พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนเกี่ยวกับอธิปไตย หรือความเป็นใหญ่ 3 ประการคือ
1. อัตตาธิปไตยคือ การถือตัวเองเป็นใหญ่ อันได้แก่ การยึดถือความคิดของตนเองเป็นศูนย์กลาง และต้องการให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องรอบข้างเชื่อถือและทำตามความคิดแห่งตน
ดังนั้น ผู้ที่ยึดถือแนวคิดนี้ จึงเห็นได้อย่างชัดเจนจากการที่ไม่ต้องการให้ใครคัดค้านหรือปฏิเสธความคิดแห่งตน จึงเทียบได้กับผู้นำที่เป็นเผด็จการ หรือลัทธิเผด็จการ
2. โลกาธิปไตยคือ การถือโลกหรือคนหมู่มากเป็นใหญ่ ผู้ที่ยึดถือแนวคิดนี้จะเห็นด้วยและคล้อยตามกระแสแห่งโลกเป็นหลัก โดยไม่คำนึงว่าจะสอดคล้องกับแนวคิดของตนเอง หรือให้พูดง่ายๆ ก็คือ แล้วแต่กระแสจะพาไป จึงง่ายต่อการเป็นเหยื่อของกระแสโลก
ดังนั้น จะเป็นคนโชคดีถ้าเผอิญกระแสโลกที่พาเขาไปเป็นสิ่งถูกต้อง และเป็นธรรม ในทางกลับกัน อาจเป็นคนโชคร้ายถ้าเผอิญกระแสที่ว่านี้เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง และก่อทุกข์ให้โทษแก่ตนเอง และสังคมในโอกาสต่อมา
3. ธรรมาธิปไตยคือ การถือธรรมหรือความถูกต้องเป็นใหญ่ ผู้ที่ดำเนินตามแนวคิดนี้ได้จะต้องประพฤติตนให้อยู่ในทำนองคลองธรรมจนถึงขั้นยกระดับจิตใจให้อยู่เหนือความต้องการอย่างหยาบ ที่จะเป็นต้นเหตุให้เกิดพฤติกรรมทุจริตทางกาย และวาจารุนแรงถึงขั้นผิดศีลธรรมอันเป็นกติการักษาความเรียบร้อยของสังคม หรือที่เรียกว่า นิจศีลหรือศีล 5
จากนัยแห่งคำสอนดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าอธิปไตยตามข้อ 1 และข้อ 2 นั้น จะต้องใช้ควบคู่กับประการที่ 3 เสมอ เพราะถ้าใช้เพียงประการใดประการหนึ่งแล้ว โอกาสที่ผู้มีอำนาจโดยอาศัยอธิปไตยจะก่อความเดือดร้อนให้แก่ตนเองและสังคมย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ และนี่เองคือที่มาของคำว่า หลงและเหลิงอำนาจที่เกิดขึ้นอยู่กับผู้มีอธิปไตยตามข้อ 1 และข้อ 2 การหลงและเหลิงอำนาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นแก่ผู้ที่มีอธิปไตยมาแล้วหลายครั้งหลายครา ในส่วนของโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วย
ตัวอย่างในประเทศไทยที่เห็นได้ชัดก็คือ การออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยจากผู้นำประเทศ จากผู้นำในระบอบเผด็จการ หรือผู้นำที่ยึดถืออัตตาธิปไตย เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2516 อันเป็นเหตุให้ผู้เรียกร้องบาดเจ็บและเสียชีวิตไปเป็นร้อยคน
แต่ในที่สุด ฝ่ายเรียกร้องก็ประสบชัยชนะเมื่อสามารถเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบเผด็จการมาสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยได้ในเวลาต่อมา และได้มีการพัฒนาเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าระหว่างนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงบ้างเช่น ในยุค รสช.แต่ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่กลับไปสู่ระบอบเผด็จการอย่างสมบูรณ์แบบเสียทีเดียว เพราะยังเปิดโอกาสให้ผู้นำมาจากคนกลางที่มิใช่เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง จึงถือได้ว่ายังมีธรรมาธิปไตยผสมผสานอยู่ในการปกครองยุค รสช.
