ความรู้จากการปฏิบัติในขั้นตอนที่สาม ซึ่งเป็นความรู้เกี่ยวกับกองลมทั้งปวงนั้นจะเป็นความรู้ที่นำไปใช้ในขั้นตอนที่สี่ด้วย เพราะเมื่อรู้จักกองลมทั้งปวงแล้วก็จะรู้ได้ว่าจะต้องทำประการใดจึงจะระงับกายสังขารได้
ที่เรียกว่าระงับกายสังขารก็คือระงับการปรุงแต่งกายนั่นเอง เพราะลมหายใจนั้นนอกจากเป็นกายอย่างหนึ่งในจำพวกกายทั้งปวงแล้ว ลมหายใจยังเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งร่างกายอีกด้วย และมีอำนาจปรุงแต่งถึงที่สุดคือเป็นจุดเชื่อมระหว่างชีวิตกับความตาย นั่นคือตราบใดที่มีลมหายใจอยู่ชีวิตก็ยังอยู่ ตราบใดที่ไม่มีลมหายใจตราบนั้นก็ตาย เมื่อลมหายใจปรุงแต่งกายได้ถึงขนาดนี้แล้วจึงมีอำนาจที่จะปรุงแต่งร่างกายในประการต่าง ๆ ได้ทั้งสิ้น
เป็นแต่ว่าคนเราไม่เคยใส่ใจ ไม่เคยศึกษา ไม่เคยเรียนรู้และไม่เคยสัมผัสกับมันเท่านั้นว่าอานุภาพของลมหายใจมีมากถึงปานฉะนี้
การเรียนรู้ในขั้นตอนที่หนึ่งเป็นการรู้ทุกลมหายใจเข้าออกนั่นคือการผูกสติหรือจิตไว้กับลมหายใจที่เข้าออกไม่ให้โลดแล่นออกไปนอกลู่นอกทาง
พอมาถึงขั้นตอนที่สองก็เรียนรู้เกี่ยวกับลมหายใจเข้าและหายใจออกว่ามีสั้น มียาว คือสั้นตั้งแต่ลมหายใจเข้าออกจากปลายจมูกชั่วแวบเดียวเป็นลำดับจนถึงการหายใจเข้าออกกลาง ๆ ที่บริเวณหน้าอกและยาวสุดลึกลงไปจนถึงปลายขั้วล่างสุดของปอด ซึ่งส่งผลสะเทือนรู้สึกได้ที่บริเวณเหนือสะดือ
ในขั้นตอนที่สองนั้นเมื่อทำให้มากขึ้นแล้ว ปัญญาอันเบาบางก็จะเริ่มเห็นว่ามีลมหายใจออกและเข้า ทั้งสั้นและยาวได้ และเห็นชัดลงไปถึงลมหายใจที่หยาบ กลาง ๆ และละเอียดประณีต จนกระทั่งเห็นได้ชัดขึ้นเป็นลำดับไป ทำให้จิตรู้จักลมหายใจชนิดต่าง ๆ อย่างครบถ้วน นี่เรียกว่าจิตได้รับการฝึกฝนอบรมให้มีปัญญาขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง คือให้รู้จักและเห็นกายประเภทที่เป็นลมหายใจทั้งสั้น ทั้งยาว ทั้งหยาบ และประณีตนั้น
พอมาถึงขั้นตอนที่สามเป็นเรื่องของการเรียนรู้กองลมทั้งปวง คือความรู้สึกและปฏิกิริยาทั้งปวงที่เกิดขึ้นจากการหายใจนั้น คือไม่ว่าจากการหายใจออกหรือหายใจเข้า ทั้งจากการหายใจสั้นและหายใจยาว ทั้งจากการหายใจหยาบและประณีต ทุกลมหายใจเข้าออกแต่ละอย่าง ๆ นั้นก็จะเกิดความรู้สึกที่แตกต่างกันไป
