xs
xsm
sm
md
lg

การก้าวสู่ความเป็นพรรคบริหารของพรรคคอมมิวนิสต์จีน

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

การประชุมเต็มคณะของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนชุดที่ 16 ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 16-19 กันยายนที่ผ่านมา เป็นข่าวใหญ่ไม่เฉพาะการลาออกจากประธานคณะกรรมาธิการการทหารของเจียงเจ๋อหมินเท่านั้น (หมายเหตุ การลาออกครั้งนี้เป็นตำแหน่งภายในพรรค ส่วนการลาออกหรือพ้นตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการทหารแห่งรัฐคาดว่าจะกระทำกันในที่ประชุมสภาประชาชนแห่งชาติในราวเดือนมีนาคมปีหน้า) แต่ยังอยู่ที่การปรับแนวคิดการบริหารประเทศของพรรคฯ ในขั้นต่อไป ซึ่งนับวันจะแสดงออกถึงความเป็นมืออาชีพในด้านการบริหารประเทศของพรรคการเมืองที่มีฐานจากการเคลื่อนไหวปฏิวัติ

มองในเชิงวิวัฒนาการก็คือ พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ผ่านกระบวนการปรับตัวเองจากพรรคปฏิวัติมาเป็นพรรคบริหารเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว สถานการณ์การเมืองของประเทศจีนจะก้าวเข้าสู่ระยะของความมีเสถียรภาพและเป็นพลวัตสูง ส่งผลให้การพัฒนาในด้านต่างๆของประเทศจีนสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง และก้าวเข้าสู่ความเป็นสังคมอยู่ดีกินดีอย่างรอบด้านได้อย่างเป็นจริง ภายในปี ค.ศ. 2020

เป็นกระบวนการที่กินเวลา

จีนเป็นประเทศใหญ่ มีประชากรมากที่สุดในโลก มีอารยธรรมเก่าแก่แต่วนเวียนอยู่ในระบอบศักดินาเนิ่นนานถึงกว่าสองพันปี ทัศนะและแนวคิดของคนจีนติดยึดกับอดีตมากเป็นพิเศษ และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายที่เกี่ยวกับจีนและคนจีน ทำให้กระบวนก้าวจากสังคมเกษตรโบราณและเก่ามาเป็นสังคมอุตสาหกรรมแบบใหม่ เชื่องช้าและยากลำบากกว่าประเทศอื่นๆ

มองในเชิงประวัติศาสตร์ การพัฒนาสู่ความทันสมัยของจีนที่กำลังดำเนินไปอยู่ในขณะนี้ อยู่ภาวะเกือบจะ "สาย" เกินไปเสียด้วยซ้ำ ถ้าไม่มีพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนเกิดขึ้น และเป็นแกนนำการเปลี่ยนแปลงด้วยความเสียสละ ทุ่มเท ประเทศจีน สังคมจีนและประชาชนจีนโดยรวมก็คงจะไม่มีวันนี้แน่นอน

พรรคคอมมิวนิสต์จีนใช้เวลา 28 ปี (1921-1949) นำประชาชนจีนปฏิวัติสำเร็จ สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ปกครองตนเองในระบอบสังคมนิยม พรรคคอมมิวนิสต์จีนเปลี่ยนสถานภาพจากพรรคปฏิวัติเป็นพรรคบริหารประเทศ

ทว่า กระบวนทัศน์ของคณะผู้นำพรรคฯจีน หาได้ย้ายจากฐานเดิม (ความคิดปฏิวัติ) มาสู่ฐานใหม่ (ความคิดบริหาร) ได้โดยอัตโนมัติแต่ประการใดไม่ แต่กลับยังยึดติดอยู่กับแนวคิดเดิมๆ คือยังทำตัวเป็นพรรคปฏิวัติมากกว่าที่จะเป็นพรรคบริหาร

นี่ว่ากันแบบรวบรัดสุดๆ เหมือนไล่ฟิล์มหนังย้อนยุค เพียงเพื่อให้เห็นภาพเปรียบเทียบมากกว่าที่จะหาคำตอบใดๆ ในระหว่างนั้น

