xs
xsm
sm
md
lg

โรคหืด

เผยแพร่:   โดย: สุทัศน์ ยกส้าน


ย้อนอดีตไปเมื่อ 100 ปีก่อนนี้ องค์การอนามัยโลกได้รายงานว่า คนที่ป่วยด้วยโรคหืดมีจำนวนไม่มาก แต่เมื่อถึงวันนี้ทั่วโลกมีคนป่วยเป็นหืดประมาณ 150 ล้านคน และทุกปีจะมีผู้เสียชีวิต 180,000 คน สถิติการสำรวจยังแสดงให้เห็นอีกว่า คนที่มีอายุเกิน 65 ปี และเด็กอายุ 9-14 ปี มีโอกาสเป็นโรคหืดมากที่สุด ส่วนเด็กที่อ้วนก็มักป่วยด้วยโรคหืด และผู้คนในโลกตะวันตกที่เจริญแล้วก็มักป่วยด้วยโรคหืดมากกว่าคน แอฟริกาที่ด้อยการพัฒนา

คำว่า โรคหืดตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า asthma คนที่เป็นโรคชนิดนี้รู้ดีว่า เมื่อโรคกำเริบ เขาจะมีอาการหอบเหนื่อย หายใจติดขัดหรือลำบาก ไอบ่อยตอนกลางคืน มีไข้ เจ็บหน้าอก มือเกร็ง บางคนอาจชัก ซึ่งถ้ารักษาไม่ทันก็จะตาย แต่พออาการบรรเทาผู้ป่วยก็จะหายหอบเอง โรคชนิดนี้สามารถเกิดได้กับคนทุกวัย และอาการมักสำแดงในฤดูฝน หรือฤดูหนาว โดยเฉพาะในเวลากลางคืน หรือเวลาร่างกายสัมผัสสิ่งที่แพ้เช่น ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ ควันบุหรี่ ควันธูป ขนสัตว์ สารเคมี ozone หรือ nitrogen dioxide หรือยาเช่น aspirin ทำให้ร่างกายเกิดอาการแพ้ที่หลอดลมคือ หลอดลมจะตีบลง ทำให้หายใจเข้า-ออกไม่สะดวก อาการตีบตันอย่างรุนแรง ทำให้ระบบการหายใจติดขัด ซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธี และทันเวลา ผู้ป่วยก็อาจเสียชีวิตได้ แต่ถ้าได้รับการรักษา เขาก็อาจเป็นๆ หายๆ แพทย์ยังสำรวจพบอีกว่า คนที่เครียดมากๆ ความเครียดก็อาจกระตุ้นให้โรคกำเริบได้ และคนหลายคนก็อาจล้มป่วยทันทีถ้าถูกขัดใจ

N. Clark แห่ง Institute of Medicine ในสหรัฐอเมริกา ได้เคยรายงานว่า ราที่มีในบ้านที่ชื้นสามารถเหนี่ยวนำทำให้เด็กป่วยเป็นโรคหืดได้ เพราะความชื้นจะทำให้จุลินทรีย์และไรที่แอบแฝงอยู่ในบ้านที่ชื้นเจริญเติบโตดี และเมื่อเด็กเล็กๆ หายใจเอารา และจุลินทรีย์เข้าร่างกาย ระบบการหายใจของเด็กก็จะถูกรบกวนจนเด็กล้มป่วยเป็นโรคหืด และนี่ก็คือเหตุผลที่ Clark คิดว่าสามารถตอบคำถามว่า เหตุใดเด็กในครอบครัวที่ยากจนที่อยู่ในบ้านชื้นๆ จึงเป็นโรคหืดมากกว่าเด็กในครอบครัวที่ร่ำรวย ซึ่งอยู่ในบ้านที่ถูกสุขลักษณะ

