xs
xsm
sm
md
lg

ตอน 12 เมื่อพระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นสุนัข

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันวิหาร ทรงปรารภการประพฤติประโยชน์แก่พระญาติ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า เย กุกฺกุรา ดังนี้

การประพฤติประโยชน์แก่พระญาตินั้น จักมีแจ้งในภัททสาลชาดก ทวาทสนิบาต

ก็พระศาสดาทรงตั้งเรื่องนี้ แล้วทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ทรงอาศัยกรรมเห็นปานนั้น บังเกิดในกำเนิดสุนัข ห้อมล้อมด้วยสุนัขมิใช่น้อยอยู่ในสุสานใหญ่

อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาเสด็จขึ้นทรงรถเทียมม้าสินธพขาว ประดับด้วยเครื่องประดับทั้งปวง เสด็จไปยังพระอุทยาน ทรงเล่นในพระอุทยานนั้น ตลอดส่วนภาคกลางวัน เมื่อพระอาทิตย์อัสดง จึงเสด็จเข้าพระนคร. ราชบุรุษทั้งหลายวางสายเชือกหนังรถนั้นตามที่ผูกไว้นั้นแหละที่พระลานหลวง เมื่อฝนตกตอนกลางคืน รถนั้นก็เปียกฝน. พวกสุนัขที่เลี้ยงไว้ในราชตระกูล ลงจากปราสาทชั้นบน กัดกินหนังและชะเนาะของรถนั้น

วันรุ่งขึ้น พวกราชบุรุษจึงกราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่สมมติเทพ สุนัขทั้งหลายเข้าไปทางท่อนํ้า กัดกินหนังและชะเนาะของรถนั้น พระเจ้าข้า. พระราชาทรงกริ้วสุนัข จึงตรัสว่า พวกท่านจงฆ่าพวกสุนัขในที่ที่ได้เห็นแล้วๆ

ตั้งแต่นั้นมา ความพินาศใหญ่หลวง จึงเกิดขึ้นแก่พวกสุนัข. สุนัขเหล่านั้น เมื่อถูกฆ่าในที่ที่พบเห็น จึงหนีไปป่าช้า ได้พากันไปยังสำนักของพระโพธิสัตว์. พระโพธิสัตว์ถามว่า ท่านทั้งหลายเป็นอันมาก พากันมาประชุม เหตุอะไรหนอ? สุนัขเหล่านั้นกล่าวว่า พระราชาทรงกริ้วว่า นัยว่า สุนัขกินหนังและชะเนาะของรถภายในพระราชวัง จึงทรงสั่งให้ฆ่าสุนัข สุนัขเป็นอันมากพินาศ มหาภัยเกิดขึ้นแล้ว

พระโพธิสัตว์คิดว่า ในที่ที่มีการอารักขา สุนัขทั้งหลายในภายนอก ย่อมไม่มีโอกาส กรรมนี้จักเป็นกรรมของพวกสุนัขเลี้ยง ในภายในพระราชนิเวศน์นั่นเอง. ก็ภัยอะไรๆ ย่อมไม่มีแก่พวกโจร ส่วนพวกที่ไม่ใช่โจร กลับได้ความตาย. ถ้ากระไร เราจะแสดงพวกโจรแก่พระราชา แล้วให้ทานชีวิตแก่หมู่ญาติ

พระโพธิสัตว์นั้นปลอบโยนญาติทั้งหลายให้เบาใจ แล้วกล่าวว่า ท่านทั้งหลายอย่ากลัว เราจักนำความไม่มีภัยมาให้แก่ท่านทั้งหลาย พวกท่านจงอยู่ที่นี่แหละ จนกว่าเราจะได้เฝ้าพระราชา แล้วรำพึงถึงบารมี กระทำเมตตาภาวนาให้เป็นปุเรจาริกไปในเบื้องหน้า แล้วอธิษฐานว่า ใครๆ อย่าได้สามารถขว้างก้อนดิน หรือไม้ค้อนเบื้องบนเรา ผู้เดียวเท่านั้น เข้าไปภายในพระนคร

ครั้งนั้น แม้สัตว์ตัวหนึ่งเห็นพระโพธิสัตว์ แล้วชื่อว่า โกรธแล้วแลดู มิได้มี. ฝ่ายพระราชาทรงสั่งฆ่าสุนัข แล้วประทับนั่งในที่วินิจฉัย ด้วยพระองค์เอง. พระโพธิสัตว์ไปในที่วินิจฉัยนั้นนั่นแล แล้ววิ่งเข้าไปภายใต้อาสน์ของพระราชา. ลำดับนั้น พวกราชบุรุษ เริ่มเพื่อจะนำพระโพธิสัตว์นั้นออกมา แต่พระราชาทรงห้ามไว้

พระโพธิสัตว์นั้นพักอยู่หน่อยหนึ่ง แล้วออกจากภายใต้อาสน์ ถวายบังคมพระราชา แล้วทูลถามว่า ได้ยินว่า พระองค์ทรงให้ฆ่าสุนัขจริงหรือพระเจ้าข้า

พระราชาตรัสว่า เออ เราให้ฆ่า

พระโพธิสัตว์ทูลถามว่า ข้าแต่พระจอมคน สุนัขเหล่านั้นมีความผิดอะไร?