จิตที่อบรมบ่มเพาะในขั้นนี้ก็จะอบรมปัญญาอันบางเบาที่ผ่านการอบรมมาขั้นหนึ่งแล้วขึ้นสู่ขั้นใหม่ จากความรู้สึกชนิดต่าง ๆ หรือแบบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทุกประเภทลมหายใจเข้าออก จิตก็จะเรียนรู้ รับรู้ จนกระทั่งเห็นบาง ๆ ราง ๆ และเห็นชัดขึ้น ๆ โดยลำดับว่ามีความรู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้ ความรู้สึกอย่างไหนอึดอัด ความรู้สึกอย่างไหนกระสับกระส่าย ความรู้สึกอย่างไหนติดขัด ความรู้สึกอย่างไหนปลอดโปร่งโล่งสบาย ความรู้สึกอย่างไหนเย็นและเป็นสุขหรือสดชื่น ความรู้แต่ละอย่างนั้นก็จะเกิดขึ้นกับจิต
ความรู้สึกแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นทุกลมหายใจเข้าออกแต่ละประเภทท่านเรียกว่ากองลม ดังนั้นเมื่อได้รู้จักกับกองลมทุกประเภท ทุกชนิด ที่หายใจเข้าและออกแล้ว จึงได้ชื่อว่าสำเหนียกรู้กองลมทั้งปวง คือรู้ด้วยปัญญาที่พัฒนายกระดับขึ้นมาแล้ว จนเป็นการเห็นอย่างชัดเจนด้วยปัญญา คือเห็นความรู้สึกที่ไม่เป็นรูปเป็นร่างนั้นอย่างชัดเจน ราวกับว่าเห็นได้ด้วยตานั่นเอง
ตาหรือประสาทตาหรือจักษุวิญญาณจะเห็นได้ก็แต่วัตถุที่เป็นรูปเป็นร่าง โดยการกระทบของแสง ซึ่งต่างกับการเห็นด้วยปัญญาดังที่ได้แสดงมาบ้างแล้วในตอนต้น ๆ ปัญญาที่เจริญขึ้นจากการฝึกฝนอบรมในขั้นนี้จะมีมากกว่าในขั้นที่สอง มีพละกำลังมากกว่าขั้นที่สอง คือสามารถเห็นความรู้สึกประเภทต่าง ๆ ชนิดต่าง ๆ ที่ไม่เหมือนกันในการหายใจเข้าออกแต่ละประเภท นี่เป็นการเห็นกายในกายด้วยปัญญาในขั้นหนึ่ง ๆ แล้ว
จากการเห็นกายในกายคือการเห็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากกองลมต่าง ๆ นั้น หรือเรียกว่าเห็นกองลมทั้งปวงนั้น จิตก็จะเรียนรู้ได้ว่าการหายใจอย่างไรจึงจะมีความสดชื่นเบิกบานเป็นสุขและสงบเยือกเย็น ในขณะเดียวกันนั้นจิตก็จะเรียนรู้และสัมผัสได้อย่างชัดเจน ทั้งเห็นอย่างชัดเจนด้วยปัญญาว่าลมหายใจที่แล่นเข้าออกนั้นส่งผลต่อร่างกาย และส่งผลต่อความรู้สึกคือลมหายใจนั้นปรุงแต่งกาย เท่ากับจิตมีปัญญารู้เห็นความสัมพันธ์และเหตุที่ทำให้เกิดความรู้สึกชนิดต่าง ๆ นั้นในทุกลมหายใจเข้าออก
เมื่อจิตเห็นด้วยปัญญาว่าความรู้สึกต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะลมหายใจหรือลมปราณปรุงแต่งกาย ปัญญาหรือความรู้อันเกิดกับจิตที่ชัดขึ้น มีพลังมากขึ้นนั้นก็จะเป็นที่ตั้งหรือเป็นเครื่องมือที่จะถูกนำมาใช้ในขั้นตอนที่สี่ คือการระงับกายสังขาร หรือการทำกายสังขารให้สงบรำงับ หรือขยายให้ชัดก็คือทำให้ร่างกายสงบรำงับ ทำให้ลมปราณสงบรำงับ และทำให้จิตสงบรำงับด้วย การเห็นเหตุปัจจัยเช่นนี้ด้วยปัญญาก็ได้ชื่อว่าเห็นกายในกายในอีกขั้นหนึ่ง
เมื่อจิตมีความรู้ด้วยปัญญาหรือเจริญด้วยปัญญาเต็มตามขั้นตอนแล้วว่าลมหายใจปรุงแต่งกาย ดังนั้นการระงับกายสังขารก็คือการระงับการปรุงแต่งกายนั่นเอง ทำให้การปรุงแต่งกายค่อย ๆ สงบรำงับลงเป็นลำดับ ๆ ไป