แนวคิดตกยุคทำให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนประสบความล้มเหลวในการบริหารประเทศร่วมสองทศวรรษ คือระหว่างทศวรรษ ค.ศ.1960-1970 กระทั่งเมื่อสิ้นเหมาแล้ว (ค.ศ.1976) จึงได้มีการปรับปฏิรูปครั้งใหญ่ ยึดมั่นในการเคลื่อนไหวปฏิบัติ ใช้การปฏิบัติเป็นตัววัดความถูกต้องของแนวคิดทฤษฎี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือเลิกยึดติดกับตัวผู้นำ ใช้การนำรวมหมู่และเร่งระดมสร้างแกนนำพรรคที่เป็นคนรุ่นใหม่ ที่มีแนวคิดและประสบการณ์ด้านการบริหาร มีความเชี่ยวชาญ มีการศึกษา และมีความศรัทธาในลัทธิอุดมการณ์มาร์กซิสม์อย่างแท้จริง ซึ่งคณะผู้นำชุดปัจจุบัน เช่นหูจิ่นเทา เวินเจียเป่า เป็นต้น ล้วนแต่เป็น "ผลผลิต" โดยตรงของการเปลี่ยนแปลงใหญ่ครั้งนั้น

ก้าวเข้าสู่ระยะของการเป็นพรรคบริหารเต็มร้อย

การปฏิรูปและเปิดประเทศของจีน ที่เริ่มกันเมื่อปลายทศวรรษ ค.ศ. 1970 เป็นก้าวแรกของการนำพรรคฯจีนก้าวเข้าสู่ความเป็นพรรคบริหารในความหมายปัจจุบัน

เติ้งเสี่ยวผิงในฐานะแกนนำคนสำคัญของพรรคฯ จีนยุคหลังเหมา ได้วางรากฐานการพัฒนาสังคมนิยมที่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของสังคมจีน ทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิงคือแม่บทของการพัฒนาประเทศจีนไปสู่ความทันสมัยในบริบทแห่งการสร้างสรรค์สังคมนิยม เป็นเสาเข็มหลักที่ตอกลงสู่ผืนแผ่นดินใหญ่จีนในการสร้างสิ่งมหัศจรรย์ที่จะดำเนินต่อไปอีกนับร้อยปี

การจัดทีมผู้นำพรรครุ่นที่สามที่มีเจียงเจ๋อหมินเป็นแกนนำ คือระยะผ่านของการก้าวไปสู่ความเป็นพรรคบริหารมืออาชีพของพรรคคอมมิวนิสต์จีน

ตลอดเวลา 13 ปี ระหว่างปี ค.ศ.1989-2002 คณะผู้นำพรรคฯ รุ่นที่สามที่มีเจียงเจ๋อหมินเป็นแกนนำ ได้ทำหน้าที่ของตนอย่างเยี่ยมยอด ผลงานรูปธรรมคือทำให้เศรษฐกิจจีนขยายตัวต่อเนื่องในอัตราสูง ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้นเรื่อยๆ สร้างความพึงพอใจให้แก่ประชาชนจีนถ้วนหน้า

ในทางจัดตั้ง พรรคฯจีนได้คัดกรองและบ่มเพาะคณะผู้นำพรรคฯ รุ่นใหม่อย่างเป็นระบบ หูจิ่นเทา อู๋ปังกั๋ว เวินเจียเป่า เป็นต้น ซึ่งเป็นคณะบุคคลที่จะเป็นแกนนำรุ่นใหม่ของพรรค ได้ผ่านการทดสอบในระหว่างการปฏิบัติอย่างทั่วด้าน จนกระทั่งถึงระยะการถ่ายโอนอำนาจ คือการประชุมสมัชชาฯพรรคสมัยที่ 16 เดือนพฤศจิกายน 2002 ทุกอย่างจึงดำเนินไปอย่างเป็นระบบ เรียบร้อยสมบูรณ์ยิ่ง ซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์การถ่ายโอนอำนาจที่เรียบร้อยและสมบูรณ์ที่สุดครั้งแรกของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน

ความเป็นระบบและดำเนินไปได้อย่างสมบูรณ์ของกระบวนการถ่ายโอนอำนาจภายในพรรค คือการตระเตรียมเงื่อนไขพื้นฐานให้แก่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ในการก้าวไปสู่ความเป็นพรรคบริหารที่จะเป็นหลักประกันให้จีนก้าวเข้าสู่ความเป็นสังคมอยู่ดีกินดีอย่างรอบด้านได้อย่างแท้จริง