พระราชาตรัสว่า สุนัขทั้งหลาย มันกินหนังหุ้มและชะเนาะแห่งรถของเรา

พระโพธิสัตว์ทูลถามว่า พระองค์ทรงรู้จักสุนัขตัวที่กินแล้วหรือ

พระราชาตรัสว่า ไม่รู้

พระโพธิสัตว์ทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ การไม่ทรงทราบโดยถ่องแท้ว่า โจรที่กินหนังชื่อนี้ แล้วทรงให้ฆ่า ในที่ที่ได้พบเห็นทันที ไม่สมควร พระเจ้าข้า

พระราชาตรัสว่า เพราะพวกสุนัขมักกัดกินหนังหุ้มรถ เราจึงสั่งฆ่าสุนัขว่า พวกท่านจงฆ่าสุนัขที่ได้พบเห็นทั้งหมดเลย

พระโพธิสัตว์ทูลว่า ก็มนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้นฆ่าสุนัขทั้งหมดทีเดียวหรือ หรือว่า สุนัขแม้ไม่ได้ความตาย ก็มีอยู่

พระราชาตรัสว่ามี. สุนัขเลี้ยงในตำหนักของเรา ไม่ได้การถูกฆ่าตาย

พระมหาสัตว์ทูลว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์ได้ตรัสในบัดนี้ทีเดียว ว่า เพราะพวกสุนัขมักกัดกินหนังหุ้มรถ เราจึงสั่งฆ่าสุนัขว่า พวกท่านจงฆ่าสุนัขทุกตัวที่ได้พบเห็น แต่บัดนี้พระองค์ตรัสว่า สุนัขเลี้ยงในตำหนักของเรา ไม่ได้การถูกฆ่าตาย. เมื่อเป็นอย่างนั้น พระองค์ย่อมลุอคติ เช่นฉันทาคติ เป็นต้น. ก็ชื่อว่า การลุอคติไม่สมควร และไม่เป็น (ทศพิธ) ราชธรรม

ธรรมดา พระราชาผู้แสวงหาเหตุและมิใช่เหตุ เป็นเช่นกับตาชั่ง จึงจะควร. บัดนี้ สุนัขเลี้ยงในราชสกุลไม่ได้การตาย สุนัขที่ทุรพลเท่านั้น จึงจะได้. เมื่อเป็นเช่นนั้น อันนี้ไม่เป็นการฆ่าสุนัขทุกตัว แต่อันนี้ชื่อว่า เป็นการฆ่าสุนัขที่ทุรพล ก็แหละครั้นทูลอย่างนี้แล้ว จึงเปล่งเสียงอันไพเราะ กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช สิ่งที่พระองค์ทรงกระทำนั้นไม่เป็นธรรม

เมื่อจะแสดงธรรมแก่พระราชา จึงกล่าวคาถานี้ว่า

สุนัขเหล่าใด อันบุคคลเลี้ยงไว้ในราชสกุล เจริญในราชสกุล สมบูรณ์ด้วยสีสันและกำลัง สุนัขเหล่านี้นั้นไม่ถูกฆ่า พวกเรากลับถูกฆ่าโดยไม่แปลกกัน หามิได้ กลับชื่อว่า การฆ่าแต่สุนัขทั้งหลายที่ทุรพล

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เย กุกฺกุรา ได้แก่ สุนัขเหล่าใด

เหมือนอย่างว่า ปัสสาวะ แม้ยังมีนํ้าอุ่น ก็เรียกว่ามูตรเน่า. สุนัขจิ้งจอก แม้เกิดในวันนั้น ก็เรียกว่า สุนัขจิ้งจอกแก่. เถาหัวด้วน แม้ยังอ่อน ก็เรียกว่า เถาหัวเน่า. กาย แม้จะมีสีเหมือนทอง ก็เรียกว่า กายเปื่อยเน่า ฉันใด. สุนัข แม้มีอายุ ๑๐๐ ปี ก็เรียกว่า กุกกุระ ลูกสุนัข ฉันนั้น เหมือนกัน. เพราะฉะนั้น สุนัขเหล่านั้นแก่ แต่สมบูรณ์ด้วยกำลังกาย ก็เรียกว่า กุกกุระเหมือนกัน

