xs
xsm
sm
md
lg

ความรุ่งเรืองและการล่มสลายของระบบการปกครองจีนโบราณ

เผยแพร่:   โดย: ลิขิต ธีรเวคิน

ราชอาณาจักรเจริญรุ่งเรืองและเสื่อม จักรวรรดิพุ่งสุดขีดและแตกสลาย นี่คือปรากฏการณ์ที่มีอยู่ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ และตัวแปรสำคัญตัวหนึ่งที่นำไปสู่ความล่มสลายของหน่วยการเมือง ไม่ว่าจะเป็นราชอาณาจักรหรือจักรวรรดิ ก็คือกลุ่มผู้ปกครองอ่อนแอของตนเอง และความอ่อนแอดังกล่าวนั้นก็มาจากปัญหาที่เกิดจากการกระทำของตนเอง โดยทั่วๆ ไปผู้ปกครองที่เข้าสู่อำนาจจะอุทิศตัวเองเพื่อประชาชน เพื่อพัฒนาสังคม ทั้งในเรื่องการบริหาร เศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน แต่เมื่อเวลาผ่านไปผู้ปกครองดังกล่าวก็จะถูกระบบทำให้เสียคน หลงอำนาจ ปล่อยให้มีการฉ้อราษฎร์บังหลวง ไม่เอาใจใส่ต่อภารกิจของบ้านเมือง มุ่งหาความสุขส่วนตัว ฯลฯ และนั่นก็จะนำไปสู่จุดจบของความรุ่งเรืองทางการเมืองการบริหาร

ตัวอย่างเช่น ในระบบการปกครองของจีนโบราณนั้น องค์จักรพรรดิจะบริหารราชการแผ่นดินโดยมีการออกคำสั่งจากวังหลวง จักรพรรดิแห่ง อาณาจักรกลาง ซึ่งเป็นชื่อเรียกจีนอีกชื่อหนึ่ง หรือภายใต้ สรวงสวรรค์ จะอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์บางประการ เช่น จะต้องประกอบพิธีกรรมเกี่ยวกับการปกครองบริหาร ขณะเดียวกันจักรพรรดิจีนก็จะอ้างอาณัติจากสวรรค์เพื่ออำนาจและความชอบธรรมของการปกครองบริหาร นอกจากนี้องค์จักรพรรดิก็ยังต้องอยู่ภายใต้การเมืองของกลุ่มต่างๆ ในพระราชวังหลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าขันทีที่พยายามเอาชนะศัตรูทางการเมือง และในกระบวนการต่อสู้ทางการเมืองของกลุ่มต่างๆ ดังกล่าวองค์จักรพรรดิก็จะถูกจูงโดยขุนนางกังฉิน ขันที และกลุ่มอื่น ให้หลงทางได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มขันทีมักจะสมรู้ร่วมคิดกับขุนนางหรือเชื้อราชวงศ์อื่นเพื่อช่วงชิงราชบัลลังก์ แต่ปัญหาหนักที่เกิดขึ้นกับความเสื่อมของราชวงศ์ก็คือ องค์จักรพรรดิจะหาความสำราญส่วนพระองค์ในฮาเร็ม ปล่อยให้ขุนนางกังฉินครองแผ่นดิน โจรผู้ร้ายชุกชุม เขื่อนกั้นน้ำและการชลประทานล่มสลาย เกิดความแล้งเข็ญ น้ำท่วม พายุ และทุพภิกขภัย ทั้งหลายทั้งปวงดังกล่าวนี้เกิดขึ้นจากการหย่อนยานของการปกครองบริหาร การไร้ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของระบบ ความเสื่อมดังกล่าวนี้จะถูกมองว่าเป็นสัญญาณว่าสวรรค์ได้ถอนอาณัติการปกครองจากองค์จักรพรรดิ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่มีความชอบธรรมที่จะมีการเปลี่ยนราชวงศ์โดยผู้นำทางการเมืองจะนำชาวนาขึ้นก่อการกบฏ จากนั้นก็ตั้งตัวเป็นจักรพรรดิและประกาศตั้งราชวงศ์ใหม่

สรุปได้ว่าสาเหตุใหญ่ของการเสื่อมอำนาจและการสูญสิ้นราชวงศ์ในระบบการเมืองจีนโบราณนั้น เกิดจากตัวแปรดังต่อไปนี้

