพันธุ์แองโกร แซกซอน (ANGLO-SAXON) ทั้งนี้ วัฒนธรรมเก่าแก่โบราณของชาวกรีกและโรมันก็เป็นรากฐานสำคัญหรือแม้กระทั่งยุโรปตะวันออกที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมตะวันตก ซี่งหมายรวมไปถึงกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป เลยไปจนถึงทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ค่อนข้างสมัยใหม่มากกว่า วัฒนธรรมตะวันตกโบราณที่ยังฝังรากลึกอยู่กับ “กลุ่มประเทศยุโรปเก่า” อาทิ อิตาลี สเปน กรีก เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม “วัฒนธรรมเก่า” ไม่ว่าสังคมตะวันตก ตะวันออก ล้วนยึดติดอยู่กับ “ความเชื่อ-ค่านิยม” เดิมๆ ที่ยังวนเวียนอยู่กับเรื่องทาง “ลัทธิพิธีกรรม” ต่างๆ ไม่ว่าทางไสยศาสตร์ และโหราศาสตร์ ตลอดจน “ระบบเก่า” อาทิ ระบบอาวุโส ระบบอุปถัมภ์ ระบบเครือญาติ แต่ “วัฒนธรรมตะวันตกยุคใหม่” มักเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างมาก โดยมี “ความเห็นแก่ตัว-ตัวใครตัวมัน” มากขึ้น นอกเหนือจากนั้น ยังยึดติดอยู่กับ “หลักการ-คุณธรรม” มากยิ่งขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือ “ความเป็นวิทยาศาสตร์” จะมีอิทธิพลมากต่อสังคมตะวันตกยุคใหม่!
เราสังเกตได้ว่า ฝรั่งมักไม่ค่อยยึดติดกับระบบอาวุโสมากเท่าสังคมเอเชียหรือระบบเครือญาติ ที่ต่างคนต่างอยู่ เมื่อจบการศึกษาระดับเตรียมอุดมศึกษาหรือไฮสกูลแล้ว ลูกๆ ก็จะแยกย้ายออกไปหางานทำหรือศึกษาต่อ และแยกไปอยู่กันตามลำพัง พอถึงเทศกาลสำคัญก็จะมารวมญาติกันครั้ง ในขณะเดียวกันก็จะมีบางครอบครัวเรียกชื่อต้นว่า จอห์น เจมส์ บ๊อป กันไปเลย โดยอาจไม่มีการเรียกว่า “พ่อ-แม่-แดด” หรือ “ลุง-อา-ป้า” อะไรทำนองนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมฝรั่งจะไม่มี “วัฒนธรรม” เรียก “พี่-น้อง” อย่างสิ้นเชิงโดยจะเรียกชื่อกันไปเลย
ระบบอุปถัมภ์ก็ดี ระบบเอื้ออาทรก็ดี แทบจะไม่ค่อยปรากฏในสังคมตะวันตก “ระบบคุณธรรม” จะเป็นหลักการที่ยึดถือปฏิบัติกันโดยตลอด “ระบบการแข่งขัน” ด้วยความรู้ความสามารถจึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้ “สมรรถนะในการแข่งขัน” ของสังคมฝรั่งมีสูงมากกว่าสังคมเอเชีย ว่าไปแล้ว “ระบบการแข่งขัน” ในสังคมฝรั่งก็นับว่าเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน
ถามว่า วัฒนธรรมเก่าๆ ของสังคมเอเชีย โดยเฉพาะในบ้านเรานั้น “ผิด” หรือไม่?” ก็ต้องตอบว่า “ไม่ผิด!” เพียงแต่ว่า อาจจะทำให้ “ระบบคุณธรรม” และ “ระบบการแข่งขัน” ไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลได้ จึงก่อให้เกิด “ความบกพร่อง!” ใน “กระบวนการทางความคิด-กระบวนการในการทำงาน” เพราะฉะนั้น ตัวแปรทาง “การบริหารจัดการ (MANAGEMENT)” ของบ้านเราต้องบรรจุตัวแปรทางวัฒนธรรมไทยลงไปด้วยเพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจถึง “ระบบการทำงาน” ของสังคมไทย
ระบบเก่าๆ ของวัฒนธรรมไทยนั้นมี “คุณค่า (VALUE)” ที่ก่อให้เกิดความสมานฉันท์ กลมเกลียว และความอบอุ่น เพียงแต่ว่าจะต้องยึดมั่นและตีกรอบให้เกิดความ “พอดี” พร้อมทั้งต้องมีการปรับประยุกต์ให้ก้าวทันสังคมยุคใหม่ โดยให้มีผลกระทบต่อวัฒนธรรมไทยและกระบวนการทำงานให้น้อยที่สุด
เราจะสังเกตได้ว่า วัฒนธรรมจีนก็ดี วัฒนธรรมญี่ปุ่นก็ดี เป็นวัฒนธรรมเก่าทั้งสิ้นที่คนจีนและคนญี่ปุ่นยุคใหม่ก็ยังยึดถือปฏิบัติ โดยเฉพาะ “ความนอบน้อม” หรือ “การโค้งคำนับ” รวมถึง การแต่งกายด้วยชุดกิโมโน ชุดประจำชาติ หรือแม้กระทั่ง “ความอ่อนน้อมถ่อมตน” ไม่ค่อยขี้โม้โอ้อวด เคารพให้เกียรติผู้สูงอายุ ทั้งๆ ที่สังคมญี่ปุ่นนั้นล้ำยุคล้ำหน้าไปอย่างมหาศาล
ดังที่กล่าวไว้แล้วข้างต้นว่า สังคมไทยนั้นดาษดื่นไปด้วย “วัฒนธรรม” เก่าแก่ที่ประกอบไปด้วยขนบธรรมเนียมอันดีงาม เพียงแต่ว่าคนไทยในปัจจุบันไม่ว่าคนยุคเก่าหรือคนยุคใหม่ ไม่สามารถแยกแยะรายละเอียดปลีกย่อยว่า วัฒนธรรมเก่าแก่อันดีงามมีอะไรบ้าง แต่ที่เลวร้ายไปมากกว่านั้นคือ นอกเหนือจากที่ไม่รู้จักแยกแยะไม่ถูกแล้ว ยังนำเอาวัฒนธรรมตะวันตกมาปฏิบัติใช้ในการดำเนินชีวิตอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การไหว้” ที่คนไทยยุคใหม่ “ไม่ไหว้กัน!” เอาแต่ “ผงกหัว-พยักหน้า!” หรือ “เช็คแฮนด์” กัน
กระทรวงวัฒนธรรมหลังการปฏิรูประบบราชการเพิ่งจะ “ตั้งไข่” จึงพยายามที่จะกำหนดยุทธศาสตร์เกี่ยวกับ “การอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย” ด้วยการรื้อฟิ้นค่านิยมดีๆ พร้อมทั้งจุดประกายให้คนไทยรู้จัก “วัฒนธรรมไทย” และให้คุณค่ามากขึ้นกว่าเดิม ตลอดจนเริ่มรณรงค์ให้คนไทยช่วยเสริมสร้าง “เอกลักษณ์” ของวัฒนธรรมไทยให้คงอยู่ต่อไป เพราะนับวัน วัฒนธรรมไทยอันดีงาม นอกเหนือจะค่อยๆ ถูกลืมแล้วยังถูกกลืนโดยวัฒนธรรมนอกประเทศ โดยคนไทยไม่รู้ตัวหรือยอมรับโดยปริยาย
ดีแล้วที่กระทรวงวัฒนธรรมกำลังจะเดินมาถูกทางแล้ว!
……………..