xs
xsm
sm
md
lg

พรรคไทยรักไทย : การตลาด-การเมือง!

เผยแพร่:   โดย: แสงแดด

เมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว พรรคการเมืองสำคัญ 4 พรรคได้เริ่มต้นรณรงค์หาเสียงกันไปเรียบร้อยแล้ว โดยพรรคใหญ่สองพรรค คือ พรรคไทยรักไทย กับ พรรคประชาธิปัตย์มี "สโลแกน" หรือ "ม็อตโต้" ที่สร้างสีสันอย่างมากให้กับสนามการเมืองไทย ซึ่งว่าไปแล้วในอดีตไม่ค่อยเคยมีมาก่อน
ตลอดระยะเวลาสี่ซ้าห้าปีที่ผ่านมา สีสันบนสนามการเมืองไทยเริ่มเปลี่ยนแปลงไปโดยมีการโจมตี "แบ่งค่าย-แบ่งขั้ว" กันชัดเจนมากขึ้นเท่านั้นยังไม่พอยังมีการ "แยกเขี้ยว" เข้าใส่กันอย่างเห็นได้ชัด โดยไม่ค่อยคำนึงถึงความคุ้นเคยที่มีต่อกันและเคยทำงานร่วมกันมาในอดีต แถมมีการกล่าวถึง "มุมลบ" ด้านบุคลิกภาพ พร้อมกับความสามารถในการบริหารประเทศชาติที่ในอดีตไม่เคยมีมาก่อน แต่ก็อย่างว่า "การเมืองก็คือการเมือง" ที่มีคำกล่าวสำคัญที่สอดคล้องกับธรรมชาติของการเมืองที่สุดคือ "ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร!"

พูดง่ายๆ ก็หมายความว่าวันนี้ "สาดโคลน" ใส่กันวันข้างหน้าอาจ "จูบปาก!" กันร่วมรัฐบาลด้วยกันก็ได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งนี่คือ "สัจธรรม" ทางการเมือง

อย่างไรก็ตาม ศึกรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งได้เริ่ม "ลั่นกลองรบ" หรือ "เปิดฉาก" กันเรียบร้อยไปแล้วเมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว โดยพรรคไทยรักไทยเรียกว่า "คิกออฟแคมเปญ" หรือเป็นการ "เขี่ยลูก-เตะลูก" เปิดเกมกันไปแล้ว ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ก็สรรหาคำว่า "โหมโรง" มาเป็นการเริ่มต้นเช่นเดียวกัน ส่วนพรรคมหาชนและพรรคชาติไทยนั้น เพียงแต่ระดมทุนและรณรงค์เท่านั้น ไม่มีสโลแกน และ/หรือ ม็อตโต้แต่ประการใด

กรณีที่น่าชื่นชมที่สุดที่ไม่ได้คิดเชียร์แต่ประการใดหรือหวังอะไรทั้งสิ้นแต่ต้องเอ่ยถึง คือ ม็อตโต้ของพรรคไทยรักไทย "4 ปีซ่อม...4 ปีสร้าง" พอประชาชนได้ฟังแล้วเข้าใจทันทีอย่างง่ายดายไม่ต้องแปลเป็นอื่น พร้อมทั้งนโยบาย 11 ประการก็ฟังดูดี ชัดเจนมาก แต่อาจจะเยอะไปหน่อย ไม่เหมือนที่สี่ปีที่แล้ว "จำง่าย!" กว่า

พรรคการเมืองอื่นยังไม่ได้ขยับอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าสโลแกนและม็อตโต้กับนโยบายต่างๆ พรรคไทยรักไทยได้เปรียบมากในกรณีนี้ที่ก้าวไปข้างหน้าหลายก้าวแล้ว ทั้งนี้ ความจริงที่เราต้องยอมรับก็คือว่า "กลยุทธ์การตลาด" ของพรรคไทยรักไทย "ล้ำหน้า" มากกว่าพรรคการเมืองอื่นหลายขุม เพราะฉะนั้นพรรคไทยรักไทยขยับ และ/หรือ เคลื่อนไหวแต่ละครั้งก็กินพรรคอื่นขาดไปหลายกิโลฯแล้ว