ประการแรก องค์จักรพรรดิเมื่อขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ ก็จะอุทิศตนให้กับแผ่นดินโดยการบูรณะเขื่อนและฝาย เปลี่ยนตัวขุนนางโดยเอาคนดีมีฝีมือมาช่วยบริหารประเทศ แก้ไขความเสื่อมทรามของสังคม แต่เมื่อผ่านไปหนึ่งชั่วคนจักรพรรดิองค์ใหม่ก็จะหาความสุขสำราญในทางโลกียวิสัย ลุแก่อำนาจ ใช้อำนาจรังแกบีฑาประชาราษฎร์ ผลสุดท้ายก็จะนำไปสู่ความเสื่อมสลายต่างๆ ดังกล่าวมาแล้ว จักรพรรดิก็จะถูกมองว่าเป็นทรราชซึ่งจะนำไปสู่ขบวนการที่จะเปลี่ยนราชวงศ์โดยการเกิดกบฏชาวนา โดยผู้ที่พยายามโค่นล้มราชบัลลังก์

ประการที่สอง จักรพรรดิที่ไม่คำนึงถึงความถูกต้องตามทำนองคลองธรรม จะมีพฤติกรรมที่นำไปสู่การสร้างความแปลกแยกกับกลุ่มชั้นสูงในสังคมจีน ซึ่งได้แก่ กลุ่มผู้บริหารที่เป็นนักปราชญ์มีฐานะโดยเป็นเจ้าของที่ดินและมีความรู้ โดยกลุ่มนักปราชญ์ดังกล่าวซึ่งมักจะเป็นขุนนางมองเห็นว่าจักรพรรดิ์ได้เปลี่ยนพฤติกรรมมาเป็นทรราช หรือมิฉะนั้นก็อาจมีความอ่อนแอถูกครอบงำโดยเหล่าขุนนางกังฉินหรือขันที ดังนั้น ความชอบธรรมในการบริหารจึงหมดไป อาณัติจากสวรรค์ก็จะไม่เป็นที่รับรองและใช้อ้างไม่ได้ เมื่อความรู้สึกเช่นนี้กระจายออกไปก็จะส่งผลให้มีความพยายามที่จะเปลี่ยนตัวจักรพรรดิ ล้มราชวงศ์แล้วเปลี่ยนราชวงศ์ใหม่

ประการที่สาม องค์จักรพรรดิซึ่งถูกล้อมรอบโดยกลุ่มขุนนางกังฉิน ขันที และเหล่าสนมกำนัลใน ซึ่งมุ่งตำแหน่งอำนาจและผลประโยชน์ จะถูกปิดไม่ให้รับข่าวสารที่แท้จริงจากโลกภายนอก ทุกคนต่างไม่ต้องการให้จักรพรรดิทราบข้อมูลที่เป็นข่าวร้าย ผลที่สุดทั้งองค์จักรพรรดิเองก็ไม่ทรงยินดีรับฟังข่าวร้ายหรือข้อมูลที่ไม่สบายใจ วาจาจริงซึ่งแสลงหูจึงเป็นสิ่งที่รับฟังไม่ได้ ในขณะเดียวกันคนล้อมรอบก็ไม่กล้าพูดความจริง มีแต่คำเพ็ดทูลที่กุขึ้นมาเพื่อเอาชนะคะคานศัตรู เมื่อข่าวสารข้อมูลบกพร่องการตัดสินนโยบายทางการเมืองก็ผิดพลาด ผลสุดท้ายก็จะถึงจุดจบขององค์จักรพรรดิและราชวงศ์

สิ่งซึ่งเรียนรู้จากประวัติศาสตร์จีนก็คือ ในแง่หนึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองจีนอันเป็นประวัติศาสตร์นั้นอาจจะเกิดขึ้นในประเทศจีนเท่านั้น และไม่สามารถจะนำไปปรับเข้ากับสถานการณ์ที่อื่นได้ อย่างไรก็ตาม ถ้ามองอีกมุมหนึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองจีนนั้นเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของพฤติกรรมมนุษย์ ซึ่งจะอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ทางสังคมศาสตร์ ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ใช้กันได้ทั่วไป เป็นต้นว่า ถ้าผู้นำคนใดถูกล้อมรอบด้วยบุคคลซึ่งขาดความรู้ หรือมุ่งหาผลประโยชน์ใส่ตัว ให้ข้อมูลที่ผิดๆ ผู้นำผู้นั้นไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิจีนในยุคโบราณ กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา จักรพรรดิแห่งอาณาจักรโรม หรือที่ใดก็ตาม ก็ย่อมดำเนินนโยบายผิดพลาดได้ ดังนั้น ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์จีนโบราณจึงไม่ใช่ลักษณะพิเศษของจีนโบราณเท่านั้น หากแต่เป็นทฤษฎีซึ่งสามารถจะใช้ปรับกับที่อื่นๆ ได้ด้วย

