ราชา มุขํ มนุสสานํ ราชา เจ โหติ ธมมิโก
พระราชาผู้ทรงธรรมเป็นประมุขของปวงชน
พระมหากษัตริย์ไทยยิ่งใหญ่ด้วยพระบรมเดชานุภาพ
พระมหากษัตริย์ของประเทศไทยนั้นยิ่งใหญ่ด้วยพระบรมเดชานุภาพ และพระบารมีเหนือสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศทั้งปวง เพราะหลักสาระสำคัญแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยคือ ทศพิธราชธรรม ซึ่งสืบทอดมาแต่ครั้งพุทธกาล โดยประสานอหิงสา ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษประจำชาติไทยเข้ากับพุทธอหิงสาธรรม คือ
ทศพิธราชธรรม 10 ประการ อันเป็นหลักธรรมของ สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ได้แก่
1. ทาน คือการให้ทั้งวัตถุทาน ธรรมทาน และอภัยทาน แก่พสกนิกร
2. ศีล การละเว้นจากความประพฤติที่ผิดทั้งปวง
3. ปริจจาคะ คือ การบริจาค เสียสละความสุขสำราญ เพื่อประโยชน์สุขของปวงชน
4. อาชวะ ความซื่อตรงและเข้มแข็ง ที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง มีความจริงใจ
5. มัทวะ ความอ่อนโยน คือมีอัธยาศัยสุภาพต่อคนทั้งปวง
6. ตบะ ความเพียรพยายาม ที่จะเผาผลาญกิเลสที่อาจเกิดขึ้น
7. อักโกธะ ความไม่โกรธคือ ไม่กริ้วกราด ไม่กระทำสิ่งใดด้วยอำนาจของความโกรธ
8. อวิหิงสา ไม่เบียดเบียนผู้อื่นทั้งทางตรงและทางอ้อม
9. ขันติ ความอดทน อดกลั้น ต่อสิ่งยั่วโลภะ โทสะ โมหะทั้งปวง
10. อวิโรธนัง ความไม่คลาดธรรมคือ วางองค์เป็นหลักแน่นในธรรม
และนอกจากนี้ยังมีจักรวรรดิวัตร วัตรของพระเจ้าจักรพรรดิ พระจริยาที่พระจักรพรรดิพึงทรงบำเพ็ญสม่ำเสมอ ธรรมเนียมการทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจของพระเจ้าจักรพรรดิ หน้าที่ของผู้ปกครองอันยิ่งใหญ่ ว่าโดยย่อคือ
1. ธรรมาธิปไตย เคารพนับถือบูชา ยำเกรงขาม ถือธรรมเป็นหลัก ถือธรรมเป็นใหญ่ ถือธรรมเป็นธงชัย เป็นธรรมาธิปไตย และชักชวนให้นักการเมือง ข้าราชการปฏิบัติธรรม
2. อธรรมการ ห้ามกั้นมิให้มีการอัน "อธรรม" เกิดขึ้นในราชอาณาเขตคือ จัดการป้องกันมิให้มีการกระทำความผิด ความชั่วร้ายเดือดร้อนเกิดขึ้นในบ้านเมือง
3. ธนานุประทาน ปันทรัพย์เฉลี่ยให้แก่ชนผู้ไร้ทรัพย์ มิให้มีประชาชนขัดสนยากไร้ในประเทศ
4. สมณพราหมณปริปุจฉา ปรึกษาปัญหากับสมณหรือพระสงฆ์, พราหมณ์ ผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ไม่ประมาทมัวเมา สงเคราะห์นักปราชญ์นักวิชาการผู้ทรงคุณธรรม อยู่เสมอตามกาลอันควร เพื่อให้รู้ชัดการอันดีชั่ว ควรประกอบหรือไม่ เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขหรือไม่ แล้วประพฤติปฏิบัติให้เป็นไปโดยธรรม
เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปในหมู่เหล่าพสกนิกรว่า พระมหากษัตริย์ของประเทศไทยนั้นยิ่งใหญ่ด้วยพระบรมเดชานุภาพ และพระบารมี เพราะหลักสาระสำคัญแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยคือ ทศพิธราชธรรม ซึ่งสืบทอดมาแต่ครั้งพุทธกาลนั่นเอง