การเมืองไทยได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง นับวันชักจะเหมือนต่างประเทศเข้าไปทุกที โดยเฉพาะสนามการเมืองสหรัฐอเมริกาที่ช่วงรณรงค์หาเสียงจะ "คึกคัก" และมี "สีสัน" อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "การบลัฟ-เกทับ" กันไปมาระหว่างพรรคการเมืองใหญ่ อย่างเช่น พรรครีพับลิกันกับพรรคเดโมแครต แต่มักเล่นกันแค่ระดับผู้สมัครท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเท่านั้น ส่วนบ้านเราปัจจุบันจะเล่นกันทั้งพรรคโดยเฉพาะ "คู่กัด" พรรคไทยรักไทยกับพรรคประชาธิปัตย์

นอกเหนือจากการ "ฟัด-เกทับ" กันอย่างหนักแล้ว ที่สำคัญคือการมุ่งเน้นนำเสนอนโยบายที่มีลักษณะเป็น "รูปธรรม" มากขึ้น ไม่ครอบคลุมเชิงกว้างเหมือนในอดีตที่ประชาชนฟังแล้วอาจเข้าใจยาก แต่นโยบายพรรคการเมืองในปัจจุบันฟังแล้ว "โดนใจ" ประชาชนทันที เพราะเข้าใจง่ายไม่ต้องไป "แปล" หรือ "ตีความ" โดยเฉพาะประชาชนทั่วไปในระดับรากหญ้า

การแข่งขันกันนำเสนอของพรรคการเมืองในปัจจุบันต้องยอมรับว่า "พัฒนา" อย่างมากเพราะเท่ากับว่าพรรคการเมืองให้ความสำคัญและน้ำหนักกับ "ความพึงพอใจ" ของประชาชน ในการที่จะ "ตอบสนอง" ประชาชนให้ได้มากที่สุด และที่สำคัญคือ พรรคการเมือง "อาจจะ" เข้าใจปัญหามากขึ้น และต้องการเข้ามาแก้ไขปัญหาพร้อมพัฒนา

ผู้ที่ได้รับอานิสงส์จากการแข่งขันกันนี้ แน่นอนก็คือ "พวกเรา" ประชาชนทุกคน แต่ถามว่า นโยบายของพรรคการเมืองใดก็ตามแต่เมื่อนำมาปฏิบัติแล้วจะสัมฤทธิผลเต็มร้อยหรือไม่ ก็ต้องฟันธงตอบตรงๆ ว่า "ยากส์ส์ส์ส์!" เพราะถ้าเราลองทบทวน ประเมิน การนำนโยบายไปปฏิบัติของรัฐบาลไทยรักไทยปัจจุบันที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

ก็ประสบปัญหาบ้างไม่มากก็น้อย แต่ถามว่า "พยายาม" หรือไม่ก็ต้องตอบว่า "พยายาม" และ "คืบหน้า" มากพอสมควร ไม่ว่ารักษาสารพัดโรค 30 บาท พักหนี้เกษตรกร กองทุนหมู่บ้าน เป็นต้น

ดังที่กล่าวไว้แล้วข้างต้นว่าเมื่อสี่ปีที่แล้ว นโยบายรูปธรรมของพรรคไทยรักไทยถือว่า "ฮือฮา" และ "โดนใจ" ประชาชนอย่างมาก และที่สำคัญคือ ประชาชนส่วนใหญ่ "จำได้ขึ้นใจ!" แต่พอมาคราวนี้ต้องขอบอกตรงๆ ว่า ประชาชนจำไม่ได้เลย เพราะปลีกย่อยและเยอะเกินไป หรือว่า "ไม่โดนใจ!" พวกเราเหมือนเมื่อสี่ปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันมากว่าเป็นนโยบาย "ลดแลกแจกแถม" แต่ก็ยังดีที่เป็นนโยบายเอาใจประชาชนระดับรากหญ้า เพราะฟังดูแล้ว "เคลิ้ม-ครึ้มอกครึ้มใจ" ดี ทั้งนี้ความจริงที่เราต้องยอมรับว่าเป็น "ความตั้งใจ" และ "เจตนา" ดีที่พรรคไทยรักไทยพุ่งไปที่ประชาชนระดับล่าง ส่วนพรรคการเมืองอื่นนั้นยังไม่มีการประกาศนโยบายชัดเจนเท่าใดนัก

ปัญหาที่คาดการณ์ว่า "น่าจะเกิดขึ้น" คือ การร่วมผสมพรรคการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาลที่อาจไม่มีพรรคใดเป็นแกนนำหรือมีคะแนนเสียงในสภาฯ ท่วมท้นจนเป็นแกนนำเบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้อีก จึงอาจมีพรรคการเมืองอีก 2 พรรคร่วมผสมจัดตั้งรัฐบาลในกรณีนี้หมายถึง การณรงค์หาเสียงเชิง "ตัดขาด-ตัดความสัมพันธ์" แต่ในที่สุดก็ต้องมาร่วมชายคาเดียวกัน เดี๋ยวประชาชนจะ "นึกขำ" อยู่ในใจว่า "โธ่เอ๊ย! ก็อีหรอบเดิม!"