การสำรวจทางด้านระบาดวิทยายังแสดงให้เห็นอีกว่า กรรมพันธุ์ก็มีส่วนทำให้คนเป็นโรคหืด เพราะคนที่มีพ่อแม่ป่วยด้วยโรคนี้ ก็มักเป็นตามผู้บังเกิดเกล้าของตนด้วย และแม่ขณะตั้งครรภ์ ถ้าสูบบุหรี่จัดลูกที่คลอดจะมีโอกาสเป็นโรคหืดสูง ถึงกระนั้นแพทย์ก็เชื่อมั่นว่า สิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลในการทำให้คนเป็นโรคหืดสูงยิ่งกว่ากรรมพันธุ์ แต่ก็ไม่ประจักษ์ชัดว่า สิ่งแวดล้อมใดบ้างสามารถทำให้คนเป็นโรคหืดได้ เพราะได้มีการพบว่า ในกรณีบ้านที่สะอาดมาก เด็กจะขาดภูมิคุ้มกันโรคหืด ดังนั้น เด็กจะมีโอกาสสูงในการเป็นโรคหืดยามออกไปเล่นนอกบ้าน แต่ถ้าบ้านสกปรก ชื้น สภาพที่ผิดสุขลักษณะของบ้าน ก็สามารถเหนี่ยวนำให้เด็กเป็นโรคหืดได้เช่นกัน ดังนั้น ปัญหาจึงมีว่า บ้านควรสกปรกเพียงใด จึงจะพอดี และสะอาดแค่ไหนจึงจะปลอดภัย

ในที่ประชุม European Respiratory Congress ที่กรุง Vienna ในประเทศออสเตรีย เมื่อเดือนกันยายนปีกลายนี้ C. C. Johnson แห่ง Henry Ford Hospital ที่เมือง Detroit ในสหรัฐอเมริกา ได้รายงานว่า เขาได้สอบถามบิดามารดาของเด็กอายุ 1-3 ขวบ จำนวน 448 คน ทางโทรศัพท์เกี่ยวกับสุขภาพของลูกตน และเมื่อเด็กกลุ่มเดียวกันนี้มีอายุได้ 2-4 ขวบ เขาได้ทดลองเอาฝุ่นและอากาศที่บ้านเด็กทุกคนมาวิเคราะห์ว่า มีองค์ประกอบใดๆ บ้าง นอกจากนั้นเขาก็ยังได้ถามบิดามารดาของเด็กทุกคนอีกว่า เด็กเคยได้รับยาปฏิชีวนะและยา penicillin หรือไม่ และเมื่อเด็กมีอายุ 7 ขวบ เขาได้นำเด็กทั้ง 448 คนมาตรวจสุขภาพหาอาการของโรคหืด และก็ได้พบว่า 50% ของเด็กที่เคยได้รับยาปฏิชีวนะก่อนอายุ 6 เดือนป่วยเป็นโรคหืด และถ้าเด็กได้รับยาปฏิชีวนะยิ่งมากขนานโอกาสการป่วยเป็นโรคหืดก็ยิ่งสูง Johnson จึงสรุปว่า ยาปฏิชีวนะสามารถรบกวนระบบภูมิคุ้มกันของทารกจนทำให้ทารกป่วยเป็นโรคหืดในเวลาต่อมาได้ และนั่นก็หมายความว่า เด็กฐานะดีในประเทศที่ร่ำรวย มีโอกาสป่วยเป็นโรคหืดมาก

แต่งานวิจัยนี้ก็ได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไม่ถูกต้อง เพราะแพทย์หลายคนคิดว่า ยาปฏิชีวนะที่เด็กได้รับเป็นยาที่ใช้รักษาระบบทางเดินหายใจที่อักเสบ และระบบทางเดินหายใจที่บกพร่องนี้ทำให้เด็กเป็นโรคหืด หาใช่ยาปฏิชีวนะทำให้เด็กเป็นโรคหืดไม่

เมื่อสาเหตุการเป็นโรคหืดยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนเช่นนี้ วิธีที่ดีในการป้องกันตนเองคือ ปิดปากและจมูกไม่หายใจเอามลพิษเข้าร่างกาย ลดการสูบบุหรี่ และออกกำลังพอสมควร และทันทีที่รู้สึกว่าโรคหืดจะกำเริบ คือจังหวะการหายใจจะติดขัดก็ควรรีบไปหาหมอทันที