เมื่อพิจารณาอย่างรอบด้าน ทศพิธราชธรรมแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ของประเทศไทย สรุปลงในพระบรมราโชวาท เมื่อเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" ซึ่งได้พิสูจน์ประจักษ์เป็นจริง โดยพระราชจริยวัตร และพระราชกรณียกิจตลอดเวลากว่าครึ่งศตวรรษประจักษ์เป็นจริงโดยเฉพาะตามที่ได้เห็นกันอย่างชัดแจ้ง ในเหตุการณ์เฉพาะหน้า ถึงพระบรมเดชานุภาพและพระมหาบารมีที่สยบ "พฤษภาทมิฬ" ที่ทรงป้องกันมิให้คนไทยด้วยกันขัดแย้งกัน และทำสงครามกลางเมืองกัน เป็นข้อเท็จจริงที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งสามารถขจัดความเคลือบแคลงสงสัย ที่อาจจะหลงเหลืออยู่บ้างในบุคคลบางกลุ่มบางจำพวกบางอุดมการณ์ ซึ่งแม้จะมีจำนวนน้อยที่สุดก็ตาม
เมื่อสถาบันพระมหากษัตริย์มีทศพิธราชธรรมเป็นธรรมนูญอยู่แล้ว พร้อมทั้งองค์พระมหากษัตริย์ทรงมีลักษณะธรรมาธิปไตย (ถือธรรมเป็นใหญ่) เป็นอย่างสูงสุดอยู่ด้วย จึงทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยทั้งในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และในระบอบปริมิตายาสิทธิราชย์ (ระบอบปัจจุบัน) เป็นสถาบันแห่งธรรม และธรรม (Righteousness) ย่อมสอดคล้องกับผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเสมอไป
การถือธรรมเป็นใหญ่ ในทางการเมือง คือหลักที่ถือประโยชน์แห่งชาติและประชาชนเป็นใหญ่ ฉะนั้น ธรรมาธิปไตย จึงไม่ใช่ประชาธิปไตย หรือโลกาธิปไตยตามที่นักวิชาการบางฝ่าย นักการเมืองบางฝ่าย บางคนยึดถือ
ความจริงแล้วประชาธิปไตยก็คือ โลกาธิปไตย ถือโลกเป็นใหญ่เป็นเพียงวิธีการ เท่านั้น เช่น การประชุมรัฐสภาเพื่อออก พ.ร.บ.ต่างๆ และการใช้เสียงข้างมากเป็นข้อยุติ
ส่วนอัตตาธิปไตย ก็เป็นวิธีการของคนคนเดียว ที่มีความคิดการกระทำของตนเป็นใหญ่เช่น การออกพระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา หรือการออกกฎหมายโดยฝ่ายบริหาร เป็นต้น
ทั้งโลกาธิปไตย (ประชาธิปไตย) และอัตตาธิปไตยเป็นเพียงวิธีการเท่านั้น วิธีการย่อมเป็นกลางๆ จะนำไปใช้กับระบอบอะไรก็ได้ อาจไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน (ปวงชน) ก็ได้ถ้าขาดหลัก "ธรรมาธิปไตย 9" อันเป็นหลักธรรมหรือด้านหลักการ จึงเป็นหลักแห่งความมั่นคงของชาติและประชาชน
และในการแก้เหตุวิกฤตแห่งชาติทั้งองค์รวมจะสำเร็จลงได้นั้น จำเป็นต้องนำหลักและวิธีการทั้งสามให้เป็นเอกภาพกัน จึงจะเกิดประสิทธิภาพดุจเชือกสามเส้นพันเกลียวเป็นเส้นเดียวกัน หรือสามเส้าที่ใช้หุงต้มในอดีต ขาดอันใดอันหนึ่งย่อมขาดประสิทธิภาพ
กล่าวคือบุคคลคนเดียวใช้ "อัตตาธิปไตย" ถือวิธีการตน ถือความคิดตน ถืออำนาจตนเป็นใหญ่ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นต่อ หลักธรรมาธิปไตย จึงจะไม่เกิดความเสียหาย
