ต่างชาติซื้อหุ้นสุทธิกว่าหมื่นล้านในรอบ 2 สัปดาห์ ทิ้งพลังงานลุยเก็บแบงก์ หนุนมาร์เก็ตแคปกลุ่มแบงก์เพิ่มขึ้นเกือบแสนล้าน จากจุดต่ำสุดเดือนส.ค. ดันมาร์เก็ตแคป เพิ่มมาอยู่ที่กว่า 4.3 ล้านล้านบาท "เอ็นวีดีอาร์" โชว์ยอดฝรั่งซื้อจริง 10 วันกวาด BBL มากสุดกว่า 25 ล้านหุ้น แต่ขายสุทธิ TMB "พัฒนสิน" คาดกลุ่มแบงก์ฮ็อตยาว หลังทรุดลงกว่า 25% ตั้งแต่ต้นปี ขณะที่บล.เอเพกซ์ ชี้นักลงทุนย้ายกลุ่มเพราะราคาน้ำมันเริ่มปรับลดลง
นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาแสดงยอดซื้อสุทธิหุ้นไทยอีกครั้งในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่ขายสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้านี้ โดยเป็นการขายหุ้นในกลุ่มพลังงานที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปมากแล้ว ในขณะที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกเริ่มอ่อนตัวลง และเปลี่ยนกลุ่มมาซื้อหุ้นธนาคารพาณิชย์ ที่ก่อนหน้านี้ปรับตัวลดลงไปจนต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน
ส่งผลดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมายืนเหนือระดับ 650 จุด โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดหรือมาร์เก็ตแคป (market capitalization) กว่า 4.3 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ ในช่วงวันที่ 8-19 พ.ย. นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิรวม 10,608.05 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 799.05 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 9,809 ล้านบาท
รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ล่าสุดวันที่ 19 พ.ย. อยู่ที่ 677,689.47 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 98,024.60 ล้านบาท จากจุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 11 ส.ค. ซึ่งมีมาร์เก็ตแคปรวม 579,664.87 ล้านบาท โดยธนาคารกรุงเทพ (BBL)ยังครองมาร์เก็ตแคปสูงสุดที่ 198,505.97 ล้านบาท ตามด้วย ธนาคารกสิกรไทย(KBANK) มูลค่ารวม 126,453.91 ล้านบาท , ธนาคารกรุงไทย (KTB) มูลค่ารวม 95,586.85 ล้านบาท , ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) มูลค่ารวม 84,761.33 ล้านบาท
ส่วนดัชนีกลุ่มธนาคารล่าสุดวันที่ 19 พ.ย. ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 230.67จุด กระเตื้องจากจุดต่ำสุดที่ 197.98 จุด(13 ส.ค.47) กว่า 32.69 จุดหรือ 16.51 %
โดยการซื้อขายผ่านทางใบสำคัญแสดงสิทธิในหลักทรัพย์อ้างอิงไทย หรือ NVDR ช่วงที่นักลงทุนต่างชาติแสดงยอดซื้อสุทธิหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง พบว่ามีแรงซื้อ NVDR ของหุ้นแบงก์เข้ามาจำนวนมากเช่นกัน โดยหุ้นที่มีการซื้อผ่าน NVDR มากที่สุด คือ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ที่มีการซื้อสุทธิผ่าน NVDR จำนวน 25,931,143 หุ้น รองลงมาคือธนาคารกสิกรไทย (KBANK) มีการซื้อสุทธิผ่าน NVDR จำนวน 23,194,198 หุ้น ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) มีการซื้อผ่าน NVDR จำนวน 17,519,100 หุ้น ธนาคารนครหลวงไทย มียอดซื้อสุทธิผ่าน NVDR จำนวน 12,087,500 หุ้น ธนาคารไทยพาณิชย์ มียอดซื้อผ่าน NVDR 6,255,704 หุ้น ธนาคารกรุงไทย (KTB) มียอดซื้อสุทธิผ่าน NVDR 3,398,106 หุ้น