และเพื่อเป็นการป้องกันล่วงหน้านานๆ คนที่เป็นโรคหืดควรพยายามสังเกตว่าตนแพ้อะไรบ้างแล้วก็พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งนั้น รักษาตนอย่าให้เป็นหวัด อย่าเครียด และควรรู้ว่าการใช้ยารักษา และการดูแลตนเองอย่างถูกต้อง จะทำให้ร่างกายรู้สึกสบายปลอดจากการถูกโรคหืดรบกวนได้ และถ้าการเป็นโรคนี้เกิดกับเด็กๆ จะมีโอกาสหายขาดได้ แต่ถ้าผู้ใหญ่เป็นบ้าง การรักษาจะทำได้ยาก และถ้าอาการหอบหืดกำเริบรุนแรง คนคนนั้นอาจป่วยเป็นโรคเบาหวาน ความดันเลือดสูง อ้วน กระดูกพรุน ภูมิต้านทานโรคต่ำ หรือช็อกด้วยก็ได้ อนึ่ง ในการรักษาด้านยานั้น แพทย์ระบุว่าคนป่วยไม่ควรกินยา aspirin และยาอื่นๆ ที่แพทย์สั่งห้าม นอกจากนี้คนไข้ก็ไม่ควรเปลี่ยนหมอรักษาบ่อย เพราะจะทำให้การควบคุมดูแลไข้ทำได้ยาก นอกจากนี้ แพทย์คิดว่าคนไข้ 8 ใน 10 คนจะไม่ตาย ถ้าได้รับการรักษาทันเวลา

และสำหรับคนที่เป็นโรคหืดระดับไม่รุนแรง ขณะออกกำลังกายถ้ามีอาการโรคหืดกำเริบ แพทย์อาจให้ยา montelukast หรือยาฉีดพ่น salmeterol หรือยาอื่นๆ ที่ใช้ขยายหลอดลม ซึ่งอาจเป็นยาฉีดพ่น แคปซูล หรือยาเม็ดที่ต้องกินกันใช้กันเป็นเวลานานจึงจะเห็นผล และอาจมีผลกระทบข้างเคียงถ้าใช้มาก เช่น ทำให้เกิดปัญหาโรคหัวใจ และโรคสมอง

ส่วนยา corticosteroid นั้น ถ้าใช้มากจะทำให้ถุงอากาศในปอดระคาย ยาชนิดนี้อาจทำให้คนไข้มีความดันเลือดสูง เป็นต้อ เบาหวาน น้ำหนักเพิ่ม และกระดูกพรุนได้ ดังนั้นจึงไม่ควรใช้กับเด็ก

สำหรับกรณีที่คนป่วยอยู่ไกลแพทย์ การดื่มน้ำมากๆ วันละ 15-20 แก้วจะช่วยให้เสมหะไม่เหนียว และขับออกง่าย เพราะถ้าเสมหะเหนียว คนไข้จะยิ่งหอบมาก และขณะรักษาตนเอง คนไข้ไม่ควรกินยาแก้ไอที่เป็นน้ำเชื่อม และไม่ควรกินยาแก้หวัด เพราะยาเหล่านี้จะทำให้เสมหะเหนียว และในกรณีเจ็บปวดมาก ก็ให้กิน paracetamol ทันที

และในด้านการป้องกันการเป็นโรคหืดนั้น วิธีง่ายๆ คือพยายามออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่อย่าหักโหมจนเกินไป พยายามควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้อบอุ่นและป้องกันตัวไม่ให้เป็นหวัด หรือเจ็บคอ พยายามบริหารปอดโดยการหายใจเข้า-ออกลึกๆ โดยการเป่าลมออกทางปากทุกวันๆ ละ 1-2 ครั้งๆ ละ 5-10 นาที

การคลายความเครียดโดยการทำสมาธิ ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสก็ช่วยได้มาก อนึ่ง การว่ายน้ำก็เป็นวิธีออกกำลังกายที่ดีวิธีหนึ่งเพราะน้ำที่อุ่นช่วยในการหายใจ

โดยสรุปเราจึงอาจกล่าวได้ว่า คนที่เป็นโรคหืดไม่ควรห่างแพทย์ และทันทีที่รู้ว่าอาการกำลังจะมา แพทย์ก็จะให้ยาลดอักเสบพวก steroid และยาขยายหลอดลมเช่น salbutanol หรือ terbutaline ชนิดสูดพ่น และถ้าอาการรุนแรงแพทย์จะให้น้ำเกลือฉีดเข้าหลอดเลือดดำอย่างช้าๆ แต่ยาแก้หืดเหล่านี้มักให้ผลข้างเคียง เช่นทำให้มือสั่น และใจสั่น ดังนั้น ณ วันนี้คนที่เป็นโรคนี้จึงอาจต้องรักษากันเป็นปีหรือตลอดชีวิต โดยมียาช่วยได้บ้าง แต่ตัวเองก็ต้องช่วยตัวเองด้วยชีวิตจึงจะมีคุณภาพ

สุทัศน์ ยกส้าน ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสถาน
กำลังโหลดความคิดเห็น