ดังนั้น เราจึงพบว่า ภายหลังการรับโอนอำนาจแล้ว คณะผู้นำจีนที่มีหูจิ่นเทาเป็นแกนนำ ได้เร่งจัดการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นภายในพรรคอย่างเร่งด่วน มีการประกาศใช้กฎระเบียบใหม่ๆ และพัฒนาระบบการบริหารภายในพรรคอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับแนวคิดการพัฒนาประเทศให้เป็นไปอย่างรอบด้านและยั่งยืน โดยยึดเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง เพื่อการพัฒนาอย่างรอบด้านของประชาชนชาวจีนต่อไป

สรุปประสบการณ์การบริหาร

แถลงการณ์การประชุม ที่นำออกเผยแพร่ทั่วไปในตอนเย็นของวันที่ 19 กันยายน พรรคฯจีนได้สรุปประสบการณ์การบริหารประเทศในรอบ 55 ปี (นับตั้งแต่สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี ค.ศ. 1949 จนถึงปัจจุบัน)ที่ผ่านมาว่า ภายหลังจากล้มลุกคลุกคลานจากการปฏิบัติ ในการค้นหาเส้นทางการพัฒนาประเทศในระบอบสังคมนิยมที่เหมาะสมกับสภาวะเป็นจริงของประเทศจีน ในที่สุดพรรคฯจีนก็ได้บทสรุปอันมีค่า ที่เป็นประสบการณ์ตรงของตนเอง รวมทั้งหมด 6 ประการใหญ่ๆ ดังนี้

1. จะต้องปรับแนวคิดชี้นำให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงเสมอ(ก้าวไปพร้อมกับกาลเวลา) ซึ่งก็คือทฤษฎีมาร์กซิสม์ที่ใช้ชี้นำการปฏิบัติจะต้องได้รับนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาวการณ์ที่เป็นจริง

2. จะต้องเสริมสร้างศักยภาพการพัฒนาจากภายในตนเองของระบอบสังคมนิยม ให้ระบอบสังคมนิยมพัฒนาก้าวหน้าต่อไปได้อย่างมีพลังและอย่างยั่งยืน

3. จะต้องถือเอาการพัฒนาเป็นภารกิจอันดับหนึ่งเสมอ ใช้การพัฒนาเป็นกุญแจแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างรอบด้าน

4. จะต้องยืนหยัดในหลักการตั้งพรรคเพื่อส่วนรวม บริหารประเทศเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน เชื่อมโยงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับมวลประชามหาชนดุจเลือดกับเนื้อ

5. จะต้องยืนหยัดบริหารประเทศอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ บริหารประเทศอย่างเป็นประชาธิปไตย บริหารประเทศตามตัวบทกฎหมาย พัฒนารูปแบบและวิธีการบริหารรัฐกิจของพรรคฯ ให้ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ

6. จะต้องยืนหยัดในแนวทางปฏิรูป เสริมความเข้มแข็งทางด้านการริเริ่มสร้างสรรค์ พลังสามัคคี พลังต่อสู้ของพรรคให้มากขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งหมดนี้ เป็นหลักใหญ่ระดับยุทธศาสตร์ในการสร้างพรรคฯ เพื่อให้พรรคฯสามารถปฏิบัติภารกิจบริหารประเทศได้ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ

จุดอ่อนจุดแข็งของพรรคฯ จีน ในฐานะพรรคบริหารประเทศ

มาถึงวันนี้ กล่าวได้ว่า พรรคฯจีนได้จับกฎเกณฑ์การพัฒนาสังคมจีน โดยเฉพาะกฎเกณฑ์การบริหารรัฐกิจในระบอบสังคมนิยมจีนได้มั่นคงและแม่นยำมากขึ้น การขับเคลื่อนของกระบวนการพัฒนาในด้านต่างๆของประเทศจีนจะดำเนินไปอย่างฉับไวและคล่องตัวขึ้น แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า พรรคฯจีนจะสบายตัว เพราะจะต้องเผชิญกับปัญหาใหม่ๆ โดยเฉพาะคือความต้องการใหม่ๆ ของคนจีนที่มีเงินจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อมองในมุมนี้ ก็จะเห็น "จุดแข็ง" อย่างมากของพรรคฯ จีนในฐานะที่เป็นพรรคบริหารประเทศแต่เพียงผู้เดียว