ผลจากที่จิตเรียนรู้และมีปัญญาจากการฝึกฝนอบรมในขั้นตอนที่สามนั้นจิตจะบังคับลมหายใจโดยอัตโนมัติ ให้ลมหายใจลึกกว่าจุดที่สบายตามปกติไปเล็กน้อย เรียกว่าหายใจยาวอย่างหนึ่งก็ได้ แต่เป็นการหายใจยาวแบบที่มีความละเอียดอ่อน มีความประณีต
ลมหายใจในขณะนั้นถ้าหากจะให้ใครทดสอบโดยใช้เส้นด้ายเล็ก ๆ ห้อยอยู่ข้างหน้าตรงปลายจมูก ก็จะพบความจริงว่าเส้นด้ายเล็กๆ ที่บางเบานั้นเมื่อถูกลมหายใจกระทบเข้าและออกและมีการแกว่งไกวนั้นจะค่อย ๆ แกว่งไกวน้อยลงเป็นลำดับ โดยในปลายขั้นตอนที่สามทุกลมหายใจที่เข้าออกจะละเอียดมาก ประณีตมาก จนเส้นด้ายที่บางเบานั้นมีอาการสั่นไหวน้อยมาก
นั่นหมายความว่าความแรงของลมหายใจที่เข้าออกในกายมีความแผ่วเบาบางลงเป็นลำดับ การฝึกฝนอบรมปฏิบัติในขั้นตอนที่สี่เพื่อจะระงับกายสังขารนั้นก็คือการทำให้ลมหายใจยิ่งบางเบาลงไปอีก จนเส้นด้ายอันบางเบานั้นแทบจะไม่หวั่นไหวไกวแกว่งอีกเลย
หรือถ้าดูตรงบริเวณหน้าท้องหรือบริเวณทรวงอกก็จะพบความจริงว่าบริเวณหน้าท้องหรือทรวงอกที่เคยยุบหรือพองขึ้นจะค่อย ๆ ยุบหรือพองน้อยลง จนแทบจะไม่เห็นอาการยุบหรือพองนั้น และเมื่อลมหายใจยิ่งประณีตที่สุดเท่าใด อาการยุบพองนั้นก็แทบจะไม่ปรากฏให้เห็น
จนในที่สุดก็แทบจะไม่มีลมหายใจเข้าออกเลย ภาวะเช่นนั้นไม่ใช่ว่าไม่มีการหายใจ ร่างกายยังคงมีการหายใจอยู่ เป็นแต่ว่าสงบรำงับลง อากาศหรือออกซิเจนที่จำเป็นต่อร่างกายนั้นเข้าออกร่างกายโดยไม่ใช่วิธีที่ร่างกายสูดลมหายใจเข้าและออกอีกต่อไป แต่เป็นการเข้าออกร่างกายโดยการแผ่ซ่านของอากาศนั้นเข้าไปเอง
อุปมาเหมือนขวดใบหนึ่งที่เมื่อก่อนมีการเป่าลมเข้าและเป่าลมออก อากาศหรือลมก็จะเข้าออกในขวดนั้นโดยการเป่า แต่เมื่อหยุดการเป่าก็ใช่ว่าในขวดนั้นจะไม่มีอากาศเข้าไปถึง
อากาศยังคงเข้าไปได้โดยวิธีการแผ่ซ่าน เพราะเหตุนี้ออกซิเจนซึ่งร่างกายต้องการก็ยังคงเข้าออกร่างกายได้โดยวิธีใหม่ คือวิธีการแผ่ซ่านเหมือนกับที่เข้าออกในขวดนั้นเอง
ดังนั้นในการฝึกฝนอบรมปฏิบัติในขั้นตอนย่อยขั้นที่สี่นี้จึงต่อเนื่องจากผลการปฏิบัติในขั้นที่สาม คือการทำให้กายสังขารหรือการปรุงแต่งกายสงบรำงับมากขึ้น ยิ่งขึ้น โดยกำหนดอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก เพื่อให้ความสงบรำงับที่เรียนรู้ สัมผัสและพบเห็นในขั้นตอนที่สามนั้นพัฒนาก้าวหน้าต่อไป จนมีความสงบรำงับถึงที่สุดเท่าที่จะพึงเป็นได้