และถ้าเป็นองค์การ, องค์กรระดับต่างๆ มีการประชุมปรึึกษาหารือกันใช้เสียงข้างมากหรือเสียงของคนหมู่มากเป็นมติคือ "โลกาธิปไตย" แต่ทั้งนี้ถ้าที่ประชุมนั้นๆ ได้ถือหลักธรรมาธิปไตย ก็จะไม่สร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นต่อบุคคล องค์กร, องค์การ และประเทศชาติ
ประเทศไทยรับเอาศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติมาแต่โบราณกาล คือหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนามาใช้ในชีวิตประจำวัน แต่นักการเมือง, ผู้มีอำนาจในทางการเมือง ละเลยต่อหลักธรรมาธิปไตยมาเป็นหลักการปกครอง เมื่อสภาพการณ์เป็นเช่นนี้ย่อมนำความเสียหายมาสู่ประเทศชาติโดยรวมและยากที่จะแก้ไขเหตุวิกฤตชาตินี้ให้ผ่านพ้นไปได้
พระมหากษัตริย์ กับการเมือง
ในวงการวิชาการด้านรัฐศาสตร์บ้านเรามักจะเข้าใจกันว่าพระมหากษัตริย์ "อยู่เหนือการเมือง" ความเป็นมานักปราชญ์ได้อธิบายว่า "คณะราษฎร" เป็นผู้นำมาปรากฏในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ในมาตรา 11 ว่า "พระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไปโดยกำเนิด หรือโดยแต่งตั้งก็ตาม ย่อมดำรงอยู่ในฐานะเหนือการเมือง" ซึ่งหมายความว่าเล่นการเมืองไม่ได้ เป็น ส.ส.ไม่ได้ เป็นรัฐมนตรีไม่ได้ ปฏิบัติงานการเมืองไม่ได้ เป็นต้น
สำหรับพระมหากษัตริย์นั้น ย่อมไม่เล่นการเมืองอยู่แล้ว และบรมวงศานุวงศ์ย่อมไม่หมายถึงองค์พระมหากษัตริย์ และตามความเป็นจริง "พระมหากษัตริย์ไม่ได้อยู่เหนือการเมืองแต่อยู่เหนือการปกครอง" และสถาบันใดก็ตามที่ใช้อำนาจอธิปไตย ย่อมเป็นสถาบันที่อยู่ในการเมือง ไม่ได้อยู่เหนือการเมือง หรืออยู่นอกการเมือง พิจารณาให้ถ่องแท้ด้วยใจเป็นธรรมให้เกิดปัญญาเถิด
เรามาอภิปรายกันว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นที่ทราบกันแล้วว่า "เป็นสถาบันแห่งธรรม" สถาบันแห่งธรรมย่อมมีความชอบธรรมอันยิ่งยวดที่จะเข้ามาควบคุมดูแลแก้ไขการเมืองให้สะอาด ให้ปวงชนถือธรรมเป็นใหญ่ เพื่อประโยชน์แห่งชาติและประชาชน"
ฉะนั้นนักวิชาการ นักการเมืองบางท่าน ทั้งพูดและเขียนว่า พระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมืองนั้นคงจะไม่ถูกต้อง และเป็นการบั่นทอนอำนาจและพระบรมเดชานุภาพสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นสถาบันประมุขแห่งรัฐ หรือของประเทศอีกด้วย
หรือบางคน บางสำนักบอกว่าพระมหากษัตริย์เป็นกลางทางการเมือง ก็ไม่น่าจะถูกต้อง ในท่ามกลาง ระบอบการเมืองมิจฉาทิฐิ จึงเต็มไปด้วยพรรคการเมืองมิจฉาทิฐิ รัฐบาลมิจฉาทิฐิ ดังนี้แล้วสถาบันพระมหากษัตริย์จะเป็นกลางทางการเมืองได้อย่างไร
ฉะนั้น จึงกลับมาสู่ความถูกต้องดังเดิม ที่สถาบันหลักของชาติ เป็นสถาบันอันทรงธรรมเป็นหลักเป็นแก่นของแผ่นดิน จะได้มีภารกิจอันยิ่งยวดชอบธรรมอันยิ่งที่จะสถาปนาระบอบการเมืองที่เป็นธรรมแก่พสกนิกรทุกหมู่เหล่า เพื่อความมั่นคงของแผ่นดิน อย่างยั่งยืนสืบไป