บทว่า วฑฺฒา แปลว่า เจริญเติบโต. บทว่า โกเลยฺยกา ได้แก่ เกิดแล้ว มีแล้ว เจริญแล้วในราชสกุล. บทว่า วณฺณพลูปปนฺนา ได้แก่ สมบูรณ์ด้วยสีร่างกายและกำลังกาย. บทว่า เตเม น วชฺฌา ความว่า สุนัขเหล่านี้นั้นมีเจ้าของ มีการอารักขา จึงไม่ถูกฆ่า. บทว่า มยมสฺส วชฺฌา ความว่า เราทั้งหลายไม่มีเจ้าของ ไม่มีการอารักขา เป็นสุนัขที่ถูกฆ่า. บทว่า นายํ สฆจฺจา ความว่า เมื่อเป็นอย่างนั้น อันนี้ย่อมไม่ชื่อว่า มีการฆ่าโดยไม่แปลกกัน. บทว่า ทุพฺพลฆาติกายํ ความว่า ส่วนอันนี้ ย่อมชื่อว่า เป็นการฆ่าอันทุรพล เพราะฆ่าเฉพาะสุนัขทุรพลทั้งหลาย. อธิบายว่า ธรรมดา พระราชาทั้งหลายควรข่มพวกโจร พวกที่ไม่เป็นโจรไม่ควรข่ม แต่ในเหตุการณ์นี้ โทษอะไรๆ ไม่มีแก่พวกโจร พวกที่ไม่ใช่โจรกลับได้ความตาย โอ ! ในโลกนี้ สิ่งที่ไม่ควรย่อมเป็นไป โอ ! อธรรมย่อมเป็นไป

พระราชาได้ทรงสดับคำของพระโพธิสัตว์ แล้วจึงตรัสว่า ดูก่อนบัณฑิต ก็ท่านรู้หรือว่า สุนัขชื่อโน้นกินหนังหุ้มรถ

พระโพธิสัตว์กล่าวว่า รู้ พระเจ้าข้า

พระราชาตรัสว่า สุนัขพวกไหนกิน

พระโพธิสัตว์ทูลว่า พวกสุนัขเลี้ยงที่อยู่ในตำหนักของพระองค์กิน พระเจ้าข้า

พระราชาตรัสว่า ท่านต้อง (พิสูจน์) รู้ว่า สุนัขเหล่านั้นกินอย่างไร

พระโพธิสัตว์ทูลว่า ข้าพระบาทจักแสดง ความที่สุนัขเหล่านั้นกิน

พระราชาตรัสว่า จงแสดงเถิด บัณฑิต

พระโพธิสัตว์ทูลว่า พระองค์จงให้นำพวกสุนัขเลี้ยงในตำหนักของพระองค์มา แล้วให้นำเปรียง และหญ้าแพรก มาหน่อยหนึ่ง. พระราชาได้ทรงกระทำอย่างนั้น

ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ให้ขยำหญ้ากับเปรียง แล้วทูลกะพระราชานั้นว่า ขอพระองค์จงให้สุนัขเหล่านี้ดื่ม พระราชาทรงให้ทำอย่างนั้นแล้วให้ดื่ม สุนัขทั้งหลายที่ดื่มแล้วๆ ก็ถ่ายออกมา พร้อมกับหนังทั้งหลาย. พระราชาทรงดีพระทัยว่า เหมือนพยากรณ์ของพระสัพพัญญูพุทธเจ้า จึงได้ทรงทำการบูชาพระโพธิสัตว์ ด้วยเศวตฉัตร

พระโพธิสัตว์จึงแสดงธรรมแก่พระราชา ด้วยคาถาว่า ด้วยการประพฤติธรรม ๑๐ ประการ อันมาในเตสกุณชาดก มีอาทิว่า ข้าแต่มหาราชผู้บรมกษัตริย์ พระองค์จงประพฤติธรรมในพระชนกและชนนี ดังนี้ แล้วทูลว่า ข้าแต่มหาราช จำเดิมแต่นี้ไป พระองค์จงเป็นผู้ไม่ประมาท แล้วให้พระราชาดำรงอยู่ในศีล ๕ จึงได้ถวายคืนเศวตฉัตรแด่พระราชา

พระราชาได้ทรงสดับ ธรรมกถาของพระมหาสัตว์ แล้วทรงให้อภัย แก่สัตว์ทั้งปวง ทรงเริ่มตั้งนิตยภัต เช่นกับโภชนะของพระองค์แก่สุนัขทั้งปวง มีพระโพธิสัตว์เป็นต้น ทรงตั้งอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์ ทรงกระทำบุญมีทานเป็นต้น ตลอดชั่วพระชนมายุ สวรรคตแล้วเสด็จอุบัติในเทวโลก

กุกกุโรวาทได้ดำเนินไปถึงหมื่นปี

ฝ่ายพระโพธิสัตว์ดำรงอยู่ตราบชั่วอายุ แล้วได้ไปตามยถากรรม

พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตประพฤติประโยชน์แก่พระญาติทั้งหลาย ในบัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน ก็ได้ประพฤติแล้วเหมือนกัน

ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาสืบต่ออนุสนธิ แล้วจึงทรงประชุมชาดก ว่า

พระราชาในกาลนั้น ได้เป็น พระอานนท์

บริษัทที่เหลือนอกนี้ ได้เป็นพุทธบริษัท

ส่วนกุกกุรบัณฑิต คือ เรา แล.

คัดมาจาก อรรถกถา กุกกุรชาดก
ว่าด้วย สุนัขที่ถูกฆ่า
ในพระไตรปิฎก

กำลังโหลดความคิดเห็น