แค่ไหนเพียงใดจึงจะเรียกว่ากายสังขารสงบรำงับถึงที่สุดแล้ว ย่อมขึ้นอยู่กับแต่ละคน ความพอเหมาะพอดีของแต่ละคน ซึ่งแต่ละคนก็จะสามารถสัมผัสและรับรู้ได้ด้วยตนเอง
ภาวะที่การปรุงแต่งกายสงบรำงับถึงที่สุดแล้วนั้น ร่างกายแม้ว่ายังมีการหายใจโดยวิธีการแผ่ซ่านของอากาศ แต่สภาพทางกายหรือร่างกายแทบจะหยุดระงับสิ้นเชิง ระบบอวัยวะต่าง ๆ ได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ ได้รับการเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ โดยที่สิ้นเปลืองพลังงานน้อยที่สุด เมื่อสิ้นเปลืองพลังงานน้อยที่สุด ความต้องการพลังงานอันเกิดแต่อาหารและอากาศก็น้อยลงตามไปเป็นธรรมดา
เหตุนี้พระวิปัสสนาจารย์จึงสามารถทำสมาธิในอาการเช่นนี้โดยไม่กินอาหาร หรือน้ำได้เป็นเวลาหลาย ๆ วัน เป็นเหตุผลธรรมดาสามัญอันเป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นวิสัยที่ใคร ๆ ก็สามารถฝึกฝนอบรมได้ ยกเว้นก็แต่คนจำพวกปะทะปรมะบุคคลเท่านั้น แต่ก็ย่อมนับได้ว่านี่เป็นความมหัศจรรย์ของโลกภายในอีกอย่างหนึ่ง
เมื่อร่างกายอยู่ในภาวะพักผ่อน พักฟื้นเต็มที่สมบูรณ์ยิ่ง การเสื่อมสลายของเซลล์ต่าง ๆ หรือร่างกายก็จะชะลอลง จนภาวะเสื่อมสลายนั้นเกิดขึ้นน้อยที่สุด นี่เป็นเหตุให้ความเสื่อมหรือความชราหรือความแก่ชะลอตัวลงไปด้วย นี่ก็เป็นความมหัศจรรย์แห่งโลกภายในอีกนั่นแหละ
และเพราะร่างกายได้รับการพักผ่อน พักฟื้นอย่างสมบูรณ์เต็มที่ ความเสื่อมสึกหรอก็จะได้รับการซ่อมแต่งเหมือนเรือที่กำลังเข้าอู่ สภาพชำรุดทรุดโทรมก็จะฟื้นคืนดีขึ้นเป็นลำดับไป เหตุนี้ความมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงจึงเป็นผลติดตามมา โดยไม่จำต้องกล่าวถึงสุขภาพจิตที่ดีขึ้นเป็นลำดับไปแล้วนั้น
ในขณะที่การปรุงแต่งกายสงบรำงับลง ไม่ใช่เป็นการสงบรำงับโดยไม่รู้ไม่เห็น หากอยู่ในภาวะที่จิตมีปัญญารู้เห็นอยู่ทุกขณะลมหายใจเข้าออก และเป็นการเห็นด้วยปัญญาของจิต ไม่ใช่เห็นด้วยตาหรือจักษุวิญญาณ
จิตมีความตั้งมั่นมากขึ้น มีความบริสุทธิ์มากขึ้น ทำการงานได้มากขึ้น ปัญญาได้รับการอบรมบ่มเพาะได้มากขึ้น มีขีดความสามารถในการเห็นด้วยปัญญาเพิ่มขึ้นจากการเห็นด้วยตาอีกอย่างหนึ่ง และเพราะเหตุที่จิตมีสติมั่นคงเช่นนี้ มีปัญญาเห็นความสงบรำงับของกายสังขารเป็นลำดับไปเช่นนี้ จึงได้ชื่อว่าเป็นการเจริญปัญญา พิจารณาเห็นกายในกายทั้งปวงอย่างทั่วถ้วน
ดังนี้ เป็นอันเรียนรู้การปฏิบัติขั้นตอนย่อยที่สี่ของขั้นกายานุปัสสนาสติปัฏฐานแล้ว และบรรลุถึงผลอันเป็นเป้าหมายของขั้นตอนนี้ คือการพิจารณาด้วยปัญญาเห็นกายในกายถ้วนทั่ว คือเห็นถึงสภาพที่เป็นอยู่ทั้งภายในและภายนอก เห็นถึงสภาพที่เชื่อมต่อระหว่างภายในกับภายนอกด้วย
