ผมขออุทิศบทความนี้ให้กับชาวไทยที่รักชาติ ผู้ที่เชื่อและศรัทธาว่าอเมริกาเป็นสรณะอันเกษม ไม่มีใครที่ไทยจะพึ่งได้ดีเท่าอเมริกา
ขอแปลความอมตะวาทะที่ผมชื่นชม ดูดดื่ม และจับใจ จากภาษาอังกฤษดั้งเดิม ดังนี้
“ We hold these truths to be self-evident, that all men are created equal, that they are endowed by their Creator with certain unalienable Rights, that among these are Life, Liberty and the pursuit of Happiness. –“
“เราทั้งหลาย ขอประกาศยืนยันสัจจะอันประจักษ์แจ้งอยู่แล้วว่า มนุษย์ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน พระผู้สร้างได้ประทานสิทธิที่ไม่มีผู้ใดจะล้มล้างได้ นั่นก็คือ สิทธิในชีวิต เสรีภาพ และการแสวงหาความสุข”
คำประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 ก้องกังวานไปทั่วโลก บันดาลใจการปฏิวัติฝรั่งเศส ที่ประกาศเมื่อ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 179 1 ว่า “ "All men are born free and with equal rights, and must always remain free and have equal rights.” แม้ “คำประกาศอิสรภาพของเวียดนาม” โดยโฮ จิ มินห์ เมื่อ 2 กันยายน ค.ศ. 1945 ก็ลอกมาทั้งดุ้น และประกาศด้วยว่าเป็น “อมตะวาทะ”ของอเมริกัน
อเมริกาเห็นแก่ซากจักรวรรดินิยมฝรั่งเศส จึงพลาดที่จะเป็นมิตรอุปถัมภ์ ทั้งๆที่เวียดนามอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ
ผมไม่เคยเคลือบแคลงความจริงใจของประชาชนอเมริกันเลย ผมซาบซึ้งปรัชญาเมธีประชาธิปไตยของอเมริกันทุกคน ผมยังอ่านหนังสือของเขาอยู่จนทุกวันนี้ ยังขอให้ดร.สมบัติ จันทรวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญปรัชญาการเมืองอเมริกัน มาติวให้เสมอ เร็วๆนี้ ยังให้อาจารย์สมบัติเปรียบเทียบทักษิณกับอเลกซานเดอร์ แฮมิลตัน บิดาเศรษฐกิจการเมืองของอเมริกัน ซึ่งแก่กว่าทักษิณถึง 200 ปี
แต่อีกด้านหนึ่งของเหรียญ กลับเป็นคัมภีร์ของGeorge Kennan 1948 ปรมาจารย์นโยบายต่างประเทศ ที่รัฐบาลอเมริกันยึดถือมาจนกระทั่งปัจจุบัน
“ ภารกิจที่แท้จริงของเราในยุคต่อไป คือการสร้างรูปแบบความสัมพันธ์ที่อเมริกาต้องรักษาความเป็นต่อเหนือทุกชาติ (เป็นเจ้าทางเศรษฐกิจและการทหาร) จะทำเช่นนั้นได้ เราต้องโยนความอ่อนไหวและฝันกลางวันทิ้งเสียให้สิ้น เราจะต้องเลิกพูดหรือคำนึงถึงวัตถุประสงค์ที่เลื่อนลอยและไม่จริง เช่น สิทธิมนุษยชน การยกมาตรฐานการครองชีพ หรือการสร้างประชาธิปไตย ใกล้ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องสำแดงอำนาจให้เห็นอย่างเด่นชัด ยิ่งเราเลิกกังวลถึงสโลแกนเพ้อฝันได้มากเท่าไร ก็ยิ่งจะดี”
ไหนๆเราก็เคยพูดถึงประธานาธิบดีหมาๆ รัฐผู้ก่อการร้าย และอุสาหกรรมสงครามเป็นพื้นมาแล้ว ทั้งหมดต่างก็ยึดคัมภีร์Kennanทั้งสิ้น นี่คือสันดานดิบUSA หรืออเมริกันอันตราย
ผมขอยกตัวอย่างสั้นๆเป็นข้อๆ เพราะเนื้อที่จำกัด ถ้าท่านต้องการข้อมูลอ้างอิงโปรดขอได้จากผู้จัดการ
1.ความสัมพันธ์กับไทย ผมไม่เคยบอกว่าอเมริกันเลว ตลอดศตวรรษที่ 19 จนถึงกึ่งศตวรรษที่แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ เป็นข้อยกเว้นที่โดดเดี่ยวและดูดดื่ม แต่นั่นเป็นความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับประชาชน องค์กรการกุศลหรือศาสนากับประชาคม หรือผู้เชี่ยวชาญที่พระเจ้าแผ่นดินจ้างมา ทั้งหมดได้สร้างคุณูปการให้กับประเทศไทยหลายทาง แต่ผมว่าตั้งแต่ปี ค.ศ. 1949 เป็นต้นไป น้ำหนักของรัฐอเมริกันทับลงมาที่รัฐไทย เช่นเดียวกับรัฐญี่ปุ่นในสงครามมหาเอเชียบูรพา เพราะรัฐไทยอ่อนน้อมจึงไม่ประสบกับความเสียหายทีโหดร้าย ผลเสียที่มองไม่เห็นคืออเมริกันได้เปลี่ยนความคิดและทิศทางในการพัฒนาของไทย ซึ่งรัชกาลที่ 5 ได้วางไว้อย่างดีแล้ว แม้หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองก็ยังดำเนินต่อ เราจึงเปลี่ยนจากขยายการรถไฟมาเป็นการสร้างถนนขนอาวุธ จากชลประทานมาสู่เขื่อนไฟฟ้า จากระบบการศึกษาที่ผูกติดกับชุมชนและไม่ใหญ่โตมาสู่ทางหลวงและปริญญาชั้นสูง จากระบบราชการที่เล็กและเมตตามาสู่ระบบราชการที่ใหญ่โตซ้ำซ้อน นำด้วยปัญญาชนสุกๆดิบๆรุ่นใหม่มีปริญญานอกมาปรับฐานันดรเป็นนาย เกิดคอร์รัปชัน และหมดเปลือง ฯลฯ
