xs
xsm
sm
md
lg

ปรับฐานภาษีเงินได้-แวต

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"สรรพากร" ปรับโครงสร้างภาษีเพิ่มเม็ดเงินประชาชน-ธุรกิจ ขยายฐานรายได้ที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม จาก1.2 ล้านบาทเป็น 1.8 ล้านบาท เพิ่มวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจาก 8 หมื่น เป็น 1 แสนบาท และเก็บภาษีนิติบุคคลขนาดเล็ก กำไรไม่ถึงล้าน จ่ายต่ำกว่า 20% เตรียมเสนอครม.พิจารณาหวังใช้ทันปีงบประมาณ 48 "ศุลกากร" ดีเดย์ 1 พย. เคลียร์สินค้าจากท่าเรือเสร็จในวันเดียว "สมคิด" จี้สรรพสามิต จัดการร้านขายบุหรี่-เหล้าให้เด็กอายุไม่ถึง 18 ปีและร้านเกมส์ ภาใย 1 เดือน จ้องเก็บภาษีคอนเสิร์ตต่างชาติ สกัดเงินไหลออกนอกประเทศ

นายศิโรตม์ สวัสดิพาณิชย์ อธิบดีกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง เปิดเผยในการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำแผนยุทธศาสตร์และการปรับบทบาทกระทรวงการคลัง ปี 2548-2551 วานนี้ ( 10 ตค.) ซึ่งเป็นการ รับฟังยุทธศาสตร์และแนวทางการดำเนินงานของกลุ่มภารกิจด้านรายได้ ประกอบด้วย กรมศุลกากร กรมสรพสามิต และกรมสรรพากรว่า กรมสรรพากรมีแนวคิดในการปรับโครงสร้างภาษีใหม่ โดยเน้นใน 3 ตัว คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม(vat) ภาษีบุคคลธรรมดา และภาษีนิติบุคคลขนาดเล็กหรือขนาดเอส

ในส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่ม จะมีการขยายฐานรายได้ที่ไม่ถึงเกณฑ์ในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มให้มากขึ้นกว่าเดิมที่อยู่ที่ 1.2 ล้านบาท แต่ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าไร ส่วนภาษีบุคคลธรรมดานั้น จะมีการขยายวงเงินรายได้ที่ได้รับการยกเว้นภาษีจากเดิม 80,000 บาทต่อปี ให้สูงขึ้นกว่าเดิม ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนมีความกินดีอยู่ดีมากขึ้น เนื่องจากการขยายอัตราการยกเว้นภาษีดังกล่าวขึ้น จะทำให้ประชาชนมีรายจ่ายลดลงได้ ซึ่งประชาชนถึง 6 ล้านคนที่เสียภาษีอยู่จะได้รับประโยชน์ในครั้งนี้ทั้งหมด

"อย่างไรก็ตามในที่ประชุมได้มีการพูดถึงกรอบของการเสียภาษีไว้บ้างแต่ยังไม่ได้ข้อสรุป โดยการเสียภาษีVAT จะมีการขยายฐานรายได้ถึง 1.8 ล้านบาท และในส่วนของภาษีบุคคลธรรมดา ที่จะขยายวงเงินยกเว้นการเสียภาษีดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 1 แสนบาทต่อปี" นายศิโรตม์กล่าว

สำหรับภาษีนิติบุคคลขนาดเล็ก หรือเอส ที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิไม่ถึง 1 ล้านบาท จะเสียภาษีต่ำกว่า 20% ซึ่งปัจจุบันอัตราการเสียภาษีนิติบุคคลจะเสียภาษีจากกำไรสุทธิ โดยนิติบุคคลรายใดที่มีกำไร 1 ล้านบาท ต่อปี จะเสียภาษี 20% รายใดที่มีกำไร 1-3 ล้านบาท ต่อปี จะเสียภาษี 25% และรายใดที่มีกำไรมากกว่า 3 ล้านบาท ต่อปี ขึ้นไป จะเสียภาษี 30% ทั้งนี้เพื่อเป็นการส่งเสริมธุรกิจขนาดเอสให้มีความเข้มแข็งและสามารถแข่งขันได้