เพราะเมื่อพรรคฯนี้ได้ข้อสรุปอย่างถูกต้อง ในเรื่องการบริหารประเทศ จับกฎเกณฑ์การพัฒนาของระบอบสังคมนิยมจีนได้แม่นยำ ปรับแนวคิดและวิธีการ รวมทั้งมีการนวัตกรรมทางทฤษฎีใหม่ๆ ได้อย่างทันการณ์(เช่นทฤษฎี "สามตัวแทน" และ แนวคิดการพัฒนาประเทศอย่างรอบด้านเป็นบูรณาการที่ถือเอาคนเป็นศูนย์กลาง) เช่นนี้ แล้ว การเดินหน้าพัฒนาประเทศจีนไปสู่สังคมอยู่ดีกินดีอย่างรอบด้านก็มีโอกาสปรากฏเป็นจริงได้สูงยิ่ง

เมื่อนั้น สังคมโลกก็ต้องยกนิ้วให้พรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่สามารถ "เนรมิต"ประเทศจีน ให้กลายเป็น "สวรรค์น้อยๆ" ของคนจีนกว่าพันล้านคน

แต่อุปสรรคสำคัญก็ยังมี ซึ่งหลักๆ ก็มาจาก "ภายใน" พรรคคอมมิวนิสต์จีน เช่นการใช้อำนาจในทางมิชอบ บั่นทอนศักยภาพของพรรคฯโดยรวม และเป็นสาเหตุสำคัญที่สุดของความเสื่อมศรัทธาในหมู่ประชาชนชาวจีน

ตรงนี้เราจะเห็นว่า จุดแข็งและจุดอ่อนมันเป็นสองด้านที่เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกันในองค์เอกภาพเดียวกัน คือพรรคคอมมิวนิสต์จีน นั่นหมายถึงว่าเมื่อใดที่พรรคฯจีนปรับตัวเองได้ดี จุดแข็งก็จะเป็นพระเอก ตรงกันข้ามเมื่อใดที่การนำภายในพรรคหย่อนยาน จุดอ่อนก็จะแสดงตัวเป็นฝ่ายครอบงำ

พรรคฯ จีนได้สรุปอย่างชัดเจนถึงจุดอ่อนจุดแข็งที่ฝังตัวอยู่ภายใน เห็นว่าในฐานะพรรคบริหารประเทศ เป็นผู้ใช้อำนาจเหนือแผ่นดินจีน ต้องเผชิญหน้ากับการตรวจสอบโดยตรงจากประชาชน (เพราะไม่มีพรรคการเมืองฝ่ายค้านทำหน้าที่ตรวจสอบ) การกระทำใดๆ ที่มิชอบมิควร จะนำไปสู่วิกฤตศรัทธาในหมู่ประชาชนในทันที

การพัฒนาระบบตรวจสอบและปรับปรุงตัวเองเป็นเบื้องต้น ประสานกับการเปิดช่องทางรับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชนโดยตรง รวมทั้งระบบกลไกตรวจสอบอื่นๆ เช่นสื่อมวลชน และเสียงวิพากษ์วิจารณ์ข้อเสนอจากวงการวิชาการและผู้เชี่ยวชาญต่างๆ (ผ่านสภาปรึกษาการเมืองฯ ซึ่งปัจจุบันเป็นสถานบันสำคัญ ควบคู่กับสภาผู้แทนประชาชน) จึงเป็นแนวทางที่พรรคฯจีนให้ความสำคัญยิ่ง ในฐานะพรรคฯบริหารประเทศ

เราจึงพบว่า การประชุมกรรมการกลางพรรคฯครั้งนี้ และมติที่ออกมาทั้งหมด ล้วนแต่เพื่อนำไปสู่การสลายจุดอ่อนและเสริมจุดแข็งของพรรคฯ ทั้งสิ้น

ทำให้คนจีนรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก มีความหวังและรู้สึกเป็นสุขไปทั่ว (ดูจากเสียงสะท้อนผ่านสื่อทุกประเภท รวมทั้งอินเทอร์เน็ต และโทรศัพท์มือถือ)
กำลังโหลดความคิดเห็น