ผมยืนยันว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจตามก้นอเมริกันสู้ของรัชกาลที่ 5 และในหลวงปัจจุบันไม่ได้
2. ทฤษฎีและสถิติการล้างเผ่าพันธุ์ รัฐอเมริกันเป็นชาติแรกที่ทำลายล้างศัตรูแบบ total annihilation คือล้างไม่ให้เหลือ mass destruction หรือ weapon of mass destruction (WMD)เป็นแนวคิดยุทธศาสตร์และผลผลิตจากอุสาหกรรมสงครามอเมริกันเพื่อนำไปทำลายล้างศัตรูหรือขายให้บริวาร ไม่มีอำนาจรัฐใด ไม่ว่าจะเป็นฮิตเลอร์ สตาลิน หรือเหมา เจ๋อ ตุง ที่สังหารมนุษยชาติแทบและทำลายประเทศต่างและชีวิตประชาชนผู้บริสุทธิ์มากเท่ารัฐอเมริกัน นับตั้งแต่การสังหารหมู่ชาวอินเดียนแดง การทิ้งระเบิดปรมาณูในญี่ปุ่น และการฆ่าเด็กไร้เดียงสาเป็นหมื่นเป็นแสนในอิรักยุคปัจจุบัน อเมริกาทิ้งระเบิดในลาวมากกว่าระเบิดของพันธมิตรทั้งหมดทิ้งในยุโรป
3. Preemptive Theory ของ Rice ที่ปรึกษาความมั่นคงที่บุชเชื่อทุกอย่าง เธอประยุกต์ทฤษฎี Preemptive Strike จากสงครามนิวเคลียร์คือการโจมตีก่อนเพื่อป้องกันตนเองมาใช้ในการโจมตีอิรักและที่อื่นๆ ในอนาคตโดยอ้างว่าถ้าจะมีภัยมาถึงแผ่นดิน อเมริกามีสิทธิโจมตีประเทศใดๆก่อนก็ได้เพื่อป้องกันตัว
4. CO (Clanderstine Operations) หรือจารกรรมปิดลับทั้งกระทำโดย CIA ลูกจ้าง หรือลูกสมุนของอเมริกันในประเทศที่รัฐอเมริกันต้องการลงโทษหรือเปลี่ยนแปลง รัฐบาล อเมริกาปัจจุบันรื้อฟื้นกฎหมาย ให้รัฐอเมริกาสามารถกำจัดศัตรูนอกประเทศโดย CO ได้ ผู้นำหลายประเทศถูกสังหาร เช่น อาเลียนเด ของชิลี โงดินเดียม ของเวียตนาม หรือถูกโค่นล้มเช่น อริสตีด ของ เฮติ และการที่อเมริกันจะพยายามโค่นล้มคัสโตร หรือชาเวซของเวเนซุเอลาในปัจจุบัน
5. UN ไม่ใช่พ่อ รัฐอเมริกามองข้ามและไม่สนใจกติกาของสหประชาชาติที่ขัดขวางความสะดวก ผลประโยชน์หรืออำนาจของอเมริกัน เช่น ทำสงครามบุกเข้าโจมตีอิรักโดยไม่ฟังเสียง UN นายโคฟี อันนันบอกว่าสงครามครั้งนี้เป็นอธรรมสงคราม(illegal war)
6. สงครามโลกครั้งที่4 ทีมบุชเตรียมทำสงครามโค่นเพื่อนเก่าซัดดัมตั้งแต่สัปดาห์แรกที่เขาเข้ารับตำแหน่ง เจ้าทฤษฎีของคณะคือ โวลโฟวิตซ์ ปาฐกถาที่ War College ก่อนเวิร์ลเทรดถล่มหลายเดือนว่า อเมริกาหลีกเลี่ยงสงครามโลกครั้งที่ 4 ไมได้ สงครามโลกครั้งที่ 3 คือสงครามเย็นที่อเมริกันพิชิตโซเวียตและบริวารยังไม่เพียงพอ อเมริกันจะเป็นอภิมหาจักรวรรดิ์ไม่ได้จนกว่าจะสยบโลกมุสลิมได้ทั้งหมด โอนีลรัฐมนตรีคลังทำการคัดค้านมาตลอด ในที่สุดก็ถูกเชิญให้ลาออก
โอนีลเช่นเดียวกับปัญญาชนทั่วโลก รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์และนักเศรษฐศาสตร์โนเบลอเมริกันทั้งหมด ต่างหวาดกลัวสมัยที่ 2 ของบุช เพราะเชื่อว่าบุชไม่มีสมองเป็นแต่เพียงหุ่นเชิดของคณะอุสาหกรรมสงครามเท่านั้น แต่บุชมีบุคลิกเหมือนแรมโบ้จึงยังเป็นที่บูชาของคนอเมริกันส่วนมากอยู่ เขามีสิทธิจะชนะอย่างมาก เพราะอเมริกาต้องการเป็นempire
ทีมบุชถึงกับพูดว่า บัดนี้เราเป็น empireแล้ว ใครอย่าขวาง เราไม่จำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงหรือ reality จากคนอื่น เราคือ reality และเราเป็นคนสร้าง reality!
Down With Pax Americana, Long Live Thailand!