นอกเหนือจากนั้น การเมืองที่พัฒนามามากขนาดนี้ สะท้อนให้เห็นว่าประชาชน รู้เข้าใจและสนใจ การเมืองมากยิ่งขึ้น "การจ้องตรวจสอบ" จนเลยเถิดไปถึง "จ้องจับผิด" จะเกิดขึ้นในการบริหารงานของรัฐบาลสมัยหน้าว่านานาสารพัดนโยบายได้ถูกนำมาปฏิบัติอย่างเต็มที่หรือไม่ กอปรกับการบริหารเป็น "ธรรมาภิบาล" หรือไม่อย่างไร ในกรณีนี้หมายถึง "การเมืองภาคประชาชน" จะแสดงอิทธิฤทธิ์มากกว่าเดิมด้วยการ "ประเมิน-ตรวจสอบ-สำรวจ" อยู่ตลอดเวลา

ยังดีที่แข่งขันกันนำเสนอนโยบาย ยังดีที่มุ่งเอาใจประชาชน และยังดีที่การเมืองไทยพัฒนามาระดับหนึ่ง แต่จะดีมากๆ ถ้า "สามารถทำได้ดังพูด!" โดยเฉพาะปราบปรามทุจริตคอร์รัปชัน ไม่ว่าพรรคไหนก็ตามเป็นรัฐบาล!

อีกประเด็นหนึ่งที่มีการกล่าวถึงกันมากคือ "การดีเบต" หรือ "การโต้วาที" ระหว่างหัวหน้าพรรคการเมือง ที่อยากเห็นหัวหน้าพรรคการเมืองไทยมา "ซด" กันสดๆ เหมือนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเขาทำกัน ว่าไปแล้ว เราก็ทำมาโดยตลอดทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการเมืองระดับชาติและระดับท้องถิ่น โดยนำเอาหัวหน้าพรรคการเมืองมานั่งแถลงแนวคิดนโยบายประมาณคนละครึ่งชั่วโมงบ้างสี่สิบห้านาทีบ้าง

แต่ต้องขอเสียมารยาทว่า เนื้อหาและบรรยากาศก็ "แกน...แกน" คือ "จืดชืดสนิท" ไม่เร้าใจเหมือนการดีเบตของผู้สมัครประธานาธิบดีในอเมริกาที่มี "สีสัน" และ "รุกเร้า" อย่างมาก เนื่องด้วยเขา "ไม่เกรงใจกัน-ไม่ไว้หน้า"

การโต้วาทีจะต้องทำการบ้านมาอย่างดีถึงการบริหารชาติบ้านเมืองของแต่ละฝ่ายตลอดจนความคิดต่างๆ และก็เลยเถิดไปจนถึง การโจมตีทางด้านบุคลิกภาพ ประวัติการทำงาน ผลงานต่างๆ หรือแม้กระทั่งเรื่อง "ส่วนตัว" ก็ถูกขุดคุ้ยออกมาหมด

ส่วนบ้านเรานั้น ถ้าเผชิญกันซึ่งๆ หน้า ก็จะนอบน้อม "เกรงใจ" ไม่กล้าโจมตีกันเด็ดขาด แต่ลับหลังเมื่อใดเป็นได้ "กัด" กันเละเทะไปหมด ทั้งนี้คงไปต่อว่าต่อขานอะไรมากไม่ได้ เพราะขนบธรรมเนียมประเพณีไทยเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าระบบอาวุโส ระบบอุปถัมภ์แต่ไม่สำคัญเท่ากับ "ความเกรงใจ" ที่มีต่อกัน เพราะฉะนั้นการดีเบตของไทยจะ "ไว้หน้า" กันมากกว่า คงไม่โจมตีเร้าใจเหมือนอเมริกา

