xs
xsm
sm
md
lg

เจงกิสข่านคนสุดท้ายในตะวันออกกลาง (1)

เผยแพร่:   โดย: ยอดธง ทับทิวไม้

tavanron@yahoo.com

เมื่อเอ่ยถึงอิรักหรือตะวันออกกลาง สำหรับคนไทยรู้สึกว่ามันจะเป็นอะไรสักอย่างหนึ่งซึ่งอยู่ห่างไกลสุดหล้าฟ้าเขียว ทุกอย่างที่เป็นตะวันออกกลาง เป็นอิรัก หรือเป็นซาอุดีอาระเบียทุกวันนี้เป็นเพียงภาพที่เรามองเห็นได้แต่เพียงรางๆ เท่านั้น เราไม่เคยรู้กันจริงๆ ว่ามันมีอะไรสำคัญหรือไม่สำคัญอยู่ที่นั่น เราได้ยินกันไม่กี่วันมานี้ว่ามีผู้หญิงไทยไปแต่งงานกับคนอาหรับอยู่ที่นั่นมาเป็นสิบๆ ปีและวันต่อๆ ไปก็จะต้องมีคนไทยอีกมากที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับตะวันออกกลางเหมือนบ้านเมืองหรือแผ่นดินของตัวเองอีกแห่งหนึ่ง เพราะความจริงอยู่ในอาหรับหรือตะวันออกกลางนั้นมีที่ทำมาหากินพอที่จะหากินได้มากกว่าเมืองไทยในขณะนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับตะวันออกกลางนั้น มันจะไม่มีวันห่างไกลอีกต่อไปในอนาคต เพราะตะวันออกกลางต้องการอาหารการกินซึ่งเมืองไทยเรามีอยู่อย่างเหลือเฟือ ในขณะที่ตะวันออกกลางมีสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคนไทยก็คือ น้ำมันซึ่งกำลังจะเป็นปัญหาสำหรับเมืองไทยและโลกทุกวันนี้

เมื่อหลายพันปีมาแล้ว คนที่เห็นความสำคัญของตะวันออกกลาง ไม่ใช่อเมริกันหรืออังกฤษซึ่งยังไม่รู้อยู่ในนรกขุมไหน แต่เป็นท่านเตมูจีนหรือเจงกิสข่านจากมองโกลที่ขนเอากองทัพม้าเป็นหมื่นเป็นแสนคนเข้ามาบุกแม่น้ำไทกริสและอิรักทุกวันนี้ โดยพยายามปลุกปล้ำเอาเป็นเมืองขึ้นและเป็นสนามรบของทัพม้าขนาดใหญ่เข้ามายึดครองไว้หลายต่อหลายปี

ไม่มีใครบอกว่าเจงกิสข่านหรือพวกมองโกลต้องการน้ำมันหรืออินทผลัมอะไรสักอย่างหนึ่ง นักประวัติศาสตร์ไม่บอกรายละเอียดไว้ เพียงแต่บอกว่าต้องการแสดงอำนาจเดชภินิหารเท่านั้น

หลังจากที่กองทัพเจงกิสข่านได้รับชัยชนะต่อคนอาหรับที่นั่น สิ่งแรกที่ชาวมองโกลกระทำก็คือ ตัดหัวของชาวอาหรับเป็นหมื่นเป็นพันมาสร้างเป็นปราสาทขึ้นไว้เป็นที่ระลึกเป็นเรื่องสนุกสนานจนกระทั่งการต่อสู้ฆ่าฟันกันไป ชาวตะวันออกกลางสามารถพึ่งตัวเองได้และขับไล่เจงกิสข่านหรือเตมูจีนที่ว่านั้นต้องลากขาลากชีวิตตัวเองกลับไปมองโกล