อย่างไรก็ตาม ในยุคปัจจุบันเสียงบ่นอันเกิดจากความเบื่อหน่ายในพฤติกรรมการใช้อำนาจในการปกครองเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เมื่อรัฐบาลได้ใช้กฎหมายเป็นกลไกคุกคามสิทธิเสรีภาพของผู้ที่มีความคิดเห็นแปลกแยกไปจากรัฐบาล และออกมาวิพากษ์วิจารณ์การดำเนินงานของรัฐเช่น กรณีของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร และของพล.ต.จำลอง ศรีเมือง
รายแรกเริ่มเมื่อนายเอกยุทธ ได้ออกมาเรียกร้องรัฐบาลสอบสวนกรณีปั่นหุ้น โดยอ้างว่ามีคนในรัฐบาลเข้ามาเกี่ยวข้อง และในทันทีที่มีเสียงเรียกร้องจากนายเอกยุทธ แทนที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จะรับลูกและดำเนินการ กลับเป็นมีผู้ออกมาตอบโต้นายเอกยุทธ โดยนำเอาความผิดในอดีตกรณีของแชร์ชาร์เตอร์ขึ้นมาทำลายความน่าเชื่อถือเพื่อหวังน้ำหนักของการเรียกร้อง
ต่อมาเมื่อสื่อต่างได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในทำนองให้รัฐบาลทำการสอบสวนตามข้อเรียกร้องของนายเอกยุทธ ควบคู่ไปกับการสอบสวนความผิดนายเอกยุทธย้อนหลัง ข่าวนี้จึงค่อยๆ เงียบลงและดูเหมือนว่าเรื่องนี้เกือบจะหายไปจากวงการข่าวแล้ว
ต่อมาเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องก็ได้เกิดขึ้นจากการทำงานในลักษณะใช้กฎหมายเพื่อคุกคามฝ่ายที่แสดงท่าทีว่ายืนอยู่คนละข้างกับรัฐบาลอีกครั้ง
ในครั้งนี้ดูเหมือนว่าพฤติกรรมการใช้อำนาจได้เกิดขึ้นกับผู้ที่เคยยืนอยู่ข้างเดียวกับรัฐบาลมาตลอด และแม้กระทั่งโดยปกติก็ยังมีตำแหน่งเป็นถึงที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้วยซ้ำ และท่านผู้นี้ก็คือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ซึ่งในอดีตเคยเป็นผู้นำพรรคพลังธรรมที่สมาชิกพรรคส่วนหนึ่ง รวมทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วย เคยร่วมพรรคกันมาและในขณะนี้ได้กลายเป็นผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทยในขณะนี้
ดังนั้น การที่พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นเหยื่อแห่งการใช้อำนาจรัฐกดดันให้คืนพื้นที่โดยอ้างว่าบุกรุกป่าสงวน และที่ ส.ป.ก.นั้น จึงเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้ค่อนข้างรุนแรงถึงขั้นบอกว่าเหลิงอำนาจ
อย่างไรก็ตาม ในฐานะสื่อผู้เขียนเห็นว่าเรื่องนี้ควรจะได้นำมาพิจารณาเพื่อให้ความเป็นธรรมทั้งแก่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ที่จำเป็นต้องทำเรื่องนี้ตามกฎหมาย (ตามที่ร่าง) และทั้งแก่พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่เข้าครอบครองพื้นที่ในนามของมูลนิธิ
โดยเริ่มที่ผู้กล่าวหาคือ รัฐมนตรีเนวิน ก่อน
จริงอยู่ในฐานะผู้รักษากฎหมายจะต้องทำการแก้ไขป้องกันการกระทำใดๆ ที่ผิดกฎหมาย แต่ก็มีข้อกังขาอยู่บ้างในประเด็นที่ว่า การเข้าครอบครองพื้นที่ของพล.ต.จำลอง ก็มีมาเนิ่นนานนับสิบปีแล้ว เหตุใดรัฐบาลชุดนี้จะเพิ่งมารุกฆาต พล.ต.จำลองในช่วงหลังจากที่ พล.ต.จำลองได้เป็นผู้สนับสนุนให้ ดร.มานะ จากพรรคประชาธิปัตย์มาเป็นคู่แข่งชิงผู้ว่าฯ กทม.ในนามอิสระ และมีการวิพากษ์รัฐบาลชุดนี้ในทางลบ โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่า เหลิงอำนาจและไม่ฟังใคร
อีกประการหนึ่ง ถ้ามองในแง่มุมกลับว่า ถ้าพล.ต.จำลอง ไม่ออกมาวิพากษ์รัฐบาล การขุดคุ้ยและทวงคืนที่ดินจะเกิดขึ้นหรือไม่?
