“ทักษิณ” ระบุงาน “เหลียวหลังแลหน้า จากรากหญ้าสู่รากแก้ว” เป็นงานรัฐบาล แนะประชาชนไม่ว่าจะเกลียดหรือชอบรัฐบาลก็ควรไป เพื่ออนาคตของตัวเอง แต่ถ้าเกลียดตัวเองก็ไม่ต้องไป ด้านทรท.ระดมหัวคะแนนร่วมงานพร้อมจัดรถ-เบี้ยเลี้ยงผ่านส่วนราชการ หวังเลี่ยงกม.เลือกตั้ง ฝ่ายค้านแฉก.เกษตร ตั้งเป้าเกณฑ์คน 250 ต่อเขตเลือกตั้ง ด้านส.ว.จวก ทรท.อาศัยชื่อรัฐบาลจัดงานชูผลงานพรรค หมิ่นเหม่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง จี้กกต.เข้ามาดูแลด้วย
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงที่หลายฝ่ายออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าการจัดมหกรรมเหลียวหลังแลหน้า จากรากหญ้าสู่รากแก้ว ที่จะจัดในวันที่ 6-10 พ.ย. ที่อิมแพค เมืองทองธานี เป็นการหาเสียง ว่าเป็นเรื่องของรัฐบาล ที่บังเอิญว่ารัฐบาลบริหารโดยพรรคไทยรักไทย ฉะนั้นถ้ามองว่าเป็นมุมไทยรักไทย ก็อาจจะคิดอย่างนั้น แต่ต้องมองในมุมที่ว่า วันนี้เป็นรัฐบาลและต้องทำงาน งานในวันนี้ประชาชนทุกคนที่รักตัวเอง และรักบ้านเมืองจะชอบรัฐบาลหรือ เกลียดรัฐบาลก็ควรไป แต่อย่าเกลียดตัวเอง ถ้าเกลียดตัวเองก็ไม่ควรไป ทุกคนควรไป เพื่อจะได้รู้ว่าประเทศของเราได้พัฒนามาโดยหลักคิดอย่างไร และข้างหน้าจะไปตรงไหน เพื่อที่จะเตรียมตัวเอง สำหรับการได้ประโยชน์จากอนาคตของประเทศอย่างเต็มที่ แต่จะเตรียมตัวเองอย่างไร เมื่อไปดูแล้วก็จะเกิดความคิดหลายๆ อย่างขึ้น
"ควรไปรับรู้ว่าที่มาถึงวันนี้ วิธีคิดเป็นอย่างไร และที่กำลังจะเดินไปข้างหน้าให้ประเทศยั่งยืนจะเป็นอย่างไร เพื่อตัวเองจะได้เตรียมตัวไว้สำหรับอนาคตของตัวเอง เพราะจะเป็นประโยชน์กับทุกคน ไม่เกี่ยวกับการเมือง เกี่ยวกับการที่จะให้ประชาชนได้เห็นว่าคนที่ได้รับฉันทานุมัติจากประชาชนมาทำงาน และจะทำอะไรก็ทำไปตามใจชอบ แล้ว 4 ปีก็มาบอกประชาชนอีกทีก็ไม่ได้ ต้องบอกให้ประชาชนรู้ตลอดเวลา ว่าที่ได้ฉันทานุมัติมาทำอะไรให้เขา และคิดว่าจะทำอะไรต่อไปข้างหน้า เพราะจะได้รู้ว่าที่ทำมาถูกทางหรือไม่ ถ้าไม่ถูกทางเขาก็จะบอกว่าคราวหน้าไม่เอาด้วย หรือที่บอกว่าครั้งหน้า 4 ปีทำอะไร เขาก็จะได้รู้ว่าเขาควรปรับตัวอย่างไร เพื่อให้เข้ากับพัฒนาการของประเทศ นั่นคือหลัก ฉะนั้นอย่าไปคิดอย่างนั้น อย่างกทม.วันนี้จัดงานก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีอะไร”พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว
**จัดรถรับส่ง-เบี้ยเลี้ยงผ่านระบบราชการ
แหล่งข่าวจากพรรคไทยรักไทย เปิดเผยว่า สำหรับการระดมแกนนำในพื้นที่ เพื่อเข้าร่วมงาน เนื่องจากในการจัดงานครั้งนี้ทำในนามของรัฐบาล พรรคจึงไม่ได้จัดเงินสนับสนุนให้กับผู้สมัครในแต่ละเขต เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ดังนั้นในการระดมคน จะทำผ่านวิธีการบอกกล่าวกับหัวคะแนนในพื้นที่ โดยแต่ละส่วนราชการจะจัดรถไว้บริการ พร้อมเบี้ยเลี้ยงในการเดินทางตามระบบราชการ โดยกลุ่มเป้าหมายที่จัดรถบริการ คือ ผู้นำชุมชน ผ่านกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อจัดให้ดูงานโครงการโคล้านครอบครัว,อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ผ่านสาธารณสุขจังหวัด เพื่อดูงาน 30 บาทรักษาทุกโรค,ตัวแทนเยาวชน ผ่านกรมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น
ทั้งนี้ ในการประชุมพรรคไทยรักไทยเมื่อวันที่ 2 พ.ย.ที่ผ่านมา ได้มีการแจกบัตรเชิญร่วมงานให้กับส.ส.เขตละ 2,000 ใบ เพื่อนำไปแจกให้กับแกนนำและประชาชนในพื้นที่ นอกจากนี้ นายสมชาย สุนทรวัฒน์
ประธาน ส.ส.พรรคไทยรักไทย ยังได้กำชับ ส.ส.ในที่ประชุมให้ระดมผู้ช่วยส.ส.แกนนำในพื้นที่ เพื่อรับทราบข้อมูลที่เกี่ยวกับผลงานของพรรคพื่อใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง
นายนริศ ขำนุรักษ์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการระดมแกนนำของพรรคไทยรักไทย เข้าร่วมงานว่า ที่จ.พัทลุง เฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็ขนคนไปร่วมงานเขตเลือกตั้งละ 250 คน ทั้งจังหวัดที่มี 3 เขตก็ประมาณ 750 คน จึงมองว่า รัฐบาลใช้งานดังกล่าวให้เห็นว่ามีคนสนใจผลงานรัฐบาลมาก เพื่อแก้วิกฤติขาลง ทั้งที่โดยปกติช่วงเวลานี้หากเป็นรัฐบาลอื่นก็จะมีหนังสือกำชับให้ข้าราชการและส่วนราชการในแต่ละกระทรวงวางตัวเป็นกลาง แต่รัฐบาลชุดนี้นอกจากไม่ใชหนังสือเวีบนเวียนให้ข้าราชการ และส่วนราชการทำตัวเป็นกลางแล้ว ยังกลับให้ร่วมงานทางการเมือง และงานนี้ยังกลับเป็นการ ลด แลก แจก แถม ทั้งที่การแถลงผลงานรัฐบาลควรทำผ่านเวทีสภาผู้แทนราษฎร และการจัดงานที่เมืองทองธานีควรทำในนามพรรคไทยรักไทย โดยใช้งบของพรรค
“รัฐบาลชุดนี้พยายามเลี่ยงวิธีการเบิกจ่ายงบประมาณ โดยให้ส.ส.ระดมหัวคะแนนของตัวเองร่วมงาน โดยอ้างว่าเป็นตัวแทนเกษตรกร เพื่อส่งผ่านหน่วยราชการ วิธีดังกล่าวถือว่าใช้ไม่ได้ ทำลายระบบงบประมาณและระบบราชการ รวมถึงเป็นการทำลายมารยาท คุณธรรมทางการเมือง”นายนริศ กล่าว
**จัดงานแบบมีผลประโยชน์ทับซ้อน
นายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว.กทม.กล่าวว่า ขณะนี้ประชาชนเกิดความสับสน ว่าการจัดงานครั้งนี้จัดในนามรัฐบาลหรือพรรคไทยรักไทยกันแน่ ต้องตรวจสอบดูว่างบประมาณในการจัดงานได้มาจากงบประมาณแผ่นดินหรือไม่ หากดูจากโฆษณา ประชาสัมพันธ์มันก้ำกึ่งว่าจะเป็นการหาเสียงของพรรคไทยรักไทย เนื่องจากอยู่ในช่วงฤดูการหาเสียง โดยจะต้องให้ กกต.