ตัวอย่างของการสรุปเป็นทฤษฎีโดยศึกษาจากผู้นำของประเทศต่างๆ ก็คืออมตะพจน์ของ ลอร์ด แอ็กตัน (Lord Acton) ที่กล่าวไว้ว่า "อำนาจมีแนวโน้มทำให้คนเสียคน และอำนาจเด็ดขาดยิ่งทำให้คนเสียคนเด็ดขาดยิ่งขึ้น" (Power tends to corrupt and absolute power corrupts absolutely) เป็นไปได้ว่า ลอร์ด แอ็กตันได้ตั้งข้อสังเกตดังกล่าว จากการศึกษาผู้นำทางการเมืองซึ่งจะมีการแปรผันเมื่ออยู่ในตำแหน่งนานๆ โดยจะเกิดความมั่นใจมากขึ้นและถ้าถูกแวดล้อมด้วยคนประจบสอพลอ ก็จะมีพฤติกรรมซึ่งอาจจะแปลกแยกไปจากขนบธรรมเนียมประเพณี จนบางครั้งมีการละเมิดกฎหมาย หรือมีการออกกฎหมายซึ่งไม่เป็นที่พอใจของประชาชน

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ สภาพของการเกิดปัญญาวิปริตในตัวหรือหมู่ผู้นำจนมีการตรากฎหมายหรือออกคำสั่งที่ก่อความเสียหายต่อสังคมและประชาชน ยกตัวอย่างเช่น พระเจ้าท้ายสระแห่งกรุงศรีอยุธยาทรงโปรดเสวยปลาตะเพียนเป็นอย่างมาก จึงมีการป่าวประกาศห้ามไม่ให้ราษฎรกินปลาตะเพียนเพื่อพระองค์ท่านจะเสวยได้แต่พระองค์เดียว ในกรณีของจีนนั้น จักรพรรดิองค์หนึ่งสร้างสระขนาดใหญ่ขึ้น เทสุราลงไปในสระ แขวนเนื้อดิบตามต้นไม้ จากนั้นก็ทรงพายเรือหาความสำราญโดยทรงใช้ภาชนะตักน้ำซึ่งเป็นสุราขึ้นมา และหยิบเนื้อซึ่งแขวนอยู่บนต้นไม้ซึ่งเป็นเนื้อดิบมาเสวยพร้อมสุรา พฤติกรรมการปฏิบัติเช่นนี้ย่อมเป็นที่ตำหนิติเตียนของเหล่านักปราชญ์ราชบัณฑิตและขุนนาง ซึ่งแม้จะหวังดีแต่ก็ไม่สามารถจะพูดจาตักเตือนได้ อีกกรณีหนึ่งเป็นยุคก่อนอยุธยาแตก ซึ่งถ้าเป็นความจริงก็จะสอดคล้องกับประเด็นที่จะมีการกล่าวถึงในขณะนี้ นั่นก็คือการห้ามมิให้ยิงปืนใหญ่ต่อสู้ข้าศึก เพราะเสียงปืนที่ดังนั้นทำให้เหล่านางสนมกำนัลในตกอกตกใจ ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมานี้คือความอ่อนแอและตกอยู่ภายใต้ความยั่วยวนของอำนาจ นำไปสู่สิ่งที่เรียกว่าปัญญาวิปริต

นอกจากตัวอย่างที่กล่าวมาแล้ว ยังมีตัวอย่างของปัญญาวิปริตมีอยู่สามเรื่องด้วยกัน เรื่องแรก ก็คือการที่จักรพรรดิโรมันยืนดีดพิณดูเปลวเพลิงที่เผากรุงโรม ซึ่งพระองค์สั่งให้ทำการเผาเพื่อจะได้เห็นความหายนะและพระองค์ก็ทรงขับร้องเพลงและทรงดีดพิณมองดูความหายนะนั้นอย่างมีความสุข นี่เป็นอาการทางปัญญาวิปริตและความประชวรทางจิตขององค์จักรพรรดิอย่างแน่นอน