จาก 2 ตัวอย่างที่รัฐบาลใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการตามไล่ล่าหาความผิดกับผู้ที่ออกมาวิพากษ์รัฐบาล ทำให้มองเห็นสัจธรรมได้ประการหนึ่งว่า ไม่ว่ายุคใดสมัยใดที่ผู้นำได้อธิปไตยและสร้างฐานอำนาจได้มีเสถียรภาพแล้ว การใช้อำนาจโดยไม่เป็นธรรมมักจะเกิดขึ้นเสมอ ที่เป็นเช่นนี้ถ้ามองในแง่ของพุทธศาสนาแล้วก็บอกได้ว่า เพราะผู้มีอำนาจอธิปไตยอยู่ในมือ ไม่ว่าจะเป็นอัตตาธิปไตยในระบบการปกครองแบบเผด็จการ หรือโลกอธิปไตยในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย จะต้องเหลิงอำนาจเพราะขาดสติและสัมปชัญญะกำกับการใช้อำนาจนั่นเอง
ทั้งหมดที่เขียนมานี้ ก็เพื่อจะบอกว่าในขณะนี้ได้มีคนส่วนหนึ่งจะมากหรือน้อยเท่าใด ยังไม่แน่ชัดได้มองรัฐบาลชุดนี้ว่าเหลิงอำนาจ และกำลังใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือรังแกผู้ที่คัดค้านรัฐบาล เพราะไม่เห็นด้วยในนโยบายหรือออกมาคัดค้านการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม และพฤติกรรมที่ว่านี้กำลังจะกลายเป็นเหตุให้เกิดวิกฤตศรัทธาเกิดขึ้นกับรัฐบาลในอนาคตได้ ถ้าไม่มีการแก้ไข
อะไรเรียกว่าการหลงและเหลิงอำนาจ และหากเกิดขึ้นแล้วจะมีผลอย่างไร?
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้เขียนใคร่ขอให้ท่านผู้อ่านลองย้อนไปดูที่มาของการได้อำนาจก็จะพบว่า มีอยู่ 3 ประการคือ
1. อำนาจเกิดจากการมีหน้าที่และความรับผิดชอบ (Authority Power) หรือพูดง่ายๆ ก็คือ อำนาจเกิดจากการมียศ มีตำแหน่งนั่นเอง
2. อำนาจเกิดจากการมีเงิน (Money Power)
3. อำนาจเกิดจากการเป็นที่อ้างอิง (Reference Power) อำนาจประเภทนี้จะต้องเกิดขึ้นจากการยอมรับและเป็นที่อ้างอิงเพื่อให้คำพูดมีความหนักแน่นน่าเชื่อถือเช่น บุคคลที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นคนรอบรู้หรือพหูสูต เป็นต้น
อำนาจของบุคคลที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการประจำ หรือข้าราชการการเมือง เป็นอำนาจที่เกิดจากการมีตำแหน่งหน้าที่ที่ได้รับแต่งตั้ง และเป็นอำนาจเพียงชั่วระยะเวลาที่มีตำแหน่งเท่านั้น
ยิ่งเป็นข้าราชการการเมืองในระบอบประชาธิปไตยด้วยแล้ว จะยิ่งเป็นอำนาจไม่ถาวรหรือเป็นเพียงอำนาจชั่วคราม เพราะจะมีอำนาจเพียงชั่วระยะเวลาที่ประชาชนเจ้าของอำนาจไว้ใจ และให้อยู่ในตำแหน่งเท่านั้น ถ้าในวันใดประชาชนลุกฮือขึ้นทวงอำนาจคืน หรือไม่ลุกฮือขึ้นทวงคืน แต่รอให้ถึงวันเลือกตั้งและไม่ลงคะแนนให้อีกครั้ง อำนาจที่มีอยู่ก็เป็นอันหมดไปโดยสิ้นเชิง
ดังนั้น จากนี้ไปคงเหลือเวลาอีกไม่นานนัก ถ้ายังแก้ไขปัญหาวิกฤตศรัทธาอันเกิดจากความรู้สึกที่ว่าเหลิงและหลงอำนาจให้หมดไปจากประชาชนโอกาสจะกลับมามีอำนาจอีกครั้งคงจะยากขึ้นกว่าที่คาดไว้แน่นอน นั่นก็คืออย่าว่าจะได้ 400 เสียงเลย เอาแค่มากพอจะตั้งรัฐบาลให้รอดพ้นจากการอภิปรายนายกรัฐมนตรีจากฝ่ายค้านก็จะยาก
