ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยจะสามารถดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคม นำไปสู่การประกันสิทธิเสรีภาพและการพัฒนาเศรษฐกิจ พร้อมทั้งการแจกแจงรายได้อย่างยุติธรรม ต้องขึ้นอยู่กับตัวแปรหลายตัว ดังนั้นใครก็ตามที่คิดว่าสามารถจะสถาปนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยได้ด้วยการร่างรัฐธรรมนูญที่มีความเป็นประชาธิปไตยนั้น เป็นการมองภาพไม่กระจ่าง เจ้าอาณานิคมที่ยึดประเทศอื่นเป็นอาณานิคมได้ตระหนักถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวมานานแล้ว ก่อนที่จะปล่อยให้อาณานิคมได้รับเอกราชจะมีการร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์แบบให้กับประเทศดังกล่าว แต่ทันทีที่เจ้าอาณานิคมถอนตัวจากอำนาจการปกครองบริหาร ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน บ่อยครั้งวามขัดแย้งรุนแรงถึงขั้นเป็นสงครามกลางเมือง
อินเดียเป็นประเทศตัวอย่างหลังจากได้รับเอกราชจากอังกฤษ เกิดการใช้ความรุนแรงห้ำหั่นกันระหว่างคนสองศาสนา ผลสุดท้ายก็มีการแบ่งแยกเป็นสองประเทศ ได้แก่ อินเดียและปากีสถาน ปากีสถานเองก็ถูกคั่นกลางแบ่งออกเป็นสองส่วน จนในที่สุดก็แยกออกมาเป็นบังคลาเทศ และปากีสถาน คองโกก็เป็นอีกประเทศหนึ่ง ที่มีเบลเยี่ยมเป็นเจ้าอาณานิคม ทันทีที่ถอนตัวออกจากประเทศดังกล่าวสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ก็เกิดขึ้น มีการเสียชีวิตและเลือดเนื้ออย่างมากมาย ประเทศเมียนมาร์ในปัจจุบันก็ยังไม่สามารถรวมกันเป็นรัฐชาติอย่างถาวรได้หลังจากประเทศอังกฤษถอนตัวออกไป ความขัดแย้งยังคงอยู่มาจนปัจจุบัน
บางประเทศอาจจะโชคดีที่สามารถผ่านการเป็นอาณานิคมได้โดยราบรื่น เช่น ประเทศมาเลเซีย แต่ก็ต้องบังคับให้สิงคโปร์ถอนตัวออกไปเป็นหน่วยการเมืองต่างหาก ขณะเดียวกันความขัดแย้งของคนมาเลเซียเชื้อสายจีนและเชื้อสายมาเลย์ ก็ได้ปะทุจนกลายเป็นความขัดแย้งที่รุนแรงเสียชีวิตและเลือดเนื้อเป็นจำนวนไม่น้อย และแม้จะมีการปกครองแบบประชาธิปไตยก็เป็นที่ทราบกันดีว่ารูปแบบที่เกิดขึ้นในมาเลเซียโดยมีกลุ่มสหพรรคที่เรียกว่าอัมโนเป็นฐานนั้น ก็มีลักษณะแปลกแยกไปจากรูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่แท้จริง
ประเทศที่พยายามสถาปนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยขึ้นนั้น จะพบอุปสรรคและความล้มเหลวคณานัป บางประเทศได้ข้อสรุปว่า ในสภาวะที่ประชาชนยังยากจน ไร้การศึกษา เศรษฐกิจอ่อนแอ ระบบที่ดีที่สุดได้แก่ระบบเผด็จการแบบอ่อนๆ ขณะเดียวกันก็ให้กลไกตลาดหรือระบบเศรษฐกิจเสรีกึ่งผูกขาดเป็นฐานของเศรษฐกิจชาติ ความคิดดังกล่าวนี้เกิดขึ้นระหว่างสงครามเวียดนามและประเทศทั้งหลายในเอเชียอาคเนย์ต่างก็รับเป็นแบบอย่าง ผู้นำที่มีลักษณะกึ่งเผด็จการ เช่น ลีกวนยู ซูฮาร์โต มาร์กอส เนวิน และรัฐบาลทหารในประเทศไทย ต่างมีความใกล้เคียงกันในวิธีคิด การมองปัญหา และรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจซึ่งได้แก่การพยายามขจัดความยากจนด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมทดแทนการสั่งเข้า อันเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นซึ่งผูกโยงกับประเทศเศรษฐกิจของโลกเสรีโดยมีสหรัฐฯ เป็นฐานใหญ่
