ทีมเศรษฐกิจ ปชป.ระบุรัฐบาลไม่สนใจปัญหาเศรษฐกิจอย่างจริงจัง ห่วงแต่เรื่องหาเสียง แถมซ้อนงำราคาน้ำมันที่แท้จริงไว้หวังผลในการเลือกตั้ง ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาในอนาคต และจะส่งผลทำให้การจับเก็บภาษีไม่เป็นไปตามเป้า ประชาชนจะเดือดร้อนเพราะถูกรีดเงินเข้าคลัง พร้อมเตือนตัวเลขจัดเก็บ รายได้เริ่มลด ส่อแววอันตราย
นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะที่ปรึกษาคณะทำงานด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า รัฐบาลกำลังให้ความเอาใจใส่เรื่อง งานการเมือง และการเลือกตั้งมากเกินไป ทั้ง ๆ ที่ควรจะแยกแยะให้ออกระหว่าง ความเป็นรัฐบาลกับความเป็นพรรคการเมือง
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า สิ่งที่รู้สึกกังวลคือ เหตุการณ์ด้านเศรษฐกิจที่ไม่ปกติ เริ่มมีตัวเลขที่น่ากังวลออกมาให้เห็น เช่น เรื่องราคาน้ำมัน ขณะที่ประชาชนไม่สามารถค้าขายได้เช่นเดิม สิ่งที่แย่ซ้ำสองคือ กระทรวงการคลังมีเป้าหมายจัดเก็บภาษีปีนี้ 1.2 ล้านล้านบาท ทั้งที่เป็นเป้าหมายช่วงราคาน้ำมันถูก และคิดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 6-7 % แต่วันนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่าขณะนี้ข้าราชการรู้สึกกลัวว่าจะเก็บภาษีไม่ได้ตามเป้าที่รัฐบาลกำหนด ซึ่งคนที่เดือดร้อนคือ ผู้เสียภาษี ค้าขายได้ไม่ดีเหมือนเดิม แต่ กรมสรรพากรกลับไปขอให้จ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อให้เป็นไปตามเป้า ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง ต้องเอาใจใส่และควรเป็นกระทรวงหลักในการดูแลเศรษฐกิจตลอดเวลา แต่กลับไปจัดงานกระทรวงการคลังสัญจรที่จ.สุพรรณบุรี มัวไปวิ่งหาเสียงอย่างเดียวไม่ได้ แทนที่จะทำหน้าที่ตนเอง แต่รัฐบาลกลับทำงานสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลกำลังจะนำกระทรวงต่าง ๆ ออกไปสัญจร แม้แต่กระทรวงที่ไม่ควรไปมากที่สุดก็เริ่มออกไปแล้ว”
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า ภาระต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้ต้องนำเงินไปชดเชย ในเรื่องราคาน้ำมัน โดยต้องนำเงินมาช่วยพยุงไว้ถึง 42,314 ล้านบาท เพราะยังต้องตรึงราคาอยู่ และที่น่ากังวลที่สุด คือรัฐบาลจะตรึงราคาดีเซลไว้จนกว่าการเลือกตั้งจะแล้วเสร็จ หมายความว่ารัฐบาลหลอกลวงประชาชนว่าน้ำมันราคาถูก เพื่อให้เศรษฐกิจดีไว้ก่อน หลังเลือกตั้งเสร็จประชาชนจะเดือดร้อนก็ไม่เป็นไร เพราะประชาชนไปเลือกตั้งเรียบร้อยแล้ว รัฐบาลทำอย่างนี้ไม่ได้ เพราะจะเป็นปัญหามากขึ้น