อย่างไรก็ตาม แม้กระทั่ง คู่ที่ดูแล้วน่าพอฟัดพอเหวี่ยงกันที่สุด ถ้าจะโต้กันจริงๆ เห็นจะเป็นคู่ของอดีตนายกรัฐมนตรี ชวน หลีกภัย กับนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร แต่เราคงไม่มีโอกาสได้เห็นได้ฟังเด็ดขาด เพราะท่านชวนมิได้เป็นหัวหน้าพรรค หรือ แคนดิเดต นายกรัฐมนตรี อีกต่อไปแล้วในช่วงการเลือกตั้งครั้งหน้า

หรือถ้ามาเผชิญหน้ากัน ก็คงเรียก "พี่-น้อง" กันตามประสาประเพณีไทย และก็คงแค่ "สะกิด-สะเกา" กันเบาะๆ เท่านั้น คงไม่ถึงกับเลือดตกยางออก เหตุผลสำคัญก็เพราะว่า "วิธีการคิด" ของคนไทยนั้น ไม่ค่อยจะมืออาชีพหรือ PROFESSIONALISM สักเท่าใด ที่ฝรั่งเขาจะแยกแยะออกระหว่างความเป็นอาชีพกับเรื่องส่วนตัว (PERSONAL) เพราะฝรั่งเขาจะไม่เอาความรู้สึกหรือ EMOTION มาเป็นอารมณ์เด็ดขาด

เราจะสังเกตได้ว่าฝรั่งเขาเวลาประชุมเวลาถกเถียงกันเขาจะหน้าดำหน้าแดง เถียงกันชนิดเอาเป็นเอาตาย แต่ทั้งหมดมุ่งเป้าไป "เป้าหมาย-วัตถุประสงค์" ของผลงานเท่านั้น พอออกจากห้องประชุม ก็จะนั่งซดกาแฟ เป็นเพื่อนกันได้เหมือนเดิม แต่คนไทยนั้นไม่ได้เลย จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ พลอยไม่พูดจา โกรธเคืองกันไปเลย

เพราะฉะนั้นการดีเบตทางการเมืองไทย จึงไม่เคยเข้มข้นและเร้าใจเหมือนการเมืองสหรัฐอเมริกา

อย่างไรก็ตาม ดังที่ได้กล่าวไว้ว่า การเมืองไทยค่อยๆ พัฒนามาโดยตลอดและเริ่มมีสีสันมากขึ้น พรรคไทยรักไทยนั้นต้องขอชมว่า "ล้ำหน้า" เสมอเพราะใช้กลยุทธ์ทาง "การตลาดนำการเมือง" ตลอดผิดกับพรรคการเมืองอื่นที่ยัง "มะงุมมะงาหรา" ย่ำอยู่กับที่ จะปรับจะเปลี่ยนแต่ละที พรรคไทยรักไทยเอาไปกินซะก่อนทุกทีไป

ถามว่า สโลแกนก็ดี ม็อตโต้ก็ดี นโยบายก็ดี ประชาชนทั่วไปจดจำของพรรคการเมืองใดได้มากที่สุด และก่อนพรรคใด ก็ต้องตอบว่า ของพรรคไทยรักไทยนั้นแน่นอนที่ประชาชนจดจำและซึมไปเรียบร้อย ทั้งนี้ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าการเมืองยุคหน้านั้น "การเมืองภาคประชาชน" จะเริ่มทวีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ และคอยตรวจสอบตลอดเวลา

เพราะสังคมการเมืองไทยยิ่งพัฒนามากขึ้นเท่าไหร่สังคมไทยโดยรวมก็จะพัฒนามากขึ้นเป็นเงาตามตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำนักสำรวจโพลทั้งหลายที่จะซูเปอร์ฮิต เหมือนต่างประเทศ

โปรดอย่าพึ่งแปลกใจว่า ทำไมงวดนี้ "แสงแดด" เชียร์พรรคไทยรักไทยมากเกินไปหรือเปล่า หรือว่าได้โผอะไรมา ก็ต้องตอบว่า "ปราศจากอคติ" หรือ "ลำเอียง" แต่ประการใด เพียงเห็นสไตล์และลีลาทางการเมืองของพรรคไทยรักไทยแล้วต้องยอมรับว่าทั้ง "ล้ำหน้า-ล้ำสมัย" พรรคการเมืองอื่นหลายขุมและที่สำคัญคือ "การตลาดเนียนที่ซู๊ด!"
กำลังโหลดความคิดเห็น