อย่างไรก็ตาม ในฐานะสื่อมวลชนที่มองการทำงานของรัฐบาลชุดนี้มาตลอด และเห็นมีอยู่ไม่น้อยที่รัฐบาลทำดีเช่น ตัดสินใจเร็วและกล้าแก้ปัญหา ส่วนว่าแก้แล้วได้ผลมากน้อยประการใด ในขณะนี้จะต้องมีการประเมินอย่างเป็นธรรมก่อนที่บอกว่าล้มเหลวหรือสำเร็จ
แต่ในส่วนที่บกพร่องผิดพลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โอกาสใช้อำนาจดำเนินการทางการเมือง ควรจะได้มีการทบทวน ถ้าไม่ต้องการเห็นคะแนนต่ำกว่าคิดไว้เดิม
1. อัตตาธิปไตยคือ การถือตัวเองเป็นใหญ่ อันได้แก่ การยึดถือความคิดของตนเองเป็นศูนย์กลาง และต้องการให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องรอบข้างเชื่อถือและทำตามความคิดแห่งตน
ดังนั้น ผู้ที่ยึดถือแนวคิดนี้ จึงเห็นได้อย่างชัดเจนจากการที่ไม่ต้องการให้ใครคัดค้านหรือปฏิเสธความคิดแห่งตน จึงเทียบได้กับผู้นำที่เป็นเผด็จการ หรือลัทธิเผด็จการ
2. โลกาธิปไตยคือ การถือโลกหรือคนหมู่มากเป็นใหญ่ ผู้ที่ยึดถือแนวคิดนี้จะเห็นด้วยและคล้อยตามกระแสแห่งโลกเป็นหลัก โดยไม่คำนึงว่าจะสอดคล้องกับแนวคิดของตนเอง หรือให้พูดง่ายๆ ก็คือ แล้วแต่กระแสจะพาไป จึงง่ายต่อการเป็นเหยื่อของกระแสโลก
ดังนั้น จะเป็นคนโชคดีถ้าเผอิญกระแสโลกที่พาเขาไปเป็นสิ่งถูกต้อง และเป็นธรรม ในทางกลับกัน อาจเป็นคนโชคร้ายถ้าเผอิญกระแสที่ว่านี้เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง และก่อทุกข์ให้โทษแก่ตนเอง และสังคมในโอกาสต่อมา
3. ธรรมาธิปไตยคือ การถือธรรมหรือความถูกต้องเป็นใหญ่ ผู้ที่ดำเนินตามแนวคิดนี้ได้จะต้องประพฤติตนให้อยู่ในทำนองคลองธรรมจนถึงขั้นยกระดับจิตใจให้อยู่เหนือความต้องการอย่างหยาบ ที่จะเป็นต้นเหตุให้เกิดพฤติกรรมทุจริตทางกาย และวาจารุนแรงถึงขั้นผิดศีลธรรมอันเป็นกติการักษาความเรียบร้อยของสังคม หรือที่เรียกว่า นิจศีลหรือศีล 5
จากนัยแห่งคำสอนดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าอธิปไตยตามข้อ 1 และข้อ 2 นั้น จะต้องใช้ควบคู่กับประการที่ 3 เสมอ เพราะถ้าใช้เพียงประการใดประการหนึ่งแล้ว โอกาสที่ผู้มีอำนาจโดยอาศัยอธิปไตยจะก่อความเดือดร้อนให้แก่ตนเองและสังคมย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ และนี่เองคือที่มาของคำว่า หลงและเหลิงอำนาจที่เกิดขึ้นอยู่กับผู้มีอธิปไตยตามข้อ 1 และข้อ 2 การหลงและเหลิงอำนาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นแก่ผู้ที่มีอธิปไตยมาแล้วหลายครั้งหลายครา ในส่วนของโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วย