พระราชาผู้ทรงธรรมเป็นประมุขของปวงชน
พระมหากษัตริย์ไทยยิ่งใหญ่ด้วยพระบรมเดชานุภาพ
พระมหากษัตริย์ของประเทศไทยนั้นยิ่งใหญ่ด้วยพระบรมเดชานุภาพ และพระบารมีเหนือสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศทั้งปวง เพราะหลักสาระสำคัญแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยคือ ทศพิธราชธรรม ซึ่งสืบทอดมาแต่ครั้งพุทธกาล โดยประสานอหิงสา ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษประจำชาติไทยเข้ากับพุทธอหิงสาธรรม คือ
ทศพิธราชธรรม 10 ประการ อันเป็นหลักธรรมของ สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ได้แก่
1. ทาน คือการให้ทั้งวัตถุทาน ธรรมทาน และอภัยทาน แก่พสกนิกร
2. ศีล การละเว้นจากความประพฤติที่ผิดทั้งปวง
3. ปริจจาคะ คือ การบริจาค เสียสละความสุขสำราญ เพื่อประโยชน์สุขของปวงชน
4. อาชวะ ความซื่อตรงและเข้มแข็ง ที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง มีความจริงใจ
5. มัทวะ ความอ่อนโยน คือมีอัธยาศัยสุภาพต่อคนทั้งปวง
6. ตบะ ความเพียรพยายาม ที่จะเผาผลาญกิเลสที่อาจเกิดขึ้น
7. อักโกธะ ความไม่โกรธคือ ไม่กริ้วกราด ไม่กระทำสิ่งใดด้วยอำนาจของความโกรธ
8. อวิหิงสา ไม่เบียดเบียนผู้อื่นทั้งทางตรงและทางอ้อม
9. ขันติ ความอดทน อดกลั้น ต่อสิ่งยั่วโลภะ โทสะ โมหะทั้งปวง
10. อวิโรธนัง ความไม่คลาดธรรมคือ วางองค์เป็นหลักแน่นในธรรม
และนอกจากนี้ยังมีจักรวรรดิวัตร วัตรของพระเจ้าจักรพรรดิ พระจริยาที่พระจักรพรรดิพึงทรงบำเพ็ญสม่ำเสมอ ธรรมเนียมการทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจของพระเจ้าจักรพรรดิ หน้าที่ของผู้ปกครองอันยิ่งใหญ่ ว่าโดยย่อคือ
1. ธรรมาธิปไตย เคารพนับถือบูชา ยำเกรงขาม ถือธรรมเป็นหลัก ถือธรรมเป็นใหญ่ ถือธรรมเป็นธงชัย เป็นธรรมาธิปไตย และชักชวนให้นักการเมือง ข้าราชการปฏิบัติธรรม
2. อธรรมการ ห้ามกั้นมิให้มีการอัน "อธรรม" เกิดขึ้นในราชอาณาเขตคือ จัดการป้องกันมิให้มีการกระทำความผิด ความชั่วร้ายเดือดร้อนเกิดขึ้นในบ้านเมือง
3. ธนานุประทาน ปันทรัพย์เฉลี่ยให้แก่ชนผู้ไร้ทรัพย์ มิให้มีประชาชนขัดสนยากไร้ในประเทศ
4. สมณพราหมณปริปุจฉา ปรึกษาปัญหากับสมณหรือพระสงฆ์, พราหมณ์ ผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ไม่ประมาทมัวเมา สงเคราะห์นักปราชญ์นักวิชาการผู้ทรงคุณธรรม อยู่เสมอตามกาลอันควร เพื่อให้รู้ชัดการอันดีชั่ว ควรประกอบหรือไม่ เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขหรือไม่ แล้วประพฤติปฏิบัติให้เป็นไปโดยธรรม
เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปในหมู่เหล่าพสกนิกรว่า พระมหากษัตริย์ของประเทศไทยนั้นยิ่งใหญ่ด้วยพระบรมเดชานุภาพ และพระบารมี เพราะหลักสาระสำคัญแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยคือ ทศพิธราชธรรม ซึ่งสืบทอดมาแต่ครั้งพุทธกาลนั่นเอง