อธิบดีกรมสรรพากรกล่าวถึง เหตุผลในการปรับโครงสร้างภาษีดังกล่าวว่า เป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัว ประกอบกับต้องการให้ประชาชนและนิติบุคคลมีเงินเพิ่มมากขึ้น ให้เพียงพอต่อการใช้จ่ายในชีวิตที่เพิ่มมากขึ้น โดยมาตรการภาษีทั้ง 3 ตัว นี้ จะสามารถใช้ได้ภายในงบประมาณปี 2548 อย่างแน่นอน แต่จะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้เมื่อไรนั้น ต้องขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของเวลาด้วย

"มาตรการทั้ง 3 ตัวนี้ แต่ละตัวจะทำให้กรมสรรพากรเสียรายได้ในหลักพันล้านเท่านั้น ซึ่งหากเทียบกับรายได้ที่ตั้งไว้ 820,000 ล้านบาทในปี 2548 ถือว่าเล็กน้อยมาก ดังนั้นในเรื่องของรายได้จึงไม่น่าห่วง เพราะกรมฯมั่นใจว่ารายได้ที่จัดส่งเข้ารัฐประมาณ 18% ต่อจีดีพี นั้นเพียงพอต่อการบริหารประเทศให้การพัฒนาต่อไปได้"นายศิโรตม์ กล่าว

**เร่งระบบเคลียร์สินค้านำเข้าส่งออก

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2547 นี้ จะเดินทางตรวจเยี่ยมกรมศุลกากรเพื่อดูระบบการเคลียร์สินค้านำเข้า ส่งออกให้เสร็จเรียบร้อยภายในวันเดียว(1 day learance) โดยจะเชิญตัวแทนภาคเอกชนร่วมเป็นสักขีพยาน โดยช่วงนี้ให้กรมศุลกากรเร่งประสานงานกับการท่าเรือแห่งประเทศไทยให้เรียบร้อยโดยเร็ว

นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า ภารกิจเร่งด่วนที่เป็นเรื่องเด่น ของกรมศุลกากร คือ ระบบ Custom clearance ซึ่งจากการหารือกับการท่าเรือกรุงเทพและท่าเรือแหลมฉบัง ได้แบ่งเวลาการทำงานใน 1 วัน หรือ 24 ชั่วโมง ให้การท่าเรือ 17 ชั่วโมง อีก 7 ชั่วโมงเป็นของกรมศุลกากร อย่างไรก็ตามได้รับคำมั่นจากเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบว่า จะสามารถเร่งดำเนินการให้การขนส่งสินค้าทั้งหมดผ่านกระบวนศุลกากรภายใน 3 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น

อีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่องร่วมใจ ใสสะอาด โดยจะเริ่มนำร่องคัดเลือกผู้ประกอบการนำเข้าส่งออกจำนวน 100 ราย เข้าระบบดังกล่าว โดยมีแนวทางว่า ผู้ประกอบจะต้องไม่ยอมจ่ายเงินใต้โต๊ะให้กับเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรอย่างเด็ดขาด ซึ่งจะมีการตั้งศูนย์ศุลกากรใสสะอาดรับร้องเรียนจากผู้ประกอบการกรณีที่ยังเกิดปัญหาเจ้าหน้าที่เรียกเงินใต้โต๊ะด้วย และเริ่มเข้าสู่สนามทดสอบไม่มีการจ่ายเงินใต้โต๊ะตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2547 เป็นต้นไป