ตัวอย่างในประเทศไทยที่เห็นได้ชัดก็คือ การออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยจากผู้นำประเทศ จากผู้นำในระบอบเผด็จการ หรือผู้นำที่ยึดถืออัตตาธิปไตย เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2516 อันเป็นเหตุให้ผู้เรียกร้องบาดเจ็บและเสียชีวิตไปเป็นร้อยคน
แต่ในที่สุด ฝ่ายเรียกร้องก็ประสบชัยชนะเมื่อสามารถเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบเผด็จการมาสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยได้ในเวลาต่อมา และได้มีการพัฒนาเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าระหว่างนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงบ้างเช่น ในยุค รสช.แต่ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่กลับไปสู่ระบอบเผด็จการอย่างสมบูรณ์แบบเสียทีเดียว เพราะยังเปิดโอกาสให้ผู้นำมาจากคนกลางที่มิใช่เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง จึงถือได้ว่ายังมีธรรมาธิปไตยผสมผสานอยู่ในการปกครองยุค รสช.
อย่างไรก็ตาม ในยุคปัจจุบันเสียงบ่นอันเกิดจากความเบื่อหน่ายในพฤติกรรมการใช้อำนาจในการปกครองเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เมื่อรัฐบาลได้ใช้กฎหมายเป็นกลไกคุกคามสิทธิเสรีภาพของผู้ที่มีความคิดเห็นแปลกแยกไปจากรัฐบาล และออกมาวิพากษ์วิจารณ์การดำเนินงานของรัฐเช่น กรณีของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร และของพล.ต.จำลอง ศรีเมือง
รายแรกเริ่มเมื่อนายเอกยุทธ ได้ออกมาเรียกร้องรัฐบาลสอบสวนกรณีปั่นหุ้น โดยอ้างว่ามีคนในรัฐบาลเข้ามาเกี่ยวข้อง และในทันทีที่มีเสียงเรียกร้องจากนายเอกยุทธ แทนที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จะรับลูกและดำเนินการ กลับเป็นมีผู้ออกมาตอบโต้นายเอกยุทธ โดยนำเอาความผิดในอดีตกรณีของแชร์ชาร์เตอร์ขึ้นมาทำลายความน่าเชื่อถือเพื่อหวังน้ำหนักของการเรียกร้อง
ต่อมาเมื่อสื่อต่างได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในทำนองให้รัฐบาลทำการสอบสวนตามข้อเรียกร้องของนายเอกยุทธ ควบคู่ไปกับการสอบสวนความผิดนายเอกยุทธย้อนหลัง ข่าวนี้จึงค่อยๆ เงียบลงและดูเหมือนว่าเรื่องนี้เกือบจะหายไปจากวงการข่าวแล้ว
ต่อมาเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องก็ได้เกิดขึ้นจากการทำงานในลักษณะใช้กฎหมายเพื่อคุกคามฝ่ายที่แสดงท่าทีว่ายืนอยู่คนละข้างกับรัฐบาลอีกครั้ง
ในครั้งนี้ดูเหมือนว่าพฤติกรรมการใช้อำนาจได้เกิดขึ้นกับผู้ที่เคยยืนอยู่ข้างเดียวกับรัฐบาลมาตลอด และแม้กระทั่งโดยปกติก็ยังมีตำแหน่งเป็นถึงที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้วยซ้ำ และท่านผู้นี้ก็คือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ซึ่งในอดีตเคยเป็นผู้นำพรรคพลังธรรมที่สมาชิกพรรคส่วนหนึ่ง รวมทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วย เคยร่วมพรรคกันมาและในขณะนี้ได้กลายเป็นผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทยในขณะนี้