ในกรณีของประเทศไทยนั้น การพัฒนาเศรษฐกิจและการส่งเสริมการศึกษาซึ่งเกิดขึ้นในยุครัฐบาลกึ่งเผด็จการกึ่งประชาธิปไตย โดยมีเศรษฐกิจเสรีแบบกลไกตลาดกึ่งผูกขาด ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ในเศรษฐกิจ สังคมและการบริหารของประเทศ ในขณะเดียวกันการพัฒนาการเมืองที่เป็นระบบการเมืองแบบเปิด ตามไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในมิติต่างๆ ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว และนี่คือที่มาของเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งทำให้รัฐบาลทหารขณะนั้นต้องลงจากอำนาจ และแม้จะพยายามที่จะกลับมาสู่อำนาจใหม่ในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ก็ไม่สามารถดำรงอยู่ต่อไปได้อย่างต่อเนื่องจนนำไปสู่การออมชอม หรือ “การประสานประโยชน์” ในรูปของประชาธิปไตยครึ่งใบ ซึ่งได้มีการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการมาจนถึงยุคที่เป็นประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเกิดขึ้นด้วยจุดประสงค์เพื่อการปฏิรูปการเมือง เนื่องจากปัญหาที่เกี่ยวเนื่องจากการใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง การฉ้อราษฎร์บังหลวง และการละเมิดกฎหมาย ละเมิดหลักนิติธรรม ที่สำคัญ การไร้เสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลผสม และการที่นายกรัฐมนตรีไม่สามารถแสดงความเป็นผู้นำทางการเมืองได้เนื่องจากความจำเป็นในการออมชอมกับพรรคร่วมรัฐบาลและ ส.ส. ในพรรคของตนเอง การปฏิรูปการเมืองจึงเกิดขึ้นท่ามกลางปัญหาดังกล่าว ขณะเดียวกันวิกฤตทางเศรษฐกิจอันเกิดจากการแตกของเศรษฐกิจฟองสบู่ก็มีส่วนผลักดันให้เกิดความจำเป็นที่จะต้องมีการปฏิรูปการเมือง โดยหวังว่าระบบการเมืองที่พัฒนาจากการปฏิรูปจะสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้
แต่ข้อเท็จจริงก็คือว่า การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นทั้งฉบับเป็นการสร้างโครงสร้างและกระบวนการทางการเมืองขึ้นใหม่โดยใช้กฎหมายเป็นตัวนำ ไม่ใช่คาถาที่จะเสกให้สำเร็จได้อย่างอัศจรรย์ เพราะความสำเร็จของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยขึ้นอยู่กับตัวแปรหลักๆ 3 ตัวแปร ไม่ใช่เพียงการอาศัยรัฐธรรมนูญแต่เพียงประการเดียว ตัวแปรสามตัวก็คือ สภาพสังคมและเศรษฐกิจต้องเอื้ออำนวยต่อการปฏิรูปและการพัฒนาระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตย เช่น คนต้องมีระดับการศึกษาสูงในระดับหนึ่ง มีความตื่นตัวทางการเมือง มีเขตชุมชนเมืองมากพอ มีรายได้ภายใต้เศรษฐกิจที่มีอุตสาหกรรมในระดับหนึ่ง ทั้งหลายทั้งปวงดังกล่าวนี้จะมีส่วนเสริมการพัฒนาระบบประชาธิปไตย
ตัวแปรที่สองคือ โครงสร้างและกระบวนการ ซึ่งได้แก่ การร่างรัฐธรรมนูญให้มีระบบการเลือกตั้ง การเข้าสู่ตำแหน่งอำนาจของฝ่ายบริหาร การควบคุมการใช้อำนาจของฝ่ายบริหาร การทำหน้าที่และการควบคุมฝ่ายนิติบัญญัติ การส่งเสริมตุลาการ การปกปักษ์รักษาสิทธิเสรีภาพของประชาชน การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองด้วยการปกครองตนเอง การแสดงประชาพิจารณ์ ประชามติ ฯลฯ นี่คือตัวแปรที่สอง
ตัวแปรสุดท้ายซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญมากตัวหนึ่งคือ วัฒนธรรมทางการเมืองของประชาชน ซึ่งแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนที่เกี่ยวกับประชาชนและส่วนที่เกี่ยวกับผู้กุมอำนาจทางการเมือง หรือผู้ปฏิบัติงานทางการเมือง ได้แก่ผู้ซึ่งมีบทบาทในทางนิติบัญญัติและบริหาร รวมทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ วัฒนธรรมทางการเมืองของประชาชนต้องเป็นวัฒนธรรมที่มีความตื่นตัวทางการเมือง มีจิตวิญญาณของความเป็นประชาธิปไตย เชื่อในความเสมอภาค เคารพสิทธิของผู้อื่น พร้อมที่จะต่อสู้เพื่อสิทธิของตนเอง มีความยุติธรรม ไม่ขายสิทธิขายเสียง มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ในส่วนที่สองได้แก่ กลุ่มผู้นำทางการเมือง จำเป็นต้องเป็นบุคคลที่มีความเชื่อและศรัทธาอย่างแรงกล้าในระบบประชาธิปไตย