เข้าไปตรวจสอบ ว่าทำได้และเหมาะสมหรือไม่ ถ้าหากให้ตนประเมินการทำงานของรัฐบาลแล้วถือว่าทำหน้าที่ได้ดี แต่ควรระมัดระวังวินัยการใช้งบประมาณที่คิดไปทำไป นึกอะไรออกก็ทำ จนเป็นการใช้งบประมาณแบบไม่มีวินัย โดยเฉพาะนโยบายประชานิยมต่าง ๆ ที่รัฐบาลจะต้องพึงระวัง ว่าผลกระทบที่ตามมาเป็นการใช้ประมาณที่ถูกต้องหรือไม่ อีกทั้งการแจกเงินของกองทุนหมู่บ้าน รัฐบาลจะต้องมองผลกระทบว่าได้สร้างหนี้ให้ประชาชนหรือไม่ เพราะการอัดฉีดเงินอย่างเดียวโดยไม่สร้างอาชีพ จะทำให้ครอบครัวล่มสลายได้
“สิ่งที่รัฐบาลจะต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนคือ ปัญหาภาคใต้ ปัญหาไข้หวัดนก ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น และราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ หากไม่แก้จะสืบเป็นปัญหาสะสมไปถึงรัฐบาลหน้า ดังนั้นก่อนปิดสมัยประชุมคณะกรรมการธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา (วิป) เสนอให้วุฒิสภาจัดสัมนา เพื่อให้กรรมาธิการทุกคณะทำหน้าที่ตรวจสอบโครงการต่างๆของรัฐขบาลอย่างเอาจริงเอาจัง ก่อนที่วุฒิสภาชุดนี้จะครบวาระ"นายเสรี กล่าว
ด้านนายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ ส.ว.กทม.กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นการทำผิดกาละเทศะ เพราะเป็นช่วงใกล้เลือกตั้ง และหมิ่นเหม่ต่อข้อกฎหมายเลือกตั้ง เข้าข่ายการให้สินจ้างรางวัล ในแง่ความคิดถือว่าเป็นแนวคิดที่ดี เพราะรัฐบาลมีหน้าที่แถลงงานให้กับประชาชนได้รับทราบ แต่ควรทำให้ครบองค์ประกอบ ทั้งการเสนอผลงาน ตอบคำถามและรับคำวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนด้วย
สำหรับการทำงานของรัฐบาลตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ถือว่าทำได้ดีในด้านนโยบายด้านเศรษฐกิจ เพราะเกือบทุกนโยบายเป็นการนำความคิดของเอ็นจีโอมาทำ แต่มีการจัดการแบบธุรกิจที่เป็นบริษัทจำกัด ซึ่งในหลายโครงการเฉพาะกิจที่ออกมา ถือว่าเป็นแนวคิดที่ใช้ได้ เช่น นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค โครงการบ้านเอื้ออาทร เพราะถือว่าคิดแล้วทำได้ สำหรับนโยบายที่ต้องปรับปรุง คือ นโยบายด้านสังคม การจัดระเบียบสังคม การศึกษา เพราะแม้แต่ปัญหาเรื่องเอนทรานซ์รั่ว รัฐบาลไม่สามารถสร้างความกระจ่างให้กับประชาชนได้ ซึ่งเท่ากับว่ารัฐบาลนี้ได้สร้างความอัปยศให้กับวงการวิชาการเป็นอย่างมาก และถ้าประเมินการทำงานของ พ.ต.ท.ทักษิณ คิดว่าสอบผ่านในการเรื่องความมุ่งมั่น แต่สอบตกเรื่องการใช้คำพูด เพราะหลายครั้งพูดผิดกาละเทศะ และมีบทบาทที่เบ็ดเสร็จจนดูเหมือนเผด็จการ ทำให้รัฐมนตรีไม่ได้แสดงความสามารถ