เมื่อพิจารณาอย่างรอบด้าน ทศพิธราชธรรมแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ของประเทศไทย สรุปลงในพระบรมราโชวาท เมื่อเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" ซึ่งได้พิสูจน์ประจักษ์เป็นจริง โดยพระราชจริยวัตร และพระราชกรณียกิจตลอดเวลากว่าครึ่งศตวรรษประจักษ์เป็นจริงโดยเฉพาะตามที่ได้เห็นกันอย่างชัดแจ้ง ในเหตุการณ์เฉพาะหน้า ถึงพระบรมเดชานุภาพและพระมหาบารมีที่สยบ "พฤษภาทมิฬ" ที่ทรงป้องกันมิให้คนไทยด้วยกันขัดแย้งกัน และทำสงครามกลางเมืองกัน เป็นข้อเท็จจริงที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งสามารถขจัดความเคลือบแคลงสงสัย ที่อาจจะหลงเหลืออยู่บ้างในบุคคลบางกลุ่มบางจำพวกบางอุดมการณ์ ซึ่งแม้จะมีจำนวนน้อยที่สุดก็ตาม
เมื่อสถาบันพระมหากษัตริย์มีทศพิธราชธรรมเป็นธรรมนูญอยู่แล้ว พร้อมทั้งองค์พระมหากษัตริย์ทรงมีลักษณะธรรมาธิปไตย (ถือธรรมเป็นใหญ่) เป็นอย่างสูงสุดอยู่ด้วย จึงทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยทั้งในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และในระบอบปริมิตายาสิทธิราชย์ (ระบอบปัจจุบัน) เป็นสถาบันแห่งธรรม และธรรม (Righteousness) ย่อมสอดคล้องกับผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเสมอไป
การถือธรรมเป็นใหญ่ ในทางการเมือง คือหลักที่ถือประโยชน์แห่งชาติและประชาชนเป็นใหญ่ ฉะนั้น ธรรมาธิปไตย จึงไม่ใช่ประชาธิปไตย หรือโลกาธิปไตยตามที่นักวิชาการบางฝ่าย นักการเมืองบางฝ่าย บางคนยึดถือ
ความจริงแล้วประชาธิปไตยก็คือ โลกาธิปไตย ถือโลกเป็นใหญ่เป็นเพียงวิธีการ เท่านั้น เช่น การประชุมรัฐสภาเพื่อออก พ.ร.บ.ต่างๆ และการใช้เสียงข้างมากเป็นข้อยุติ
ส่วนอัตตาธิปไตย ก็เป็นวิธีการของคนคนเดียว ที่มีความคิดการกระทำของตนเป็นใหญ่เช่น การออกพระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา หรือการออกกฎหมายโดยฝ่ายบริหาร เป็นต้น
ทั้งโลกาธิปไตย (ประชาธิปไตย) และอัตตาธิปไตยเป็นเพียงวิธีการเท่านั้น วิธีการย่อมเป็นกลางๆ จะนำไปใช้กับระบอบอะไรก็ได้ อาจไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน (ปวงชน) ก็ได้ถ้าขาดหลัก "ธรรมาธิปไตย 9" อันเป็นหลักธรรมหรือด้านหลักการ จึงเป็นหลักแห่งความมั่นคงของชาติและประชาชน
และในการแก้เหตุวิกฤตแห่งชาติทั้งองค์รวมจะสำเร็จลงได้นั้น จำเป็นต้องนำหลักและวิธีการทั้งสามให้เป็นเอกภาพกัน จึงจะเกิดประสิทธิภาพดุจเชือกสามเส้นพันเกลียวเป็นเส้นเดียวกัน หรือสามเส้าที่ใช้หุงต้มในอดีต ขาดอันใดอันหนึ่งย่อมขาดประสิทธิภาพ
กล่าวคือบุคคลคนเดียวใช้ "อัตตาธิปไตย" ถือวิธีการตน ถือความคิดตน ถืออำนาจตนเป็นใหญ่ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นต่อ หลักธรรมาธิปไตย จึงจะไม่เกิดความเสียหาย