ผิดกับทุกวันนี้ การเข้ามาเหยียบย่ำอาหรับหรือพยายามยึดเอาดินแดนตะวันออกกลางของอเมริกาและอังกฤษมีวัตถุประสงค์แตกต่างกัน ซึ่งนักศึกษาทางการเมืองหลายยุคหลายสมัยกล้ายืนยันว่าเป็นการเข้ามาเพื่อ "ล่าเมือง" ขึ้นหรือเอาปล้นแผ่นดินตะวันออกกลางเป็นที่ทำมาหากินจากทรัพย์ในดินสินในน้ำของประเทศนั้น โดยการรวมตัวของคนผิวขาวที่มีอำนาจหรือความเจริญเหนือกว่ามีอาวุธยุทโธปกรณ์เข้ามายึดครองประเทศเหล่านี้ในรูปที่เรียกว่า "แบ่งแยกและปกครอง" (DEVIDED AND RULE)

ไม่ว่าจะไปมีความสัมพันธ์หรือติดต่อกับประเทศไหนก็ตาม สำหรับประเทศมหาอำนาจตะวันออกหรือประเทศล่าเมืองขึ้นตะวันตกจะไปพร้อมกับเล่ห์กระเท่ห์มากมายหลายประการที่จะทำให้ประเทศนั้นอ่อนแอ และเแตกแยกแล้วก็ใช้กำลังของตนเข้ายึดครองเป็นเมืองขึ้นเสีย แต่เป็นเพราะว่าในประเทศที่ถูกล่าเมืองขึ้นเหล่านั้นไม่ยอมเชื่อ ว่าคำคำนี้จะมีความหมายอะไร นอกจากจะหลับหูหลับตาให้ประเทศชาติประชาชนของตัวเองถูกหลอกถูกหลอนมาตลอดเวลาหลายพันปี และทุกหนทุกแห่งในโลก

แต่ประเทศทาสและประเทศที่มีผู้ปกครองที่หน้าโง่ทั้งหลายทั้งปวงจะมองและเข้าใจแต่เพียงว่ามันเป็นมิตรภาพที่หอมหวานที่ตนจะต้องยอมรับเอาไว้ จนกระทั่งประเทศเล็กประเทศน้อยและประเทศที่มีผู้นำโง่เขลา และผู้นำที่แสวงหาประโยชน์ต่างๆ ก็นำประเทศของตนเองไปเป็นทาส และเป็นประเทศอาณานิคมของประเทศล่าเมืองขึ้นต่อไปอย่างไม่ลืมหูลืมตา

ไม่เพียงแต่เท่านั้น การเป็นทาสหรือเป็นสุนัขรับใช้ที่จงรักภักดีของประเทศล่าเมืองขึ้นตะวันตกนั้น ประเทศเมืองขึ้นทุกประเทศที่มีผู้นำเลวๆ ทั้งหมดจะยอมให้ประเทศนายทาสของตนจิกหัวใช้ด้วยความปรีดาและเสียสละทรัพย์สินผู้คนของตัวเองเพื่อเอาใจนายทาสเหล่านั้นอย่างเป็นสุข

ตัวอย่างในกรณีอิรัก อเมริกา และประเทศจักรวรรดินิยมทั้งหมดที่มีบ่อน้ำมันและกิจการน้ำมันอยู่ในตะวันออกกลาง บุกเข้าไปยึดประเทศอิรักโดยอิรักไม่ได้ต่อต้านใดๆ อเมริกาและพวกก็พากันยิงถล่มบ้านเมืองและผู้คนบ้านแตกสาแหรกขาด แต่หลังจากบ้านเมืองผู้คนในอิรักฉิบหายไปเยอะแยะแล้ว ยังไม่สาแก่ใจก็สมคบกับพวกจักรวรรดินิยมรายย่อยอีกสองสามประเทศ ยกกำลังทหารและกองทัพเข้านั่งยิงนอนยิงอยู่ฝ่ายเดียว อเมริกาก็ออกมาจิกหัวสุนัขรับใช้ที่เข้มแข็งทุกชาติที่เป็นสมุนเข้าไปแก้ไข ปัญหาต่างๆ ที่อเมริกาไปทำลาย ไม่ว่าวัตถุหรือทรัพย์สินผู้คน สุนัขรับใช้หลายประเทศที่เต็มไปด้วยความจงรักภักดีก็พากันขนทหารของตนเข้าไปดูแลแก้ไขทุกสิ่งที่อเมริกาไปถล่มทลายเอาชนะ เงินก็ต้องเสีย ทหารและผู้คนของตนก็ถูกฆ่าทิ้ง แม้แต่คนไทยก็มีทหารสองนายที่ต้องตายอยู่ในอิรัก ไม่มีใครได้อะไรนอกจากการแสดงตัวเป็นสุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์ของอเมริกาเพียงอย่างเดียว

