ศูนย์ข่าวภูเก็ต -"ภูเก็ต เพิร์ล อินดัสทรี" เร่งพัฒนามุกสายพันธุ์ "มาเบ่"มุกซีกเป็นมุกเกือบกลม สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ให้สวยงาม ตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้า พร้อมลดอัตราการตายของมุกให้รอดได้สูง 30%
นายอมร อินทรเจริญ ประธานบริษัท ภูเก็ต เพิร์ล อินดัสทรี จำกัด เปิดเผยถึงการเพาะเลี้ยงหอยมุกและการแปรรูปหอยมุก ว่า บริษัทเพาะเลี้ยงหอยมุกของบริษัท มีการสืบทอดกรรมวิธีการเลี้ยงมาตั้งแต่บรรพบุรุษ โดยการเลี้ยงมุกซีกเพียงอย่างเดียว เพราะฝั่งอันดามัน สายพันธุ์ของมุกซีกหาง่ายกว่ามุกกลม ซึ่งเป็นมุกที่ยังไม่สวยงามเต็มที่ บริษัทจึงได้คิดค้นพัฒนาการเลี้ยงหอยมุกกลมให้สมบูรณ์ที่สุด และพัฒนาหอยมุกซีกให้เป็นมุกกลม
ผลการทดลองของบริษัท ในขณะนี้ประสบความสำเร็จ สามารถที่จะพัฒนาการเลี้ยงมุกซีกให้เป็นมุกกลมได้แล้ว และบริษัทกำลังที่จะพัฒนาการขยายสายพันธุ์มุกกลมให้มากยิ่งขึ้น เพราะยิ่งนานวันไปสายพันธุ์ในธรรมชาติจะหายไปเรื่อยๆ บริษัทจึงได้พัฒนาสายพันธุ์มุกกลมมาเพาะเลี้ยง และส่วนหนึ่งปล่อยลงธรรมชาติ
สำหรับพื้นที่ที่เพาะเลี้ยงทั้งหมด อยู่ที่บริเวณหน้าเกาะมะพร้าว ต.เกาะแก้ว อ.เมือง จ.ภูเก็ต บนเนื้อที่ 10 กว่าไร่ โดยจะปล่อยพันธุ์หอยลงไปเลี้ยงรุ่นละประมาณ 100,000 ตัว สามารถเก็บผลผลิตได้แล้วประมาณ 10 รุ่น รุ่นละประมาณ 2,000 ตัว
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าการปล่อยลูกหอยลงไปเลี้ยงในฟาร์ม จะมีจำนวนมาก แต่อัตราการรอดของหอยค่อนข้างน้อยแค่ 30% เท่านั้น ซึ่งขณะนี้บริษัทกำลังคิดค้นวิธี ที่จะให้หอยมุกมีอัตราการรอดมากขึ้น โดยมีมุกที่เลี้ยงอยู่ทั้งหมด 3 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์อาโคย่า สายพันธ์มาเบ่และเซาท์ซี ซึ่งผลิตได้มากที่สุด คือ สายพันธุ์มาเบ่ซึ่งเป็นมุกซีก
นายอมร กล่าวอีกว่า สำหรับผลผลิตจากฟาร์ม ขณะนี้สามารถผลิตได้เดือนละประมาณ 1,500 เม็ด แบ่งเป็นมุกซีกประมาณ 60% และมุกกลม 20% ขณะนี้บริษัทกำลังพัฒนาการผลิตมุกซีกให้เป็นมุกเกือบกลม ซึ่งบริษัทให้ความสำคัญกับการผลิตมุกเกือบกลมมาก เพราะมุกเกือบกลมจะเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัท
อย่างไรก็ตามในการเพาะเลี้ยงหอยมุกเกือบกลม จะต้องใช้เวลาในการเลี้ยงยาวนานถึง 2 ปี ซึ่งขณะนี้บริษัทสามารถพัฒนาได้ในระดับหนึ่งแล้ว ผลผลิตออกมาเป็นมุกเกือบกลม แต่ต้องใช้เวลาในการเลี้ยงเพิ่มขึ้นอีก เพราะสีสันและความสวยงามของมุกยังไม่สวยงามเท่าที่ควร จะต้องใช้เวลาในการเลี้ยงประมาณปีครึ่งถึงสองปี นอกจากนี้ บริษัทสามารถที่จะลดอัตราการตายของมุกได้เพิ่มขึ้น จากที่รอดแค่ 20% เป็นรอดได้แล้ว 30%
นายอมร ยังกล่าวถึงการนำผลผลิตมุกไปทำการแปรรูปว่า มุกที่ได้จากการเลี้ยงของบริษัทจะนำไปแปรรูปเป็นเครื่องประดับหลายประเภท เช่น แหวน สร้อย ต่างหู จี้ เป็นต้น โดยบริษัทมีโรงงานผลิตตัวเรือนมุก ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับโชว์โรมมุกที่บ้านเกาะแก้ว อ.เมืองภูเก็ต
ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมจะเป็นทองคำที่ประดับมุกและเงิน โดยลูกค้ากลุ่มหลักมีทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทั้งยุโรปและเอเชีย ซึ่งบริษัทเน้นการดีไซน์รูปแบบของตัวเรือนมุกให้สวยงามสะดุดตากลุ่มลูกค้า และขณะนี้บริษัทกำลังทำคุณภาพของสินค้า ภายใต้ ISO 9001 ซึ่งจะทำให้ผลผลิตมุกของบริษัท ได้รับการรับรองคุณภาพเป็นที่น่าเชื่อถือของลูกค้า
สำหรับตลาดมุกในภูเก็ต มุกน้ำจืดจากจีน เป็นมุกที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นมุกแฟชั่นที่ราคาตั้งแต่ 100 -10,000 บาท แต่หากเป็นมุกทะเล ส่วนใหญ่ลูกค้าจะซื้อเพราะมีความชอบส่วนตัว