“ปัญหาที่สำคัญที่สุดที่รัฐบาลจะต้องนำร่องให้เป็นผลมากที่สุด คือ การคอร์รัปชั่น โดยเฉพาะผลประโยชน์ทับซ้อนที่สร้างความเสียหายให้ประเทศชาติเป็นอย่างมาก หากเรานำทรัพย์สินของรัฐมนตรีแต่ละคนมากกางดู จะพบว่าเกือบทุกคนมีทรัพย์สินที่มากมายมหาศาล และถ้านำมาเปรียบกับรายได้เฉลี่ยของประชากรที่ติดหนี้สิน จะพบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมาก” นายวัลลภ กล่าว
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงที่หลายฝ่ายออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าการจัดมหกรรมเหลียวหลังแลหน้า จากรากหญ้าสู่รากแก้ว ที่จะจัดในวันที่ 6-10 พ.ย. ที่อิมแพค เมืองทองธานี เป็นการหาเสียง ว่าเป็นเรื่องของรัฐบาล ที่บังเอิญว่ารัฐบาลบริหารโดยพรรคไทยรักไทย ฉะนั้นถ้ามองว่าเป็นมุมไทยรักไทย ก็อาจจะคิดอย่างนั้น แต่ต้องมองในมุมที่ว่า วันนี้เป็นรัฐบาลและต้องทำงาน งานในวันนี้ประชาชนทุกคนที่รักตัวเอง และรักบ้านเมืองจะชอบรัฐบาลหรือ เกลียดรัฐบาลก็ควรไป แต่อย่าเกลียดตัวเอง ถ้าเกลียดตัวเองก็ไม่ควรไป ทุกคนควรไป เพื่อจะได้รู้ว่าประเทศของเราได้พัฒนามาโดยหลักคิดอย่างไร และข้างหน้าจะไปตรงไหน เพื่อที่จะเตรียมตัวเอง สำหรับการได้ประโยชน์จากอนาคตของประเทศอย่างเต็มที่ แต่จะเตรียมตัวเองอย่างไร เมื่อไปดูแล้วก็จะเกิดความคิดหลายๆ อย่างขึ้น
"ควรไปรับรู้ว่าที่มาถึงวันนี้ วิธีคิดเป็นอย่างไร และที่กำลังจะเดินไปข้างหน้าให้ประเทศยั่งยืนจะเป็นอย่างไร เพื่อตัวเองจะได้เตรียมตัวไว้สำหรับอนาคตของตัวเอง เพราะจะเป็นประโยชน์กับทุกคน ไม่เกี่ยวกับการเมือง เกี่ยวกับการที่จะให้ประชาชนได้เห็นว่าคนที่ได้รับฉันทานุมัติจากประชาชนมาทำงาน และจะทำอะไรก็ทำไปตามใจชอบ แล้ว 4 ปีก็มาบอกประชาชนอีกทีก็ไม่ได้ ต้องบอกให้ประชาชนรู้ตลอดเวลา ว่าที่ได้ฉันทานุมัติมาทำอะไรให้เขา และคิดว่าจะทำอะไรต่อไปข้างหน้า เพราะจะได้รู้ว่าที่ทำมาถูกทางหรือไม่ ถ้าไม่ถูกทางเขาก็จะบอกว่าคราวหน้าไม่เอาด้วย หรือที่บอกว่าครั้งหน้า 4 ปีทำอะไร เขาก็จะได้รู้ว่าเขาควรปรับตัวอย่างไร เพื่อให้เข้ากับพัฒนาการของประเทศ นั่นคือหลัก ฉะนั้นอย่าไปคิดอย่างนั้น อย่างกทม.วันนี้จัดงานก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีอะไร”พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว
**จัดรถรับส่ง-เบี้ยเลี้ยงผ่านระบบราชการ
แหล่งข่าวจากพรรคไทยรักไทย เปิดเผยว่า สำหรับการระดมแกนนำในพื้นที่ เพื่อเข้าร่วมงาน เนื่องจากในการจัดงานครั้งนี้ทำในนามของรัฐบาล พรรคจึงไม่ได้จัดเงินสนับสนุนให้กับผู้สมัครในแต่ละเขต เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ดังนั้นในการระดมคน จะทำผ่านวิธีการบอกกล่าวกับหัวคะแนนในพื้นที่ โดยแต่ละส่วนราชการจะจัดรถไว้บริการ พร้อมเบี้ยเลี้ยงในการเดินทางตามระบบราชการ โดยกลุ่มเป้าหมายที่จัดรถบริการ คือ ผู้นำชุมชน ผ่านกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อจัดให้ดูงานโครงการโคล้านครอบครัว,อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ผ่านสาธารณสุขจังหวัด เพื่อดูงาน 30 บาทรักษาทุกโรค,ตัวแทนเยาวชน ผ่านกรมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น