ดังนั้น ขอให้รัฐบาลแก้ปัญหานี้โดยเร็วที่สุด โดยให้ประชาชนยอมรับความจริง เพราะไม่ใช่ความผิดของรัฐบาลที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น แต่จะเป็นความผิดของรัฐบาลถ้าไปตรึงราคาไว้ โดยไม่บอกความจริงกับประชาชน ไปหลอกว่าราคาน้ำมันและราคาสินค้ายังถูกอยู่ อัตราเงินเฟ้อยังไม่เพิ่มสูงขึ้น ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วพร้อมที่จะเพิ่มขึ้น
สำหรับตัวเลขในเรื่องรายได้ ซึ่งนายกฯ ออกมาระบุ 2-3 วันก่อนว่าปีที่แล้วจัดเก็บได้เกินเป้าที่ตั้งใจไว้ว่าจะจัดเก็บเป็นงบขาดดุล 99,000 ล้านบาท แต่ปรากฏว่าตัวเลขสูงถึงแสนกว่าล้านบาท แสดงว่าขาดดุลน้อยมาก และนายกรัฐมนตรียังบอกว่า มีการจัดเก็บงบกลางปี ใช้เงินไปแสนกว่าล้านบาท ตนเคยพูดว่างบประมาณกลางปีที่รัฐบาลทำอยู่ไม่จำเป็นต้องจัดเก็บ เพราะเป็นการใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย โดยเฉพาะงบกลาง 59,000 ล้านบาท ก็ใช้หมดแล้ว และถ้าเงินจำนวนดังกล่าวไม่มีการนำไปใช้วันนี้ เรายังมีเงินเหลือพอที่จะไปชดเชยราคาน้ำมันเกือบ 50,000 ล้านบาท ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดในการออกทัวร์นกขมิ้นของนายกรัฐมนตรี
“ตรงนี้น่ากลัว ถ้าพิจารณาเงินรายได้ของปีหน้า แนวโน้มเริ่มอันตราย วิธีการดูรายได้ที่จะจัดเก็บแต่ละปีให้ดูรายเดือน เพื่อเปรียบเทียบว่าเดือนนี้ในปีที่แล้ว ได้เท่าใด ผมมีตัวเลขทุกเดือนการจัดเก็บรายได้ปี 2546 เปรียบเทียบกับปี 2545 ดีกว่าทุกเดือน แสดงว่าการจัดเก็บรายได้ปี 2546 ดีอย่างที่รัฐบาลพูดไว้และดีกว่าที่ประมาณการไว้มาก ซึ่งผมเห็นว่าเป็นอย่างนั้น แต่ปี 2547 เป็นปีที่เริ่มชี้ให้เห็น อันตราย เช่น เดือน มิ.ย.2546 เก็บได้ 55,793 ล้านบาท ขณะที่เดือน มิ.ย.2547 จัดเก็บได้เพียง 49,552 ล้านบาท ส่วน เดือน ก.ย.2546 เก็บได้ 60,000 กว่าล้านบาท แต่ปี 2547 ได้ 51,914 ล้านบาท ต่ำกว่าปีที่แล้วถึง 14 % ตรงนี้เป็นตัวเลขที่ส่งสัญญาณว่าประชาชนไม่มีปัญญาส่งภาษีให้รัฐบาลได้มากเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งเป็นตัวเลขมหภาคในการขาดดุลงบประมาณ ส่วนที่ผมกังวล คือ กรมสรรพากรจะพยายามทำให้เป็นไปตามเป้า ทำให้ประชาชนเดือดร้อน”
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวอีกว่า หากดูตัวเลขคนเสียภาษีเป็นราย ๆ ไป พบว่าแม้เป็น แนวโน้มที่ดีที่มีคนเสียภาษีมากขึ้นจากปีละ 6 ล้านกว่าคน มาเป็น 6.6 ล้านคน แต่คนที่มีรายได้สูงมากกว่า 10 ล้านบาท ในอดีตเสียภาษีประมาณ 4,000 คน ปีนี้เพิ่มถึง 4,800 คน ชี้ให้เห็นว่าคนรวยรวยขึ้นมาก ขณะที่คนมีรายได้ปานกลางและรายได้น้อยตัวเลขผู้เสียภาษีไม่เพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นว่ารายได้ที่ควรจะเพิ่มกลับไม่เพิ่ม มีแต่หนี้สิ้นเพิ่มขึ้น เป็นสิ่งที่ตนกังวล และอยากฝากไปถึงรัฐบาลให้เข้าไปดูแล ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงมากกว่านี้ เพราะถ้าปล่อยไว้จะเกิดปัญหา
นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะที่ปรึกษาคณะทำงานด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า รัฐบาลกำลังให้ความเอาใจใส่เรื่อง งานการเมือง และการเลือกตั้งมากเกินไป ทั้ง ๆ ที่ควรจะแยกแยะให้ออกระหว่าง ความเป็นรัฐบาลกับความเป็นพรรคการเมือง
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า สิ่งที่รู้สึกกังวลคือ เหตุการณ์ด้านเศรษฐกิจที่ไม่ปกติ เริ่มมีตัวเลขที่น่ากังวลออกมาให้เห็น เช่น เรื่องราคาน้ำมัน ขณะที่ประชาชนไม่สามารถค้าขายได้เช่นเดิม สิ่งที่แย่ซ้ำสองคือ กระทรวงการคลังมีเป้าหมายจัดเก็บภาษีปีนี้ 1.2 ล้านล้านบาท ทั้งที่เป็นเป้าหมายช่วงราคาน้ำมันถูก และคิดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 6-7 % แต่วันนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่าขณะนี้ข้าราชการรู้สึกกลัวว่าจะเก็บภาษีไม่ได้ตามเป้าที่รัฐบาลกำหนด ซึ่งคนที่เดือดร้อนคือ ผู้เสียภาษี ค้าขายได้ไม่ดีเหมือนเดิม แต่ กรมสรรพากรกลับไปขอให้จ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อให้เป็นไปตามเป้า ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง ต้องเอาใจใส่และควรเป็นกระทรวงหลักในการดูแลเศรษฐกิจตลอดเวลา แต่กลับไปจัดงานกระทรวงการคลังสัญจรที่จ.สุพรรณบุรี มัวไปวิ่งหาเสียงอย่างเดียวไม่ได้ แทนที่จะทำหน้าที่ตนเอง แต่รัฐบาลกลับทำงานสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลกำลังจะนำกระทรวงต่าง ๆ ออกไปสัญจร แม้แต่กระทรวงที่ไม่ควรไปมากที่สุดก็เริ่มออกไปแล้ว”
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า ภาระต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้ต้องนำเงินไปชดเชย ในเรื่องราคาน้ำมัน โดยต้องนำเงินมาช่วยพยุงไว้ถึง 42,314 ล้านบาท เพราะยังต้องตรึงราคาอยู่ และที่น่ากังวลที่สุด คือรัฐบาลจะตรึงราคาดีเซลไว้จนกว่าการเลือกตั้งจะแล้วเสร็จ หมายความว่ารัฐบาลหลอกลวงประชาชนว่าน้ำมันราคาถูก เพื่อให้เศรษฐกิจดีไว้ก่อน หลังเลือกตั้งเสร็จประชาชนจะเดือดร้อนก็ไม่เป็นไร เพราะประชาชนไปเลือกตั้งเรียบร้อยแล้ว รัฐบาลทำอย่างนี้ไม่ได้ เพราะจะเป็นปัญหามากขึ้น
ดังนั้น ขอให้รัฐบาลแก้ปัญหานี้โดยเร็วที่สุด โดยให้ประชาชนยอมรับความจริง เพราะไม่ใช่ความผิดของรัฐบาลที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น แต่จะเป็นความผิดของรัฐบาลถ้าไปตรึงราคาไว้ โดยไม่บอกความจริงกับประชาชน ไปหลอกว่าราคาน้ำมันและราคาสินค้ายังถูกอยู่ อัตราเงินเฟ้อยังไม่เพิ่มสูงขึ้น ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วพร้อมที่จะเพิ่มขึ้น