ที่เรียกว่าระงับกายสังขารก็คือระงับการปรุงแต่งกายนั่นเอง เพราะลมหายใจนั้นนอกจากเป็นกายอย่างหนึ่งในจำพวกกายทั้งปวงแล้ว ลมหายใจยังเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งร่างกายอีกด้วย และมีอำนาจปรุงแต่งถึงที่สุดคือเป็นจุดเชื่อมระหว่างชีวิตกับความตาย นั่นคือตราบใดที่มีลมหายใจอยู่ชีวิตก็ยังอยู่ ตราบใดที่ไม่มีลมหายใจตราบนั้นก็ตาย เมื่อลมหายใจปรุงแต่งกายได้ถึงขนาดนี้แล้วจึงมีอำนาจที่จะปรุงแต่งร่างกายในประการต่าง ๆ ได้ทั้งสิ้น
เป็นแต่ว่าคนเราไม่เคยใส่ใจ ไม่เคยศึกษา ไม่เคยเรียนรู้และไม่เคยสัมผัสกับมันเท่านั้นว่าอานุภาพของลมหายใจมีมากถึงปานฉะนี้
การเรียนรู้ในขั้นตอนที่หนึ่งเป็นการรู้ทุกลมหายใจเข้าออกนั่นคือการผูกสติหรือจิตไว้กับลมหายใจที่เข้าออกไม่ให้โลดแล่นออกไปนอกลู่นอกทาง
พอมาถึงขั้นตอนที่สองก็เรียนรู้เกี่ยวกับลมหายใจเข้าและหายใจออกว่ามีสั้น มียาว คือสั้นตั้งแต่ลมหายใจเข้าออกจากปลายจมูกชั่วแวบเดียวเป็นลำดับจนถึงการหายใจเข้าออกกลาง ๆ ที่บริเวณหน้าอกและยาวสุดลึกลงไปจนถึงปลายขั้วล่างสุดของปอด ซึ่งส่งผลสะเทือนรู้สึกได้ที่บริเวณเหนือสะดือ
ในขั้นตอนที่สองนั้นเมื่อทำให้มากขึ้นแล้ว ปัญญาอันเบาบางก็จะเริ่มเห็นว่ามีลมหายใจออกและเข้า ทั้งสั้นและยาวได้ และเห็นชัดลงไปถึงลมหายใจที่หยาบ กลาง ๆ และละเอียดประณีต จนกระทั่งเห็นได้ชัดขึ้นเป็นลำดับไป ทำให้จิตรู้จักลมหายใจชนิดต่าง ๆ อย่างครบถ้วน นี่เรียกว่าจิตได้รับการฝึกฝนอบรมให้มีปัญญาขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง คือให้รู้จักและเห็นกายประเภทที่เป็นลมหายใจทั้งสั้น ทั้งยาว ทั้งหยาบ และประณีตนั้น
พอมาถึงขั้นตอนที่สามเป็นเรื่องของการเรียนรู้กองลมทั้งปวง คือความรู้สึกและปฏิกิริยาทั้งปวงที่เกิดขึ้นจากการหายใจนั้น คือไม่ว่าจากการหายใจออกหรือหายใจเข้า ทั้งจากการหายใจสั้นและหายใจยาว ทั้งจากการหายใจหยาบและประณีต ทุกลมหายใจเข้าออกแต่ละอย่าง ๆ นั้นก็จะเกิดความรู้สึกที่แตกต่างกันไป
จิตที่อบรมบ่มเพาะในขั้นนี้ก็จะอบรมปัญญาอันบางเบาที่ผ่านการอบรมมาขั้นหนึ่งแล้วขึ้นสู่ขั้นใหม่ จากความรู้สึกชนิดต่าง ๆ หรือแบบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทุกประเภทลมหายใจเข้าออก จิตก็จะเรียนรู้ รับรู้ จนกระทั่งเห็นบาง ๆ ราง ๆ และเห็นชัดขึ้น ๆ โดยลำดับว่ามีความรู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้ ความรู้สึกอย่างไหนอึดอัด ความรู้สึกอย่างไหนกระสับกระส่าย ความรู้สึกอย่างไหนติดขัด ความรู้สึกอย่างไหนปลอดโปร่งโล่งสบาย ความรู้สึกอย่างไหนเย็นและเป็นสุขหรือสดชื่น ความรู้แต่ละอย่างนั้นก็จะเกิดขึ้นกับจิต
