ผู้จัดการรายวัน - แนวโน้มอุตฯแม่พิมพ์โตก้าวกระโดด ตามการขยายตัวของการผลิตยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า “วิโรจน์ ศิริธนาศาสตร์” นายกสมาคมฯแม่พิมพ์ดิ้นของบประมาณรัฐจาก TGI 5 ล้านบาท ใช้ฝึกอบรมบุคลากรเพิ่มทักษะความรู้ในสายงานแม่พิมพ์ หลังประเมิน 5 ปีข้างหน้าไทยต้องนำเข้าแม่พิมพ์สูงถึง 3.5 หมื่นล้านบาท
นายวิโรจน์ ศิริธนาศาสตร์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมแม่พิมพ์จะเติบโตแบบก้าวกระโดด หลังจากรัฐมีนโยบายผลักดันให้ไทยเป็นดีทรอยต์แห่งเอเชีย แต่เนื่องจากอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ไทยยังมีจุดด้อยเกี่ยวกับการออกแบบและแม่พิมพ์ขึ้นรูปอาจทำได้ในระดับที่ไม่สูงนัก จำเป็นต้องมีการเร่งพัฒนาบุคลากรในสายงานเพื่อรองรับการขยายตัวของภาคยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติงบประมาณ 1.6 พันล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมแม่พิมพ์เมื่อเดือนส.ค.2547 เพื่อหาทางลดการนำเข้าแม่พิมพ์จากต่างประเทศที่นับวันจะเพิ่มสูงขึ้น
“ปีงบประมาณที่ผ่านมา ทางสมาคมฯแม่พิมพ์ไทยได้รับเงินงบประมาณทำโครงการนำร่องพัฒนาบุคลากร จากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จำนวน 1.20 ล้านบาท โดยพัฒนาบุคลากรไปแล้ว 40 คน โดยอบรมการปฏิบัติการเครื่องจักรกล CNC ซึ่งเป็นการอบรมแบบใช้เครื่องจักรที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ การออกแบบแม่พิมพ์ทั้งแม่พิมพ์ปั๊มโลหะและแม่พิมพ์ฉีด”
สำหรับในปีงบประมาณ 2548 ภาครัฐได้จัดสรรงบประมาณงวดแรก 60 ล้านบาทเพื่อใช้ในการพัฒนาอุตสาหกรรมแม่พิมพ์โดยผ่านสถาบันไทย-เยอรมัน (TGI) ทำให้สมาคมฯ ต้องทำหัวข้อเสนอรายงานไปยังTGI เพื่อขอเงินงบประมาณในการฝึกอบรมบุคลากรที่ทำงานในอุตสาหกรรมแม่พิมพ์เพื่ออบรมเพิ่มทักษะ โดยมีหัวข้อฝึกอบรมเพิ่มขึ้นเป็น 6 โครงการ ได้แก่ การใช้ซอฟแวร์ CAD ในการออกแบบแม่พิมพ์ ,การปฏิบัติการเครื่องจักรกล CNC Machining Center , การออกแบบแม่พิมพ์ทั้งแม่พิมพ์ปั๊มโลหะและแม่พิมพ์ฉีด เป็นต้น คาดว่าจะต้องใช้เงินประมาณ 5 ล้านบาท
ในปีที่ผ่านมา ไทยต้องนำเข้าแม่พิมพ์คิดเป็นมูลค่า 2 หมื่นล้านบาท ขณะที่ไทยส่งออกแม่พิมพ์ไปต่างประเทศเพียง 4 พันล้านบาท และคาดว่า 5 ปีข้างหน้า มูลค่าการนำเข้าแม่พิมพ์จะขยับขึ้นเป็น 3.5 หมื่น ล้านบาท หากไทยยังไม่มีการเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ ดังนั้น ถ้ารัฐใช้เงินงบประมาณ 1.6 พันล้านบาทในการสนับสนุนอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ของประเทศอย่างถูกต้อง เชื่อว่าจะช่วยลดการนำเข้าแม่พิมพ์จาก 3.5 หมื่นล้านบาท เหลือเพียง 3 หมื่นล้านบาทได้แน่