มีคนพยายามแก้ตัวว่าการส่งทหารเข้าไปช่วยอิรักนั้น เป็นการทำเพื่อมนุษยธรรมเท่านั้น

การทำสงคราม การฆ่าคนที่อเมริกาเข้าไปทำนั้น เป็นการกระทำเพื่อมนุษยธรรมไปแล้วกระนั้นหรือ ในความเข้าใจของนักล่าเมืองขึ้นผิวขาวและสมุนบริวารของเขา

ในเอเชียดูเหมือนจะมีนักการเมืองคนเดียวเท่านั้นที่นอกจากจะรู้เท่าทันประเทศมหาอำนาจสกปรกเหล่านี้ และสามารถแข็งข้อได้อย่างมีศักดิ์ศรีได้แก่ อดีตผู้นำของมาเลเซียคือ ท่านมหาเธร์ โมฮัมหมัด ซึ่งท่านแสดงตัวอย่างผู้นำของประชาชนของชาติเล็กๆ ชาติหนึ่งในเอเชียที่คำกล่าวและการแสดงความคิดเห็นของท่านผู้นี้ โดยการปาฐกถาที่สิงคโปร์ตามรายงานข่าวของเอเอฟพี เมื่อวันที่ 11 เดือนนี้ โดยท่านเรียกร้องให้ผู้นำเอเชีย "ยุติการหมอบกราบคำนับชาวตะวันตกเสียที พร้อมกับเตือนว่าการเอาแต่สยบนบนอบฝรั่งต่อไป ซึ่งรังแต่จะนำไปสู่การลุกฮือภายในประเทศ ตลอดจนการโจมตีของผู้ก่อการร้ายเท่านั้น" (ผู้จัดการรายวัน 12 ตุลาคม 2547)

บางทีคำเตือนและความคิดเห็นของท่านอดีตนายกรัฐมนตรีประเทศเล็กๆ รายนี้ อาจจะช่วยแก้ปัญหาให้ประเทศสารพัดทาสที่มีความโง่เขลาจะได้คิดและแก้ไขความคิดความอ่านของตัวเองได้ ก่อนที่จะต้องเผชิญกับปัญหาหนักไปกว่านี้ ซึ่งท่านมหาเธร์พูดออกมาอย่างไม่เกรงใจใครว่า "พวกผู้นำเอเชียและชาวเอเชียโดยทั่วไป ยังคงไม่ได้มีเสรีภาพทางความคิดและอุดมการณ์ทั้งหลายที่มาจากนอกเอเชีย พวกเขายังคงรู้สึกซาบซึ้งต่อพวกฝรั่งยุโรป พวกเขายังมองอะไรโดยถือยุโรปเป็นศูนย์กลาง และเชื่อว่า คนเอเชียในขณะนี้กำลังรอคอยผู้นำที่น่าเชื่อถือสักคนหนึ่งจากชาติที่น่าเชื่อถือ"

นี่คือคำบอกกล่าวของนักการเมืองที่ไม่ยอมเป็นสุนัขรับใช้อเมริกา นักการเมืองผู้รู้แจ้งแทงตลอดในปัญหาความขัดแย้งภายในประเทศอย่างที่มันเกิดขึ้นใน 3 จังหวัดภาคใต้ของเราที่จะไม่มีวันหยุด ถ้าหากประเทศเรายังมีสุนัขรับใช้อยู่มากเกินไป