ดังนั้น การที่พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นเหยื่อแห่งการใช้อำนาจรัฐกดดันให้คืนพื้นที่โดยอ้างว่าบุกรุกป่าสงวน และที่ ส.ป.ก.นั้น จึงเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้ค่อนข้างรุนแรงถึงขั้นบอกว่าเหลิงอำนาจ
อย่างไรก็ตาม ในฐานะสื่อผู้เขียนเห็นว่าเรื่องนี้ควรจะได้นำมาพิจารณาเพื่อให้ความเป็นธรรมทั้งแก่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ที่จำเป็นต้องทำเรื่องนี้ตามกฎหมาย (ตามที่ร่าง) และทั้งแก่พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่เข้าครอบครองพื้นที่ในนามของมูลนิธิ
โดยเริ่มที่ผู้กล่าวหาคือ รัฐมนตรีเนวิน ก่อน
จริงอยู่ในฐานะผู้รักษากฎหมายจะต้องทำการแก้ไขป้องกันการกระทำใดๆ ที่ผิดกฎหมาย แต่ก็มีข้อกังขาอยู่บ้างในประเด็นที่ว่า การเข้าครอบครองพื้นที่ของพล.ต.จำลอง ก็มีมาเนิ่นนานนับสิบปีแล้ว เหตุใดรัฐบาลชุดนี้จะเพิ่งมารุกฆาต พล.ต.จำลองในช่วงหลังจากที่ พล.ต.จำลองได้เป็นผู้สนับสนุนให้ ดร.มานะ จากพรรคประชาธิปัตย์มาเป็นคู่แข่งชิงผู้ว่าฯ กทม.ในนามอิสระ และมีการวิพากษ์รัฐบาลชุดนี้ในทางลบ โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่า เหลิงอำนาจและไม่ฟังใคร
อีกประการหนึ่ง ถ้ามองในแง่มุมกลับว่า ถ้าพล.ต.จำลอง ไม่ออกมาวิพากษ์รัฐบาล การขุดคุ้ยและทวงคืนที่ดินจะเกิดขึ้นหรือไม่?
จาก 2 ตัวอย่างที่รัฐบาลใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการตามไล่ล่าหาความผิดกับผู้ที่ออกมาวิพากษ์รัฐบาล ทำให้มองเห็นสัจธรรมได้ประการหนึ่งว่า ไม่ว่ายุคใดสมัยใดที่ผู้นำได้อธิปไตยและสร้างฐานอำนาจได้มีเสถียรภาพแล้ว การใช้อำนาจโดยไม่เป็นธรรมมักจะเกิดขึ้นเสมอ ที่เป็นเช่นนี้ถ้ามองในแง่ของพุทธศาสนาแล้วก็บอกได้ว่า เพราะผู้มีอำนาจอธิปไตยอยู่ในมือ ไม่ว่าจะเป็นอัตตาธิปไตยในระบบการปกครองแบบเผด็จการ หรือโลกอธิปไตยในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย จะต้องเหลิงอำนาจเพราะขาดสติและสัมปชัญญะกำกับการใช้อำนาจนั่นเอง
ทั้งหมดที่เขียนมานี้ ก็เพื่อจะบอกว่าในขณะนี้ได้มีคนส่วนหนึ่งจะมากหรือน้อยเท่าใด ยังไม่แน่ชัดได้มองรัฐบาลชุดนี้ว่าเหลิงอำนาจ และกำลังใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือรังแกผู้ที่คัดค้านรัฐบาล เพราะไม่เห็นด้วยในนโยบายหรือออกมาคัดค้านการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม และพฤติกรรมที่ว่านี้กำลังจะกลายเป็นเหตุให้เกิดวิกฤตศรัทธาเกิดขึ้นกับรัฐบาลในอนาคตได้ ถ้าไม่มีการแก้ไข
อะไรเรียกว่าการหลงและเหลิงอำนาจ และหากเกิดขึ้นแล้วจะมีผลอย่างไร?