ในขณะที่ธนาคารทหารไทย (TMB) มียอดขายสุทธิผ่าน NVDR จำนวน 7,635,140 หุ้น ใบสำคัญแสดงสิทธิของธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY-W1) มียอดขายสุทธิ 713,100 หุ้น และธนาคารไทยธนาคาร (BT) มียอดขายสุทธิ 237,000 หุ้น ส่วน SCIB-C1 ไม่มีการซื้อขายในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
นายกวี ชูกิจเกษม หัวหน้าหน่วยงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.พัฒนสินจำกัด กล่าวว่า นับจากต้นปีหุ้นในกลุ่มธนาคารได้ปรับตัวลดลงประมาณ 25-26% ถือว่าเป็นการปรับตัวลงมากกว่าการปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่อยู่ในระดับ 17% เพราะนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของหนี้ NPL และการเพิ่มทุนของธนาคาร ซึ่งปัจจุบันนี้ปัญหาเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นทำให้นักลงทุนกลับเข้ามาลงทุนใหม่
ทั้งนี้ หุ้นที่แนะนำให้ลงทุนได้แก่ หุ้นธนาคารกสิกรไทย เนื่องจากราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาได้ปรับตัวลงมากถึง 30% และหุ้นธนาคารทหารไทยเพราะได้ปรับตัวลง 40% ส่วนธนาคารกรุงเทพราคาหุ้นได้ปรับลดลงเพียง 10%
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเพกซ์ จำกัด กล่าวว่า ราคาน้ำมันที่เริ่มมีการปรับลดลงทำให้นักลงทุนทั้งรายย่อยและนักลงทุนต่างชาติปรับลดพอร์ตการลงทุนมาที่หุ้นกลุ่มธนาคารมากขึ้น เนื่องจากหุ้นกลุ่มธนาคารมีมาร์เกตแคปถึง 15% ของมูลค่าตลาดเป็นรองเพียงกลุ่มพลังงาน
"หากพิจารณาตามปัจจัยพื้นฐานของหุ้นในกลุ่มธนาคารถือว่ายังดีอยู่โดยเฉพาะหุ้นของธนาคารขนาดใหญ่ของกลุ่ม แม้ว่าเศรษฐกิจในปีหน้าจะปรับตัวลงแต่เชื่อว่าการปล่อยสินเชื่อของธนาคารก็ยังเติบโตได้ตามการเติบโตของเศรษฐกิจ" นายสุกิจ กล่าว
ด้านนางสาวรัชนก ด่านดำรงรักษ์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์จากบล.ฟินันซ่า จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหาหลายอย่างที่เข้ามากระทบความมั่นใจของนักลงทุนต่อหุ้นในกลุ่มธนาคารเริ่มปรับตัวดีขึ้น ทำให้หุ้นธนาคารได้รับความสนใจอีกครั้ง ซึ่งเชื่อว่าการกลับเข้ามาลงทุนของนักลงทุนในครั้งนี้น่าจะเป็นการเข้ามายาว
"นักลงทุนต่างประเทศเริ่มกลับมาให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารแล้ว ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น คาดว่าหุ้นในกลุ่มนี้จะได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่องแน่นอน"นางสาวรัชนกกล่าว
บทวิเคราะห์บล.ซีมีโก้ มองการเติบโตของสินเชื่อในอนาคตจะเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ เหมือนช่วงก่อนวิกฤติเศรษฐกิจ โดยคาดว่าในปี47 กลุ่มธนาคารพาณิชย์จะมีอัตราการเติบโตของสินเชื่อที่ระดับ 10% เทียบกับ GDP ที่คาดว่าจะเติบโต 6% นอกจากนั้นในส่วนของสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (LTDR) ได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในปี 44 ที่ LTDR ลดลงไปต่ำสุดที่ 80% หลังจากนั้นมีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 84% ณสิ้นปี 46 และ 87% ณ สิ้นเดือน ก.ย. 47