เพราะฉะนั้นสมัยที่คนทั้งโลกเริ่มรู้จักธาตุแท้ในการล่าเมืองขึ้นยุคใหม่ของอเมริกา ที่กระทำด้วยการแบ่งแยกและปกครอง จึงพยายามออกความคิดเห็นและเผยแพร่ความคิดในทางการเมือง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในยุคปัจจุบันนี้อย่างกว้างขวางและทั่วถึง องค์การและสมาคมต่างๆ ทั่วโลกได้ร่วมกันประกาศแนวคิดและการต่อสู้ในรูปแบต่างๆ ออกมาอย่างไม่ยี่หระต่อเทวดาหน้าไหนว่า "บรรดาการสำแดงออกของลัทธิอาณานิคม ล้วนเป็นภัยพิบัติที่พึงกำจัดเสียโดยเร็วทั้งสิ้น" (แถลงการณ์จากที่ประชุมเอเชีย-แอฟริกา นครบันดุง อินโดนีเซีย 29 เมษายน 2498)

ดูเหมือนจากวันนั้นเป็นต้นมา เรื่องราวของประเทศและบ้านเมืองทั้งหลายที่ถูกกดอยู่ใต้แอกเมืองขึ้นของชาติตะวันตกได้มีการเปิดเผยออกมาเป็นระยะ ประเทศและผู้คนต่างๆ ที่โง่เขลาหลายทวีปของโลกที่โง่เขลาและยากจนชนิดที่นุ่งผ้าเตี่ยวผืนเดียวตลอดชีวิตอย่างในแอฟริกาและเอเชียได้รวมตัวกันต่อสู้เพื่อปลดแอกความเป็นทาสทั้งทางตรงและทางอ้อมกันเกือบจะหมดโลก ดูเหมือนจะมีประเทศไทยประเทศเดียวเท่านั้นที่ยังมีผู้นำประเภทที่ ดร.มหาเธร์ต้องการให้มันเกิดยังไม่ได้เกิดขึ้น จนบัดนี้เรายังไม่เคยรับรู้ความสัมพันธ์ระหว่างชาติในความเป็นจริงนั้นมันหมายถึงอะไร ความเป็นเอกราชคืออะไร และการประท้วงของคนไทยที่ไม่ยอมให้มะละกอจีเอ็มโอเข้ามาทำลายบ้านเมืองนั้นมันเป็นเพราะอะไร ถ้าไม่ยอมรับรู้ว่ามะละกอไทยมันมีสิทธิที่จะมีเอกราชของมันเท่ากับสิทธิอื่นๆ ของคนไทยและคนชาติอื่นๆ ที่เขามีเอกราชเหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม เป็นเวลาแรมปีมาแล้วที่เรื่องราวในตะวันออกกลางที่กำลังจะนำโลกไปสู่ความยุ่งยากอีกทั่วทุกทวีปในไม่ช้า และมันอาจจะเป็นบทเรียนให้แก่ประชาชนคนทั่วไปได้มีความเข้าใจกันอย่างจริงจัง เราก็จะพยายามหาทางรู้จักตะวันออกกลางกันให้ชัดเจนพอสมควรว่าเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไรเสียด้วย

ตะวันออกกลางเป็นภาคพื้นส่วนหนึ่งของโลก ตั้งอยู่ระหว่างกลางของ 3 ทวีปคือ ทวีปเอเชีย แอฟริกา และยุโรป เป็นสะพานที่เชื่อมโยงมหาสมุทรอินเดียกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

ตะวันออกกลางมีเนื้อที่ 10,000,000 ตารางกิโลเมตร มีพลเมืองไม่น้อยกว่า100 ล้านคน ส่วนมากจะเป็นชาวอาหรับและนับถือศาสนาอิสลาม

ตะวันออกกลางประกอบด้วยประเทศต่างๆ 12 ประเทศคือ อัฟกานิสถาน อิหร่าน อิรัก อิสราเอล จอร์แดน ซีเรีย เลบานอน ซาอุดีอาระเบีย เยเมน ตุรกี อียิปต์ และซูดาน และประเทศที่เคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษได้แก่ บาห์เรน โอมาน กาตาร์ เอเดน คูเวต และเกาะไซปรัส กับอีกส่วนหนึ่งของปากีสถานซึ่งเรียกว่าปากีสถานตะวันตกก็จัดเข้าอยู่ในตะวันออกกลางด้วย