สำหรับตัวเลขในเรื่องรายได้ ซึ่งนายกฯ ออกมาระบุ 2-3 วันก่อนว่าปีที่แล้วจัดเก็บได้เกินเป้าที่ตั้งใจไว้ว่าจะจัดเก็บเป็นงบขาดดุล 99,000 ล้านบาท แต่ปรากฏว่าตัวเลขสูงถึงแสนกว่าล้านบาท แสดงว่าขาดดุลน้อยมาก และนายกรัฐมนตรียังบอกว่า มีการจัดเก็บงบกลางปี ใช้เงินไปแสนกว่าล้านบาท ตนเคยพูดว่างบประมาณกลางปีที่รัฐบาลทำอยู่ไม่จำเป็นต้องจัดเก็บ เพราะเป็นการใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย โดยเฉพาะงบกลาง 59,000 ล้านบาท ก็ใช้หมดแล้ว และถ้าเงินจำนวนดังกล่าวไม่มีการนำไปใช้วันนี้ เรายังมีเงินเหลือพอที่จะไปชดเชยราคาน้ำมันเกือบ 50,000 ล้านบาท ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดในการออกทัวร์นกขมิ้นของนายกรัฐมนตรี
“ตรงนี้น่ากลัว ถ้าพิจารณาเงินรายได้ของปีหน้า แนวโน้มเริ่มอันตราย วิธีการดูรายได้ที่จะจัดเก็บแต่ละปีให้ดูรายเดือน เพื่อเปรียบเทียบว่าเดือนนี้ในปีที่แล้ว ได้เท่าใด ผมมีตัวเลขทุกเดือนการจัดเก็บรายได้ปี 2546 เปรียบเทียบกับปี 2545 ดีกว่าทุกเดือน แสดงว่าการจัดเก็บรายได้ปี 2546 ดีอย่างที่รัฐบาลพูดไว้และดีกว่าที่ประมาณการไว้มาก ซึ่งผมเห็นว่าเป็นอย่างนั้น แต่ปี 2547 เป็นปีที่เริ่มชี้ให้เห็น อันตราย เช่น เดือน มิ.ย.2546 เก็บได้ 55,793 ล้านบาท ขณะที่เดือน มิ.ย.2547 จัดเก็บได้เพียง 49,552 ล้านบาท ส่วน เดือน ก.ย.2546 เก็บได้ 60,000 กว่าล้านบาท แต่ปี 2547 ได้ 51,914 ล้านบาท ต่ำกว่าปีที่แล้วถึง 14 % ตรงนี้เป็นตัวเลขที่ส่งสัญญาณว่าประชาชนไม่มีปัญญาส่งภาษีให้รัฐบาลได้มากเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งเป็นตัวเลขมหภาคในการขาดดุลงบประมาณ ส่วนที่ผมกังวล คือ กรมสรรพากรจะพยายามทำให้เป็นไปตามเป้า ทำให้ประชาชนเดือดร้อน”
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวอีกว่า หากดูตัวเลขคนเสียภาษีเป็นราย ๆ ไป พบว่าแม้เป็น แนวโน้มที่ดีที่มีคนเสียภาษีมากขึ้นจากปีละ 6 ล้านกว่าคน มาเป็น 6.6 ล้านคน แต่คนที่มีรายได้สูงมากกว่า 10 ล้านบาท ในอดีตเสียภาษีประมาณ 4,000 คน ปีนี้เพิ่มถึง 4,800 คน ชี้ให้เห็นว่าคนรวยรวยขึ้นมาก ขณะที่คนมีรายได้ปานกลางและรายได้น้อยตัวเลขผู้เสียภาษีไม่เพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นว่ารายได้ที่ควรจะเพิ่มกลับไม่เพิ่ม มีแต่หนี้สิ้นเพิ่มขึ้น เป็นสิ่งที่ตนกังวล และอยากฝากไปถึงรัฐบาลให้เข้าไปดูแล ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงมากกว่านี้ เพราะถ้าปล่อยไว้จะเกิดปัญหา