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้เขียนใคร่ขอให้ท่านผู้อ่านลองย้อนไปดูที่มาของการได้อำนาจก็จะพบว่า มีอยู่ 3 ประการคือ
1. อำนาจเกิดจากการมีหน้าที่และความรับผิดชอบ (Authority Power) หรือพูดง่ายๆ ก็คือ อำนาจเกิดจากการมียศ มีตำแหน่งนั่นเอง
2. อำนาจเกิดจากการมีเงิน (Money Power)
3. อำนาจเกิดจากการเป็นที่อ้างอิง (Reference Power) อำนาจประเภทนี้จะต้องเกิดขึ้นจากการยอมรับและเป็นที่อ้างอิงเพื่อให้คำพูดมีความหนักแน่นน่าเชื่อถือเช่น บุคคลที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นคนรอบรู้หรือพหูสูต เป็นต้น
อำนาจของบุคคลที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการประจำ หรือข้าราชการการเมือง เป็นอำนาจที่เกิดจากการมีตำแหน่งหน้าที่ที่ได้รับแต่งตั้ง และเป็นอำนาจเพียงชั่วระยะเวลาที่มีตำแหน่งเท่านั้น
ยิ่งเป็นข้าราชการการเมืองในระบอบประชาธิปไตยด้วยแล้ว จะยิ่งเป็นอำนาจไม่ถาวรหรือเป็นเพียงอำนาจชั่วคราม เพราะจะมีอำนาจเพียงชั่วระยะเวลาที่ประชาชนเจ้าของอำนาจไว้ใจ และให้อยู่ในตำแหน่งเท่านั้น ถ้าในวันใดประชาชนลุกฮือขึ้นทวงอำนาจคืน หรือไม่ลุกฮือขึ้นทวงคืน แต่รอให้ถึงวันเลือกตั้งและไม่ลงคะแนนให้อีกครั้ง อำนาจที่มีอยู่ก็เป็นอันหมดไปโดยสิ้นเชิง
ดังนั้น จากนี้ไปคงเหลือเวลาอีกไม่นานนัก ถ้ายังแก้ไขปัญหาวิกฤตศรัทธาอันเกิดจากความรู้สึกที่ว่าเหลิงและหลงอำนาจให้หมดไปจากประชาชนโอกาสจะกลับมามีอำนาจอีกครั้งคงจะยากขึ้นกว่าที่คาดไว้แน่นอน นั่นก็คืออย่าว่าจะได้ 400 เสียงเลย เอาแค่มากพอจะตั้งรัฐบาลให้รอดพ้นจากการอภิปรายนายกรัฐมนตรีจากฝ่ายค้านก็จะยาก
อย่างไรก็ตาม ในฐานะสื่อมวลชนที่มองการทำงานของรัฐบาลชุดนี้มาตลอด และเห็นมีอยู่ไม่น้อยที่รัฐบาลทำดีเช่น ตัดสินใจเร็วและกล้าแก้ปัญหา ส่วนว่าแก้แล้วได้ผลมากน้อยประการใด ในขณะนี้จะต้องมีการประเมินอย่างเป็นธรรมก่อนที่บอกว่าล้มเหลวหรือสำเร็จ
แต่ในส่วนที่บกพร่องผิดพลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โอกาสใช้อำนาจดำเนินการทางการเมือง ควรจะได้มีการทบทวน ถ้าไม่ต้องการเห็นคะแนนต่ำกว่าคิดไว้เดิม