ไม่ใช่วันสองวันและไม่ใช่ปีสองปีประเทศอันกว้างใหญ่ไพศาลทั้งหมดนี้ หลายศตวรรษที่ผ่านมา ตะวันออกกลางไม่ได้เคยมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข เพราะมันถูกเหยียบย่ำทำลายโดยไม่เคยมีวันเวลาหยุดจากประเทศที่มีอิทธิพลต่างๆ ที่แสวงหาประโยชน์ในประเทศเหล่านั้น และที่สำคัญที่สุดก็คือหลายศตวรรษที่ผ่านมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 พื้นที่บริเวณตะวันออกกลางเกือบทั้งหมดตกอยู่ภายใต้การยึดครองของจักรวรรดิออตโตมานแห่งตุรกี จนกระทั่งถึงศตวรรษที่ 19 ประเทศทุนนิยมที่เข้มแข็งหรือเป็นประเทศล่าเมืองขึ้นตัวฉกาจอันได้แก่ อังกฤษก็ได้แผ่อิทธิพลเข้าในตะวันออกกลางนั้น โดยอาศัยช่องโหว่คือความล้าหลังทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมกับความเละเทะของระบบการปกครองของจักรวรรดิออตโตมานที่ทำให้อังฤกษสามารถแทรกซึมเข้าไปมีอิทธิพลในบริเวณนี้ และเมื่อมาถึงศตวรรษที่ 19 จักรวรรดิออตโตมานที่ 9 ก็ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศตะวันตก และในขณะเดียวกันทั้งอิหร่านและอัฟกานิสถานก็แปรสภาพเป็นเมืองขึ้นของตะวันตกต่อไป

จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง อาณาจักรออตโตมานอันยิ่งใหญ่ในอดีตซึ่งได้เข้าร่วมกับเยอรมนีเป็นคู่สงครามเพื่อทำสงครามกับพันธมิตรในยุคนั้นต้องพินาศลง อาณาจักรออตโตมานทางด้านตะวันออกกลางในสมัยที่ยังรุ่งเรืองนั้น จึงถูกพวกจักรวรรดินิยมตะวันตกเฉือนออกเป็นชิ้นๆ บ้างก็ตกอยู่ในความอารักขา บ้างก็ตกเป็นเขตยึดครอง บ้างก็ตกเป็นอาณานิคมโดยตรง

นั่นคือสาเหตุแห่งความยุ่งยากที่เกิดขึ้นในดินแดนเหล่านี้คือ ทุกประเทศทุกพวกทุกเผ่ามีปัญหาการดิ้นรนและการต่อสู้แย่งชิงกันมาไม่หยุด ประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจของประเทศเหล่านี้น่าจะเริ่มต้นกันสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่สองไม่นานนักที่ประชาชนทุกพวกทุกเผ่าในสมัยนั้นจะเริ่มขัดแย้งและลงมือใช้อาวุธ และทำสงครามกันอย่างหนักเรื่อยมาอย่างประชาชนชาวอัฟกานิสถานได้จับอาวุธขึ้นสู้กับจักรวรรดินิยมอังกฤษถึง 3 ครั้ง แต่อังกฤษก็หมดหวังที่จะได้ประเทศเหล่านี้เป็นเมืองขึ้น และต่อมาในปี 1919 ก็พยายามใหม่ แต่ได้ถูกประชาชนอัฟกานิสถานร่วมกันสู้จนอังกฤษพังลงไปอีกครั้งหนึ่ง จนอังกฤษได้ยอมรับรองเอกราชของอัฟกานิสถาน พร้อมกับประชาชนในอิรัก และซีเรียต่างก็ลุกขึ้นสู้กับการรุกรานของอำนาจที่เรียกว่า จักรวรรดินิยมตะวันตก
กำลังโหลดความคิดเห็น