ทั้งนี้ ในการประชุมพรรคไทยรักไทยเมื่อวันที่ 2 พ.ย.ที่ผ่านมา ได้มีการแจกบัตรเชิญร่วมงานให้กับส.ส.เขตละ 2,000 ใบ เพื่อนำไปแจกให้กับแกนนำและประชาชนในพื้นที่ นอกจากนี้ นายสมชาย สุนทรวัฒน์
ประธาน ส.ส.พรรคไทยรักไทย ยังได้กำชับ ส.ส.ในที่ประชุมให้ระดมผู้ช่วยส.ส.แกนนำในพื้นที่ เพื่อรับทราบข้อมูลที่เกี่ยวกับผลงานของพรรคพื่อใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง
นายนริศ ขำนุรักษ์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการระดมแกนนำของพรรคไทยรักไทย เข้าร่วมงานว่า ที่จ.พัทลุง เฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็ขนคนไปร่วมงานเขตเลือกตั้งละ 250 คน ทั้งจังหวัดที่มี 3 เขตก็ประมาณ 750 คน จึงมองว่า รัฐบาลใช้งานดังกล่าวให้เห็นว่ามีคนสนใจผลงานรัฐบาลมาก เพื่อแก้วิกฤติขาลง ทั้งที่โดยปกติช่วงเวลานี้หากเป็นรัฐบาลอื่นก็จะมีหนังสือกำชับให้ข้าราชการและส่วนราชการในแต่ละกระทรวงวางตัวเป็นกลาง แต่รัฐบาลชุดนี้นอกจากไม่ใชหนังสือเวีบนเวียนให้ข้าราชการ และส่วนราชการทำตัวเป็นกลางแล้ว ยังกลับให้ร่วมงานทางการเมือง และงานนี้ยังกลับเป็นการ ลด แลก แจก แถม ทั้งที่การแถลงผลงานรัฐบาลควรทำผ่านเวทีสภาผู้แทนราษฎร และการจัดงานที่เมืองทองธานีควรทำในนามพรรคไทยรักไทย โดยใช้งบของพรรค
“รัฐบาลชุดนี้พยายามเลี่ยงวิธีการเบิกจ่ายงบประมาณ โดยให้ส.ส.ระดมหัวคะแนนของตัวเองร่วมงาน โดยอ้างว่าเป็นตัวแทนเกษตรกร เพื่อส่งผ่านหน่วยราชการ วิธีดังกล่าวถือว่าใช้ไม่ได้ ทำลายระบบงบประมาณและระบบราชการ รวมถึงเป็นการทำลายมารยาท คุณธรรมทางการเมือง”นายนริศ กล่าว
**จัดงานแบบมีผลประโยชน์ทับซ้อน
นายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว.กทม.กล่าวว่า ขณะนี้ประชาชนเกิดความสับสน ว่าการจัดงานครั้งนี้จัดในนามรัฐบาลหรือพรรคไทยรักไทยกันแน่ ต้องตรวจสอบดูว่างบประมาณในการจัดงานได้มาจากงบประมาณแผ่นดินหรือไม่ หากดูจากโฆษณา ประชาสัมพันธ์มันก้ำกึ่งว่าจะเป็นการหาเสียงของพรรคไทยรักไทย เนื่องจากอยู่ในช่วงฤดูการหาเสียง โดยจะต้องให้ กกต.เข้าไปตรวจสอบ ว่าทำได้และเหมาะสมหรือไม่ ถ้าหากให้ตนประเมินการทำงานของรัฐบาลแล้วถือว่าทำหน้าที่ได้ดี แต่ควรระมัดระวังวินัยการใช้งบประมาณที่คิดไปทำไป นึกอะไรออกก็ทำ จนเป็นการใช้งบประมาณแบบไม่มีวินัย โดยเฉพาะนโยบายประชานิยมต่าง ๆ ที่รัฐบาลจะต้องพึงระวัง ว่าผลกระทบที่ตามมาเป็นการใช้ประมาณที่ถูกต้องหรือไม่ อีกทั้งการแจกเงินของกองทุนหมู่บ้าน รัฐบาลจะต้องมองผลกระทบว่าได้สร้างหนี้ให้ประชาชนหรือไม่ เพราะการอัดฉีดเงินอย่างเดียวโดยไม่สร้างอาชีพ จะทำให้ครอบครัวล่มสลายได้