ความรู้สึกแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นทุกลมหายใจเข้าออกแต่ละประเภทท่านเรียกว่ากองลม ดังนั้นเมื่อได้รู้จักกับกองลมทุกประเภท ทุกชนิด ที่หายใจเข้าและออกแล้ว จึงได้ชื่อว่าสำเหนียกรู้กองลมทั้งปวง คือรู้ด้วยปัญญาที่พัฒนายกระดับขึ้นมาแล้ว จนเป็นการเห็นอย่างชัดเจนด้วยปัญญา คือเห็นความรู้สึกที่ไม่เป็นรูปเป็นร่างนั้นอย่างชัดเจน ราวกับว่าเห็นได้ด้วยตานั่นเอง
ตาหรือประสาทตาหรือจักษุวิญญาณจะเห็นได้ก็แต่วัตถุที่เป็นรูปเป็นร่าง โดยการกระทบของแสง ซึ่งต่างกับการเห็นด้วยปัญญาดังที่ได้แสดงมาบ้างแล้วในตอนต้น ๆ ปัญญาที่เจริญขึ้นจากการฝึกฝนอบรมในขั้นนี้จะมีมากกว่าในขั้นที่สอง มีพละกำลังมากกว่าขั้นที่สอง คือสามารถเห็นความรู้สึกประเภทต่าง ๆ ชนิดต่าง ๆ ที่ไม่เหมือนกันในการหายใจเข้าออกแต่ละประเภท นี่เป็นการเห็นกายในกายด้วยปัญญาในขั้นหนึ่ง ๆ แล้ว
จากการเห็นกายในกายคือการเห็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากกองลมต่าง ๆ นั้น หรือเรียกว่าเห็นกองลมทั้งปวงนั้น จิตก็จะเรียนรู้ได้ว่าการหายใจอย่างไรจึงจะมีความสดชื่นเบิกบานเป็นสุขและสงบเยือกเย็น ในขณะเดียวกันนั้นจิตก็จะเรียนรู้และสัมผัสได้อย่างชัดเจน ทั้งเห็นอย่างชัดเจนด้วยปัญญาว่าลมหายใจที่แล่นเข้าออกนั้นส่งผลต่อร่างกาย และส่งผลต่อความรู้สึกคือลมหายใจนั้นปรุงแต่งกาย เท่ากับจิตมีปัญญารู้เห็นความสัมพันธ์และเหตุที่ทำให้เกิดความรู้สึกชนิดต่าง ๆ นั้นในทุกลมหายใจเข้าออก
เมื่อจิตเห็นด้วยปัญญาว่าความรู้สึกต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะลมหายใจหรือลมปราณปรุงแต่งกาย ปัญญาหรือความรู้อันเกิดกับจิตที่ชัดขึ้น มีพลังมากขึ้นนั้นก็จะเป็นที่ตั้งหรือเป็นเครื่องมือที่จะถูกนำมาใช้ในขั้นตอนที่สี่ คือการระงับกายสังขาร หรือการทำกายสังขารให้สงบรำงับ หรือขยายให้ชัดก็คือทำให้ร่างกายสงบรำงับ ทำให้ลมปราณสงบรำงับ และทำให้จิตสงบรำงับด้วย การเห็นเหตุปัจจัยเช่นนี้ด้วยปัญญาก็ได้ชื่อว่าเห็นกายในกายในอีกขั้นหนึ่ง
เมื่อจิตมีความรู้ด้วยปัญญาหรือเจริญด้วยปัญญาเต็มตามขั้นตอนแล้วว่าลมหายใจปรุงแต่งกาย ดังนั้นการระงับกายสังขารก็คือการระงับการปรุงแต่งกายนั่นเอง ทำให้การปรุงแต่งกายค่อย ๆ สงบรำงับลงเป็นลำดับ ๆ ไป