และถ้าเป็นองค์การ, องค์กรระดับต่างๆ มีการประชุมปรึึกษาหารือกันใช้เสียงข้างมากหรือเสียงของคนหมู่มากเป็นมติคือ "โลกาธิปไตย" แต่ทั้งนี้ถ้าที่ประชุมนั้นๆ ได้ถือหลักธรรมาธิปไตย ก็จะไม่สร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นต่อบุคคล องค์กร, องค์การ และประเทศชาติ
ประเทศไทยรับเอาศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติมาแต่โบราณกาล คือหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนามาใช้ในชีวิตประจำวัน แต่นักการเมือง, ผู้มีอำนาจในทางการเมือง ละเลยต่อหลักธรรมาธิปไตยมาเป็นหลักการปกครอง เมื่อสภาพการณ์เป็นเช่นนี้ย่อมนำความเสียหายมาสู่ประเทศชาติโดยรวมและยากที่จะแก้ไขเหตุวิกฤตชาตินี้ให้ผ่านพ้นไปได้
พระมหากษัตริย์ กับการเมือง
ในวงการวิชาการด้านรัฐศาสตร์บ้านเรามักจะเข้าใจกันว่าพระมหากษัตริย์ "อยู่เหนือการเมือง" ความเป็นมานักปราชญ์ได้อธิบายว่า "คณะราษฎร" เป็นผู้นำมาปรากฏในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ในมาตรา 11 ว่า "พระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไปโดยกำเนิด หรือโดยแต่งตั้งก็ตาม ย่อมดำรงอยู่ในฐานะเหนือการเมือง" ซึ่งหมายความว่าเล่นการเมืองไม่ได้ เป็น ส.ส.ไม่ได้ เป็นรัฐมนตรีไม่ได้ ปฏิบัติงานการเมืองไม่ได้ เป็นต้น
สำหรับพระมหากษัตริย์นั้น ย่อมไม่เล่นการเมืองอยู่แล้ว และบรมวงศานุวงศ์ย่อมไม่หมายถึงองค์พระมหากษัตริย์ และตามความเป็นจริง "พระมหากษัตริย์ไม่ได้อยู่เหนือการเมืองแต่อยู่เหนือการปกครอง" และสถาบันใดก็ตามที่ใช้อำนาจอธิปไตย ย่อมเป็นสถาบันที่อยู่ในการเมือง ไม่ได้อยู่เหนือการเมือง หรืออยู่นอกการเมือง พิจารณาให้ถ่องแท้ด้วยใจเป็นธรรมให้เกิดปัญญาเถิด
เรามาอภิปรายกันว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นที่ทราบกันแล้วว่า "เป็นสถาบันแห่งธรรม" สถาบันแห่งธรรมย่อมมีความชอบธรรมอันยิ่งยวดที่จะเข้ามาควบคุมดูแลแก้ไขการเมืองให้สะอาด ให้ปวงชนถือธรรมเป็นใหญ่ เพื่อประโยชน์แห่งชาติและประชาชน"
ฉะนั้นนักวิชาการ นักการเมืองบางท่าน ทั้งพูดและเขียนว่า พระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมืองนั้นคงจะไม่ถูกต้อง และเป็นการบั่นทอนอำนาจและพระบรมเดชานุภาพสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นสถาบันประมุขแห่งรัฐ หรือของประเทศอีกด้วย
หรือบางคน บางสำนักบอกว่าพระมหากษัตริย์เป็นกลางทางการเมือง ก็ไม่น่าจะถูกต้อง ในท่ามกลาง ระบอบการเมืองมิจฉาทิฐิ จึงเต็มไปด้วยพรรคการเมืองมิจฉาทิฐิ รัฐบาลมิจฉาทิฐิ ดังนี้แล้วสถาบันพระมหากษัตริย์จะเป็นกลางทางการเมืองได้อย่างไร
ฉะนั้น จึงกลับมาสู่ความถูกต้องดังเดิม ที่สถาบันหลักของชาติ เป็นสถาบันอันทรงธรรมเป็นหลักเป็นแก่นของแผ่นดิน จะได้มีภารกิจอันยิ่งยวดชอบธรรมอันยิ่งที่จะสถาปนาระบอบการเมืองที่เป็นธรรมแก่พสกนิกรทุกหมู่เหล่า เพื่อความมั่นคงของแผ่นดิน อย่างยั่งยืนสืบไป