“สิ่งที่รัฐบาลจะต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนคือ ปัญหาภาคใต้ ปัญหาไข้หวัดนก ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น และราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ หากไม่แก้จะสืบเป็นปัญหาสะสมไปถึงรัฐบาลหน้า ดังนั้นก่อนปิดสมัยประชุมคณะกรรมการธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา (วิป) เสนอให้วุฒิสภาจัดสัมนา เพื่อให้กรรมาธิการทุกคณะทำหน้าที่ตรวจสอบโครงการต่างๆของรัฐขบาลอย่างเอาจริงเอาจัง ก่อนที่วุฒิสภาชุดนี้จะครบวาระ"นายเสรี กล่าว
ด้านนายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ ส.ว.กทม.กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นการทำผิดกาละเทศะ เพราะเป็นช่วงใกล้เลือกตั้ง และหมิ่นเหม่ต่อข้อกฎหมายเลือกตั้ง เข้าข่ายการให้สินจ้างรางวัล ในแง่ความคิดถือว่าเป็นแนวคิดที่ดี เพราะรัฐบาลมีหน้าที่แถลงงานให้กับประชาชนได้รับทราบ แต่ควรทำให้ครบองค์ประกอบ ทั้งการเสนอผลงาน ตอบคำถามและรับคำวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนด้วย
สำหรับการทำงานของรัฐบาลตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ถือว่าทำได้ดีในด้านนโยบายด้านเศรษฐกิจ เพราะเกือบทุกนโยบายเป็นการนำความคิดของเอ็นจีโอมาทำ แต่มีการจัดการแบบธุรกิจที่เป็นบริษัทจำกัด ซึ่งในหลายโครงการเฉพาะกิจที่ออกมา ถือว่าเป็นแนวคิดที่ใช้ได้ เช่น นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค โครงการบ้านเอื้ออาทร เพราะถือว่าคิดแล้วทำได้ สำหรับนโยบายที่ต้องปรับปรุง คือ นโยบายด้านสังคม การจัดระเบียบสังคม การศึกษา เพราะแม้แต่ปัญหาเรื่องเอนทรานซ์รั่ว รัฐบาลไม่สามารถสร้างความกระจ่างให้กับประชาชนได้ ซึ่งเท่ากับว่ารัฐบาลนี้ได้สร้างความอัปยศให้กับวงการวิชาการเป็นอย่างมาก และถ้าประเมินการทำงานของ พ.ต.ท.ทักษิณ คิดว่าสอบผ่านในการเรื่องความมุ่งมั่น แต่สอบตกเรื่องการใช้คำพูด เพราะหลายครั้งพูดผิดกาละเทศะ และมีบทบาทที่เบ็ดเสร็จจนดูเหมือนเผด็จการ ทำให้รัฐมนตรีไม่ได้แสดงความสามารถ
“ปัญหาที่สำคัญที่สุดที่รัฐบาลจะต้องนำร่องให้เป็นผลมากที่สุด คือ การคอร์รัปชั่น โดยเฉพาะผลประโยชน์ทับซ้อนที่สร้างความเสียหายให้ประเทศชาติเป็นอย่างมาก หากเรานำทรัพย์สินของรัฐมนตรีแต่ละคนมากกางดู จะพบว่าเกือบทุกคนมีทรัพย์สินที่มากมายมหาศาล และถ้านำมาเปรียบกับรายได้เฉลี่ยของประชากรที่ติดหนี้สิน จะพบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมาก” นายวัลลภ กล่าว