ผลจากที่จิตเรียนรู้และมีปัญญาจากการฝึกฝนอบรมในขั้นตอนที่สามนั้นจิตจะบังคับลมหายใจโดยอัตโนมัติ ให้ลมหายใจลึกกว่าจุดที่สบายตามปกติไปเล็กน้อย เรียกว่าหายใจยาวอย่างหนึ่งก็ได้ แต่เป็นการหายใจยาวแบบที่มีความละเอียดอ่อน มีความประณีต
ลมหายใจในขณะนั้นถ้าหากจะให้ใครทดสอบโดยใช้เส้นด้ายเล็ก ๆ ห้อยอยู่ข้างหน้าตรงปลายจมูก ก็จะพบความจริงว่าเส้นด้ายเล็กๆ ที่บางเบานั้นเมื่อถูกลมหายใจกระทบเข้าและออกและมีการแกว่งไกวนั้นจะค่อย ๆ แกว่งไกวน้อยลงเป็นลำดับ โดยในปลายขั้นตอนที่สามทุกลมหายใจที่เข้าออกจะละเอียดมาก ประณีตมาก จนเส้นด้ายที่บางเบานั้นมีอาการสั่นไหวน้อยมาก
นั่นหมายความว่าความแรงของลมหายใจที่เข้าออกในกายมีความแผ่วเบาบางลงเป็นลำดับ การฝึกฝนอบรมปฏิบัติในขั้นตอนที่สี่เพื่อจะระงับกายสังขารนั้นก็คือการทำให้ลมหายใจยิ่งบางเบาลงไปอีก จนเส้นด้ายอันบางเบานั้นแทบจะไม่หวั่นไหวไกวแกว่งอีกเลย
หรือถ้าดูตรงบริเวณหน้าท้องหรือบริเวณทรวงอกก็จะพบความจริงว่าบริเวณหน้าท้องหรือทรวงอกที่เคยยุบหรือพองขึ้นจะค่อย ๆ ยุบหรือพองน้อยลง จนแทบจะไม่เห็นอาการยุบหรือพองนั้น และเมื่อลมหายใจยิ่งประณีตที่สุดเท่าใด อาการยุบพองนั้นก็แทบจะไม่ปรากฏให้เห็น
จนในที่สุดก็แทบจะไม่มีลมหายใจเข้าออกเลย ภาวะเช่นนั้นไม่ใช่ว่าไม่มีการหายใจ ร่างกายยังคงมีการหายใจอยู่ เป็นแต่ว่าสงบรำงับลง อากาศหรือออกซิเจนที่จำเป็นต่อร่างกายนั้นเข้าออกร่างกายโดยไม่ใช่วิธีที่ร่างกายสูดลมหายใจเข้าและออกอีกต่อไป แต่เป็นการเข้าออกร่างกายโดยการแผ่ซ่านของอากาศนั้นเข้าไปเอง
อุปมาเหมือนขวดใบหนึ่งที่เมื่อก่อนมีการเป่าลมเข้าและเป่าลมออก อากาศหรือลมก็จะเข้าออกในขวดนั้นโดยการเป่า แต่เมื่อหยุดการเป่าก็ใช่ว่าในขวดนั้นจะไม่มีอากาศเข้าไปถึง
อากาศยังคงเข้าไปได้โดยวิธีการแผ่ซ่าน เพราะเหตุนี้ออกซิเจนซึ่งร่างกายต้องการก็ยังคงเข้าออกร่างกายได้โดยวิธีใหม่ คือวิธีการแผ่ซ่านเหมือนกับที่เข้าออกในขวดนั้นเอง
ดังนั้นในการฝึกฝนอบรมปฏิบัติในขั้นตอนย่อยขั้นที่สี่นี้จึงต่อเนื่องจากผลการปฏิบัติในขั้นที่สาม คือการทำให้กายสังขารหรือการปรุงแต่งกายสงบรำงับมากขึ้น ยิ่งขึ้น โดยกำหนดอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก เพื่อให้ความสงบรำงับที่เรียนรู้ สัมผัสและพบเห็นในขั้นตอนที่สามนั้นพัฒนาก้าวหน้าต่อไป จนมีความสงบรำงับถึงที่สุดเท่าที่จะพึงเป็นได้
แค่ไหนเพียงใดจึงจะเรียกว่ากายสังขารสงบรำงับถึงที่สุดแล้ว ย่อมขึ้นอยู่กับแต่ละคน ความพอเหมาะพอดีของแต่ละคน ซึ่งแต่ละคนก็จะสามารถสัมผัสและรับรู้ได้ด้วยตนเอง