ปัจจุบัน ไทยมีโรงงานแม่พิมพ์อยู่ 2,000 ราย แบ่งเป็นโรงงานขนาดเล็ก 80% ขนาดกลาง 15% และขนาดใหญ่ 5% โดยมีการจ้างงานโดยรวมกว่า 2.8 หมื่นคน
นายวิโรจน์ ศิริธนาศาสตร์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมแม่พิมพ์จะเติบโตแบบก้าวกระโดด หลังจากรัฐมีนโยบายผลักดันให้ไทยเป็นดีทรอยต์แห่งเอเชีย แต่เนื่องจากอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ไทยยังมีจุดด้อยเกี่ยวกับการออกแบบและแม่พิมพ์ขึ้นรูปอาจทำได้ในระดับที่ไม่สูงนัก จำเป็นต้องมีการเร่งพัฒนาบุคลากรในสายงานเพื่อรองรับการขยายตัวของภาคยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติงบประมาณ 1.6 พันล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมแม่พิมพ์เมื่อเดือนส.ค.2547 เพื่อหาทางลดการนำเข้าแม่พิมพ์จากต่างประเทศที่นับวันจะเพิ่มสูงขึ้น
“ปีงบประมาณที่ผ่านมา ทางสมาคมฯแม่พิมพ์ไทยได้รับเงินงบประมาณทำโครงการนำร่องพัฒนาบุคลากร จากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จำนวน 1.20 ล้านบาท โดยพัฒนาบุคลากรไปแล้ว 40 คน โดยอบรมการปฏิบัติการเครื่องจักรกล CNC ซึ่งเป็นการอบรมแบบใช้เครื่องจักรที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ การออกแบบแม่พิมพ์ทั้งแม่พิมพ์ปั๊มโลหะและแม่พิมพ์ฉีด”
สำหรับในปีงบประมาณ 2548 ภาครัฐได้จัดสรรงบประมาณงวดแรก 60 ล้านบาทเพื่อใช้ในการพัฒนาอุตสาหกรรมแม่พิมพ์โดยผ่านสถาบันไทย-เยอรมัน (TGI) ทำให้สมาคมฯ ต้องทำหัวข้อเสนอรายงานไปยังTGI เพื่อขอเงินงบประมาณในการฝึกอบรมบุคลากรที่ทำงานในอุตสาหกรรมแม่พิมพ์เพื่ออบรมเพิ่มทักษะ โดยมีหัวข้อฝึกอบรมเพิ่มขึ้นเป็น 6 โครงการ ได้แก่ การใช้ซอฟแวร์ CAD ในการออกแบบแม่พิมพ์ ,การปฏิบัติการเครื่องจักรกล CNC Machining Center , การออกแบบแม่พิมพ์ทั้งแม่พิมพ์ปั๊มโลหะและแม่พิมพ์ฉีด เป็นต้น คาดว่าจะต้องใช้เงินประมาณ 5 ล้านบาท
ในปีที่ผ่านมา ไทยต้องนำเข้าแม่พิมพ์คิดเป็นมูลค่า 2 หมื่นล้านบาท ขณะที่ไทยส่งออกแม่พิมพ์ไปต่างประเทศเพียง 4 พันล้านบาท และคาดว่า 5 ปีข้างหน้า มูลค่าการนำเข้าแม่พิมพ์จะขยับขึ้นเป็น 3.5 หมื่น ล้านบาท หากไทยยังไม่มีการเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ ดังนั้น ถ้ารัฐใช้เงินงบประมาณ 1.6 พันล้านบาทในการสนับสนุนอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ของประเทศอย่างถูกต้อง เชื่อว่าจะช่วยลดการนำเข้าแม่พิมพ์จาก 3.5 หมื่นล้านบาท เหลือเพียง 3 หมื่นล้านบาทได้แน่
ปัจจุบัน ไทยมีโรงงานแม่พิมพ์อยู่ 2,000 ราย แบ่งเป็นโรงงานขนาดเล็ก 80% ขนาดกลาง 15% และขนาดใหญ่ 5% โดยมีการจ้างงานโดยรวมกว่า 2.8 หมื่นคน