เรื่องที่สอง คือเรื่องที่กษัตริย์พม่าสั่งให้เอาเด็กผู้ชายวัยรุ่นจำนวน 400 คน ฝังทั้งเป็นเพื่อเป็นการบูชายัญตามคำแนะนำของพราหมณ์ปุโรหิต พระมหาเถระผู้ใหญ่ได้ร้องขอบิณฑบาตชีวิตของเด็กเหล่านั้นแต่ก็ไม่สำเร็จ ซึ่งถ้าเป็นจริงตามนี้ก็จะสะท้อนถึงปัญญาวิปริตของผู้นำพม่าในสมัยนั้น

เรื่องที่สาม จักรพรรดิจีนองค์หนึ่งยกกองทัพและทำลายอีกอาณาจักรหนึ่ง พร้อมทั้งสังหารผู้ครองนคร และได้ธิดาสาวของผู้ครองนครมาเป็นภรรยา ธิดาของผู้ครองนครวางแผนทำการแก้แค้นโดยทำให้องค์จักรพรรดิหลงเสน่ห์ จากนั้นก็ให้องค์จักรพรรดิมีนโยบายต่างๆ ซึ่งก่อความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน สุดท้ายนางขอดาวจากท้องฟ้า จักรพรรดิได้สั่งให้สร้างหอคอยสูงเสียดฟ้าเพื่อจะไปสอยดาว ผลสุดท้ายราชวงศ์นั้นก็ล่มสลาย

นี่คือตัวอย่างของปัญญาวิปริตซึ่งจะนำไปสู่ความหายนะทางการเมือง การปกครอง การบริหารงาน

จากความกริ่งเกรงเรื่องการหลงอำนาจ ลุแก่อำนาจ และการตัดสินใจที่ผิดพลาด จึงได้มีการกำหนดธรรมะแห่งการปกครองขึ้นในระบบการเมืองต่างๆ ทั่วโลก ในกรณีของประเทศไทยนั้น เรามีรูปแบบการปกครองแบบพ่อลูกซึ่งใช้เมตตาธรรมเป็นหลัก และต่อมาก็มีธรรมราชาซึ่งกษัตริย์เปรียบเสมือนพระโพธิสัตว์หรือพุทธเจ้า มีธรรมะเป็นฐาน นอกจากนั้นก็ยังมีหลักการการปกครองที่ได้มาจากอินเดีย อันได้แก่ ทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตร ธรรมนิติ ฯลฯ ทั้งหลายทั้งปวงดังกล่าวก็เพื่อมิให้การใช้อำนาจนั้นเป็นการละเมิดต่อความผาสุกของประชาชน ผิดทำนองคลองธรรม ดังนั้น ผู้ปกครองที่ดีคือผู้ปกครองที่มีธรรมะ ผู้ปกครองที่ขาดธรรมะและใช้อำนาจอย่างไม่ถูกต้องก็จะกลายเป็นทรราช ฮิตเลอร์ มุสโสลินี โตโจ ฯลฯ ล้วนถูกมองว่าเป็นผู้นำและผู้ปกครองที่มิได้ดำเนินไปตามธรรมะที่ถูกต้อง โดยเฉพาะฮิตเลอร์คือเผด็จการวิกลจริต สังหารหมู่ชาวยิวไป 6 ล้านคน และยิปซีกว่า 1 ล้านคน นอกจากนั้นยังสร้างความเสียหายให้กับประเทศยุโรป นำไปสู่การเสียชีวิตของคนเป็นสิบๆ ล้านคน

การปกครองของจีนโบราณสืบต่อมาเป็นเวลาหลายพันปี ในที่สุดก็ถึงแก่กาลอวสานเมื่อมีการปฏิวัติในปี ค.ศ.1911 (พ.ศ. 2464) และต่อมาในปี ค.ศ.1949 (พ.ศ. 2492) ก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์มาจนปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากความอ่อนแอบกพร่องของระบบและการลุแก่อำนาจของผู้ปกครอง ซึ่งก็มีกรณีอื่นๆ ที่พอจะเปรียบเทียบได้ แต่กรณีของจีนเป็นกรณีที่น่าจะเป็นแบบอย่างของการศึกษาถึงความรุ่งเรืองและการล่มสลายของระบบการเมืองโดยเกิดจากผู้นำทางการเมืองและระบบที่อ่อนแอเป็นตัวแปรสำคัญ
กำลังโหลดความคิดเห็น