ด้าน NPL มีแนวโน้มที่จะปรับลดลงต่อเนื่อง จากระดับสูงสุดในช่วงครึ่งแรกปี 42 ที่ 2.45 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 52% ของสินเชื่อรวม เหลือคงค้าง 5.9 แสนล้านบาท คิดเป็น 12.58% ณ สิ้นไตรมาส3/47 ส่วนประเด็นเรื่องความเสี่ยงระยะสั้น จากการจัดชั่นหนี้เชิงคุณภาพนั้น หลังจากที่ธนาคารกรุงไทยมี NPL พุ่งขึ้น 4.6 หมื่นล้านบาทในกลางปี 47 ขณะนี้ยังต้องรอผลตรวจสอบหนี้จัดชั้นของธนาคารใหญ่ ทั้งนี้คาดว่า NPL จะปรับลดเหลือ 3-5% ในระยะเวลา 2-3 ปีข้างหน้า จากการปรับโครงสร้างหนี้ การฟ้องร้องบังคับคดี และด้วยกลไกภาครัฐ
นอกจากนี้เชื่อว่าจากผลดำเนินงานที่ดีขึ้นจะทำให้ธนาคารพาณิชย์เริ่มกลับมาจ่ายเงินปันผลได้ โดย SCB สามารถกลับมาจ่ายเงินปันผลได้เป็นรายแรกจากผลกำไรปี 46 ตามด้วย BBL และ KBANK ซึ่งสามารถจ่ายเงินปันผลได้จากกำไรปี 47 ส่วน BAY คาดว่าจะเริ่มจ่ายได้จากกำไรในปี 48
บทวิเคราะห์ระบุว่า ในส่วนของธนาคารรัฐอาจจะมีการจ่ายเงินปันผลได้ในระดับที่น่าสนใจมากกว่า โดย SCIB จัดเป็นหุ้นปันผลที่เด่นที่สุดในกลุ่มธนาคาร ด้วยอัตราเงินปันผลตอบแทน 6-7% ต่อปี ตามด้วย KTB ในอัตรา 5% ต่อปี
บทวิเคราะห์บล.กิมเอ็ง ให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารเป็นบวกจากเดิมระดับปานกลาง เนื่องจากผลประกอบการของธนาคารหลายแห่งมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากรายได้รวมดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และรายจ่ายที่ลดลงหลังจากที่หลายธนาคารมีการไถ่ถอนตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุนเมื่อต้นปีที่ผ่านมา แต่ทั้งนี้ยังคงต้องรอดูความชัดเจนเรื่องปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ให้ชัดเจนก่อน
นอกจากนี้ประเด็นเรื่องการแก้ไขกฎหมายให้บรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน(บบส)สามารถเข้าซื้อ NPL และ NPA ออกจากระบบได้ รวมถึงการปรับตัวของธนาคารพาณิชย์ในระยะยาวเพื่อรองรับการแข่งขันของธุรกิจธนาคารในอนาคต
นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาแสดงยอดซื้อสุทธิหุ้นไทยอีกครั้งในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่ขายสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้านี้ โดยเป็นการขายหุ้นในกลุ่มพลังงานที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปมากแล้ว ในขณะที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกเริ่มอ่อนตัวลง และเปลี่ยนกลุ่มมาซื้อหุ้นธนาคารพาณิชย์ ที่ก่อนหน้านี้ปรับตัวลดลงไปจนต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน
ส่งผลดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมายืนเหนือระดับ 650 จุด โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดหรือมาร์เก็ตแคป (market capitalization) กว่า 4.3 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ ในช่วงวันที่ 8-19 พ.ย. นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิรวม 10,608.05 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 799.05 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 9,809 ล้านบาท
รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ล่าสุดวันที่ 19 พ.ย. อยู่ที่ 677,689.47 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 98,024.60 ล้านบาท จากจุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 11 ส.ค. ซึ่งมีมาร์เก็ตแคปรวม 579,664.87 ล้านบาท โดยธนาคารกรุงเทพ (BBL)ยังครองมาร์เก็ตแคปสูงสุดที่ 198,505.97 ล้านบาท ตามด้วย ธนาคารกสิกรไทย(KBANK) มูลค่ารวม 126,453.91 ล้านบาท , ธนาคารกรุงไทย (KTB) มูลค่ารวม 95,586.85 ล้านบาท , ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) มูลค่ารวม 84,761.33 ล้านบาท
ส่วนดัชนีกลุ่มธนาคารล่าสุดวันที่ 19 พ.ย. ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 230.67จุด กระเตื้องจากจุดต่ำสุดที่ 197.98 จุด(13 ส.ค.47) กว่า 32.69 จุดหรือ 16.51 %
โดยการซื้อขายผ่านทางใบสำคัญแสดงสิทธิในหลักทรัพย์อ้างอิงไทย หรือ NVDR ช่วงที่นักลงทุนต่างชาติแสดงยอดซื้อสุทธิหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง พบว่ามีแรงซื้อ NVDR ของหุ้นแบงก์เข้ามาจำนวนมากเช่นกัน โดยหุ้นที่มีการซื้อผ่าน NVDR มากที่สุด คือ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ที่มีการซื้อสุทธิผ่าน NVDR จำนวน 25,931,143 หุ้น รองลงมาคือธนาคารกสิกรไทย (KBANK) มีการซื้อสุทธิผ่าน NVDR จำนวน 23,194,198 หุ้น ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) มีการซื้อผ่าน NVDR จำนวน 17,519,100 หุ้น ธนาคารนครหลวงไทย มียอดซื้อสุทธิผ่าน NVDR จำนวน 12,087,500 หุ้น ธนาคารไทยพาณิชย์ มียอดซื้อผ่าน NVDR 6,255,704 หุ้น ธนาคารกรุงไทย (KTB) มียอดซื้อสุทธิผ่าน NVDR 3,398,106 หุ้น
ในขณะที่ธนาคารทหารไทย (TMB) มียอดขายสุทธิผ่าน NVDR จำนวน 7,635,140 หุ้น ใบสำคัญแสดงสิทธิของธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY-W1) มียอดขายสุทธิ 713,100 หุ้น และธนาคารไทยธนาคาร (BT) มียอดขายสุทธิ 237,000 หุ้น ส่วน SCIB-C1 ไม่มีการซื้อขายในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
นายกวี ชูกิจเกษม หัวหน้าหน่วยงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.พัฒนสินจำกัด กล่าวว่า นับจากต้นปีหุ้นในกลุ่มธนาคารได้ปรับตัวลดลงประมาณ 25-26% ถือว่าเป็นการปรับตัวลงมากกว่าการปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่อยู่ในระดับ 17% เพราะนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของหนี้ NPL และการเพิ่มทุนของธนาคาร ซึ่งปัจจุบันนี้ปัญหาเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นทำให้นักลงทุนกลับเข้ามาลงทุนใหม่
ทั้งนี้ หุ้นที่แนะนำให้ลงทุนได้แก่ หุ้นธนาคารกสิกรไทย เนื่องจากราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาได้ปรับตัวลงมากถึง 30% และหุ้นธนาคารทหารไทยเพราะได้ปรับตัวลง 40% ส่วนธนาคารกรุงเทพราคาหุ้นได้ปรับลดลงเพียง 10%
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเพกซ์ จำกัด กล่าวว่า ราคาน้ำมันที่เริ่มมีการปรับลดลงทำให้นักลงทุนทั้งรายย่อยและนักลงทุนต่างชาติปรับลดพอร์ตการลงทุนมาที่หุ้นกลุ่มธนาคารมากขึ้น เนื่องจากหุ้นกลุ่มธนาคารมีมาร์เกตแคปถึง 15% ของมูลค่าตลาดเป็นรองเพียงกลุ่มพลังงาน
"หากพิจารณาตามปัจจัยพื้นฐานของหุ้นในกลุ่มธนาคารถือว่ายังดีอยู่โดยเฉพาะหุ้นของธนาคารขนาดใหญ่ของกลุ่ม แม้ว่าเศรษฐกิจในปีหน้าจะปรับตัวลงแต่เชื่อว่าการปล่อยสินเชื่อของธนาคารก็ยังเติบโตได้ตามการเติบโตของเศรษฐกิจ" นายสุกิจ กล่าว