**เล็งช่องกม.ยึดใบอนุญาตการค้า **

ส่วนกรมสรรพสามิตนั้น นายสมคิดได้ขอให้เสนอมาตรการเร่งปราบปรามเหล้า บุหรี่เถื่อน และร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าประเภทเหล้า บุหรี่แก่เยาวชนอายุไม่เกิน 18 ปี โดยใช้ช่องทางการยึดใบอนุญาตประกอบการค้าสำหรับร้านค้าที่มีพฤติกรรมดังกล่าวอย่างเด็ดขาด โดยอาจร่วมมือกับตำรวจและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง และให้เสนอแนวคิดเรื่องภาษีบาป(sin tax) ซึ่งประกอบด้วย เหล้า บุหรี่ ไพ่ สนามแข่งม้า เป็นต้น ภาษีเกี่ยวกับสินค้าและบริการ ฟุ่มเฟือย(Luxury tax) โดยเฉพาะสถานบริการอาบอบนวด รวมถึงพิจารณามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนสินค้าที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพเยาชนและสังคม เช่น หนังสือดีมีประโยชน์ เครื่องมืออุปกรณ์กีฬา เป็นต้น โดยทั้งหมดให้เสร็จเรียบร้อยภายใน 1 เดือน

" ผมอยากเห็นการปราบปรามเป็นผลในเร็ววัน ปัจจุบันเหล้าเถื่อน บุหรี่เถื่อน ผมเดินยังรู้เลยขายที่ไหนบ้าง หาง่ายมาก แต่หนังสือดีๆ ทำไมหายาก ราคาแพง ต้องให้อาจารย์มาแปลแล้วอ่านไม่รู้เรื่องให้เด็กอ่าน ถ้าเป็นร้านค้าที่ขายเหล้า บุหรี่ให้เยาวชน อยากเห็นการถอนใบอนุญาต สรรพสามิตรู้อยู่แล้วว่า มีขายที่ไหนบ้าง ต้องเชือดให้ดู และอย่าให้รู้ว่าข้าราชการกลัวพ่อค้า ผมไม่ชอบเรื่องพวกนื้ หรืออย่างเกมส์แร็กนรก คนไทยติดเกมส์กันไม่รู้เรื่องเลย กรมสรรพสามิตต้องไปจัดการ และคิดเสร็จภายใน 1 เดือน" นายสมคิดกล่าว

**จ้องเก็บภาษีคอนเสิร์ตต่างชาติ**

นายอุทิศ ธรรมวาทิน อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าวว่า โดยส่วนตัวเห็นว่าสถานบริการ ประเภทสปา ซึ่งยังกำกึ่งระหว่างนวดแผนโบราณ กับสถานบริการอาบน้ำและนวดตัวหรือ อาบอบนวด นั้น ไม่ควรอยู่ในประเภทเดียวกับนวดแผนโบราณ ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้มีการเสียภาษี และไม่ควรเก็บภาษีต่ำกว่าสถานบริการอาบอบนวด เพราะถือเป็นบริการที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต หากเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำจะทำให้ประชาชาชนใช้บริการมากขึ้น นอกจากนี้ยังเห็นว่า ควรที่จะพิจารณา จัดเก็บภาษีคอนเสิร์ต จากต่างประเทศ เพราะปัจจุบันประเทศไทยได้สูญเสียเม็ดเงินออกไปยังต่างประเทศจำนวนมากในแต่ละปี ก่อนหน้านี้กรมสรรพสามิต อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบ ซึ่งเบื้องต้นมีแนวคิดที่จะปรับอัตราภาษีอาบอบนวดจาก 10 % เป็น 20 % และภาษีแอร์ สารทำความเย็นในตู้เย็นจาก 15 % เป็น 30 % ภาษีบุหรี่จะขยับเป็น 80 %เต็มเพดาน จากเดิมเก็บ 75 % ส่วนเหล้า เบียร์และไวน์ ปัจจุบันเก็บเต็มเพดานอยู่แล้ว หากขยับอีกต้องแก้กฎหมาย
กำลังโหลดความคิดเห็น