ภาวะที่การปรุงแต่งกายสงบรำงับถึงที่สุดแล้วนั้น ร่างกายแม้ว่ายังมีการหายใจโดยวิธีการแผ่ซ่านของอากาศ แต่สภาพทางกายหรือร่างกายแทบจะหยุดระงับสิ้นเชิง ระบบอวัยวะต่าง ๆ ได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ ได้รับการเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ โดยที่สิ้นเปลืองพลังงานน้อยที่สุด เมื่อสิ้นเปลืองพลังงานน้อยที่สุด ความต้องการพลังงานอันเกิดแต่อาหารและอากาศก็น้อยลงตามไปเป็นธรรมดา
เหตุนี้พระวิปัสสนาจารย์จึงสามารถทำสมาธิในอาการเช่นนี้โดยไม่กินอาหาร หรือน้ำได้เป็นเวลาหลาย ๆ วัน เป็นเหตุผลธรรมดาสามัญอันเป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นวิสัยที่ใคร ๆ ก็สามารถฝึกฝนอบรมได้ ยกเว้นก็แต่คนจำพวกปะทะปรมะบุคคลเท่านั้น แต่ก็ย่อมนับได้ว่านี่เป็นความมหัศจรรย์ของโลกภายในอีกอย่างหนึ่ง
เมื่อร่างกายอยู่ในภาวะพักผ่อน พักฟื้นเต็มที่สมบูรณ์ยิ่ง การเสื่อมสลายของเซลล์ต่าง ๆ หรือร่างกายก็จะชะลอลง จนภาวะเสื่อมสลายนั้นเกิดขึ้นน้อยที่สุด นี่เป็นเหตุให้ความเสื่อมหรือความชราหรือความแก่ชะลอตัวลงไปด้วย นี่ก็เป็นความมหัศจรรย์แห่งโลกภายในอีกนั่นแหละ
และเพราะร่างกายได้รับการพักผ่อน พักฟื้นอย่างสมบูรณ์เต็มที่ ความเสื่อมสึกหรอก็จะได้รับการซ่อมแต่งเหมือนเรือที่กำลังเข้าอู่ สภาพชำรุดทรุดโทรมก็จะฟื้นคืนดีขึ้นเป็นลำดับไป เหตุนี้ความมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงจึงเป็นผลติดตามมา โดยไม่จำต้องกล่าวถึงสุขภาพจิตที่ดีขึ้นเป็นลำดับไปแล้วนั้น
ในขณะที่การปรุงแต่งกายสงบรำงับลง ไม่ใช่เป็นการสงบรำงับโดยไม่รู้ไม่เห็น หากอยู่ในภาวะที่จิตมีปัญญารู้เห็นอยู่ทุกขณะลมหายใจเข้าออก และเป็นการเห็นด้วยปัญญาของจิต ไม่ใช่เห็นด้วยตาหรือจักษุวิญญาณ
จิตมีความตั้งมั่นมากขึ้น มีความบริสุทธิ์มากขึ้น ทำการงานได้มากขึ้น ปัญญาได้รับการอบรมบ่มเพาะได้มากขึ้น มีขีดความสามารถในการเห็นด้วยปัญญาเพิ่มขึ้นจากการเห็นด้วยตาอีกอย่างหนึ่ง และเพราะเหตุที่จิตมีสติมั่นคงเช่นนี้ มีปัญญาเห็นความสงบรำงับของกายสังขารเป็นลำดับไปเช่นนี้ จึงได้ชื่อว่าเป็นการเจริญปัญญา พิจารณาเห็นกายในกายทั้งปวงอย่างทั่วถ้วน
ดังนี้ เป็นอันเรียนรู้การปฏิบัติขั้นตอนย่อยที่สี่ของขั้นกายานุปัสสนาสติปัฏฐานแล้ว และบรรลุถึงผลอันเป็นเป้าหมายของขั้นตอนนี้ คือการพิจารณาด้วยปัญญาเห็นกายในกายถ้วนทั่ว คือเห็นถึงสภาพที่เป็นอยู่ทั้งภายในและภายนอก เห็นถึงสภาพที่เชื่อมต่อระหว่างภายในกับภายนอกด้วย