ด้านนางสาวรัชนก ด่านดำรงรักษ์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์จากบล.ฟินันซ่า จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหาหลายอย่างที่เข้ามากระทบความมั่นใจของนักลงทุนต่อหุ้นในกลุ่มธนาคารเริ่มปรับตัวดีขึ้น ทำให้หุ้นธนาคารได้รับความสนใจอีกครั้ง ซึ่งเชื่อว่าการกลับเข้ามาลงทุนของนักลงทุนในครั้งนี้น่าจะเป็นการเข้ามายาว
"นักลงทุนต่างประเทศเริ่มกลับมาให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารแล้ว ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น คาดว่าหุ้นในกลุ่มนี้จะได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่องแน่นอน"นางสาวรัชนกกล่าว
บทวิเคราะห์บล.ซีมีโก้ มองการเติบโตของสินเชื่อในอนาคตจะเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ เหมือนช่วงก่อนวิกฤติเศรษฐกิจ โดยคาดว่าในปี47 กลุ่มธนาคารพาณิชย์จะมีอัตราการเติบโตของสินเชื่อที่ระดับ 10% เทียบกับ GDP ที่คาดว่าจะเติบโต 6% นอกจากนั้นในส่วนของสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (LTDR) ได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในปี 44 ที่ LTDR ลดลงไปต่ำสุดที่ 80% หลังจากนั้นมีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 84% ณสิ้นปี 46 และ 87% ณ สิ้นเดือน ก.ย. 47
ด้าน NPL มีแนวโน้มที่จะปรับลดลงต่อเนื่อง จากระดับสูงสุดในช่วงครึ่งแรกปี 42 ที่ 2.45 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 52% ของสินเชื่อรวม เหลือคงค้าง 5.9 แสนล้านบาท คิดเป็น 12.58% ณ สิ้นไตรมาส3/47 ส่วนประเด็นเรื่องความเสี่ยงระยะสั้น จากการจัดชั่นหนี้เชิงคุณภาพนั้น หลังจากที่ธนาคารกรุงไทยมี NPL พุ่งขึ้น 4.6 หมื่นล้านบาทในกลางปี 47 ขณะนี้ยังต้องรอผลตรวจสอบหนี้จัดชั้นของธนาคารใหญ่ ทั้งนี้คาดว่า NPL จะปรับลดเหลือ 3-5% ในระยะเวลา 2-3 ปีข้างหน้า จากการปรับโครงสร้างหนี้ การฟ้องร้องบังคับคดี และด้วยกลไกภาครัฐ
นอกจากนี้เชื่อว่าจากผลดำเนินงานที่ดีขึ้นจะทำให้ธนาคารพาณิชย์เริ่มกลับมาจ่ายเงินปันผลได้ โดย SCB สามารถกลับมาจ่ายเงินปันผลได้เป็นรายแรกจากผลกำไรปี 46 ตามด้วย BBL และ KBANK ซึ่งสามารถจ่ายเงินปันผลได้จากกำไรปี 47 ส่วน BAY คาดว่าจะเริ่มจ่ายได้จากกำไรในปี 48
บทวิเคราะห์ระบุว่า ในส่วนของธนาคารรัฐอาจจะมีการจ่ายเงินปันผลได้ในระดับที่น่าสนใจมากกว่า โดย SCIB จัดเป็นหุ้นปันผลที่เด่นที่สุดในกลุ่มธนาคาร ด้วยอัตราเงินปันผลตอบแทน 6-7% ต่อปี ตามด้วย KTB ในอัตรา 5% ต่อปี
บทวิเคราะห์บล.กิมเอ็ง ให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารเป็นบวกจากเดิมระดับปานกลาง เนื่องจากผลประกอบการของธนาคารหลายแห่งมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากรายได้รวมดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และรายจ่ายที่ลดลงหลังจากที่หลายธนาคารมีการไถ่ถอนตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุนเมื่อต้นปีที่ผ่านมา แต่ทั้งนี้ยังคงต้องรอดูความชัดเจนเรื่องปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ให้ชัดเจนก่อน
นอกจากนี้ประเด็นเรื่องการแก้ไขกฎหมายให้บรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน(บบส)สามารถเข้าซื้อ NPL และ NPA ออกจากระบบได้ รวมถึงการปรับตัวของธนาคารพาณิชย์ในระยะยาวเพื่อรองรับการแข่งขันของธุรกิจธนาคารในอนาคต