มีอุดมการณ์และความมุ่งมั่นทางการเมืองที่จะสถาปนาระบบเพื่อประโยชน์ของมวลชน มีจิตวิญญาณของนักประชาธิปไตย มีการกล่าวเสมอว่า ผู้นำทางการเมืองในอินเดียและฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นระบบประชาธิปไตยที่ประสบความสำเร็จนั้น เป็นผู้ซึ่งมีศรัทธาอย่างแรงกล้าในระบบประชาธิปไตย และมีจิตวิญญาณของความเป็นประชาธิปไตยสูง พฤติกรรมที่แสดงออกจะอยู่ในกรอบของหลักการประชาธิปไตยและกติกาของรัฐธรรมนูญ พฤติกรรมแปลกแยกก็มีอยู่บ้างแต่เป็นข้อยกเว้นมากกว่าเป็นกฎ
ตัวแปรตัวนี้ซึ่งได้แก่วัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยเป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุด ถ้าประชาชนไม่มีวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย ถ้าผู้นำทางการเมืองขาดจิตวิญญาณของความเป็นประชาธิปไตย การปฏิรูปการเมืองและการพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ แม้จะมีตัวแปรอีกสองตัวที่กล่าวมาเบื้องต้นอยู่ครบถ้วนก็ตาม
อินเดียเป็นประเทศตัวอย่างหลังจากได้รับเอกราชจากอังกฤษ เกิดการใช้ความรุนแรงห้ำหั่นกันระหว่างคนสองศาสนา ผลสุดท้ายก็มีการแบ่งแยกเป็นสองประเทศ ได้แก่ อินเดียและปากีสถาน ปากีสถานเองก็ถูกคั่นกลางแบ่งออกเป็นสองส่วน จนในที่สุดก็แยกออกมาเป็นบังคลาเทศ และปากีสถาน คองโกก็เป็นอีกประเทศหนึ่ง ที่มีเบลเยี่ยมเป็นเจ้าอาณานิคม ทันทีที่ถอนตัวออกจากประเทศดังกล่าวสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ก็เกิดขึ้น มีการเสียชีวิตและเลือดเนื้ออย่างมากมาย ประเทศเมียนมาร์ในปัจจุบันก็ยังไม่สามารถรวมกันเป็นรัฐชาติอย่างถาวรได้หลังจากประเทศอังกฤษถอนตัวออกไป ความขัดแย้งยังคงอยู่มาจนปัจจุบัน
บางประเทศอาจจะโชคดีที่สามารถผ่านการเป็นอาณานิคมได้โดยราบรื่น เช่น ประเทศมาเลเซีย แต่ก็ต้องบังคับให้สิงคโปร์ถอนตัวออกไปเป็นหน่วยการเมืองต่างหาก ขณะเดียวกันความขัดแย้งของคนมาเลเซียเชื้อสายจีนและเชื้อสายมาเลย์ ก็ได้ปะทุจนกลายเป็นความขัดแย้งที่รุนแรงเสียชีวิตและเลือดเนื้อเป็นจำนวนไม่น้อย และแม้จะมีการปกครองแบบประชาธิปไตยก็เป็นที่ทราบกันดีว่ารูปแบบที่เกิดขึ้นในมาเลเซียโดยมีกลุ่มสหพรรคที่เรียกว่าอัมโนเป็นฐานนั้น ก็มีลักษณะแปลกแยกไปจากรูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่แท้จริง
ประเทศที่พยายามสถาปนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยขึ้นนั้น จะพบอุปสรรคและความล้มเหลวคณานัป บางประเทศได้ข้อสรุปว่า ในสภาวะที่ประชาชนยังยากจน ไร้การศึกษา เศรษฐกิจอ่อนแอ ระบบที่ดีที่สุดได้แก่ระบบเผด็จการแบบอ่อนๆ ขณะเดียวกันก็ให้กลไกตลาดหรือระบบเศรษฐกิจเสรีกึ่งผูกขาดเป็นฐานของเศรษฐกิจชาติ ความคิดดังกล่าวนี้เกิดขึ้นระหว่างสงครามเวียดนามและประเทศทั้งหลายในเอเชียอาคเนย์ต่างก็รับเป็นแบบอย่าง ผู้นำที่มีลักษณะกึ่งเผด็จการ เช่น ลีกวนยู ซูฮาร์โต มาร์กอส เนวิน และรัฐบาลทหารในประเทศไทย ต่างมีความใกล้เคียงกันในวิธีคิด การมองปัญหา และรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจซึ่งได้แก่การพยายามขจัดความยากจนด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมทดแทนการสั่งเข้า อันเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นซึ่งผูกโยงกับประเทศเศรษฐกิจของโลกเสรีโดยมีสหรัฐฯ เป็นฐานใหญ่
ในกรณีของประเทศไทยนั้น การพัฒนาเศรษฐกิจและการส่งเสริมการศึกษาซึ่งเกิดขึ้นในยุครัฐบาลกึ่งเผด็จการกึ่งประชาธิปไตย โดยมีเศรษฐกิจเสรีแบบกลไกตลาดกึ่งผูกขาด ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ในเศรษฐกิจ สังคมและการบริหารของประเทศ ในขณะเดียวกันการพัฒนาการเมืองที่เป็นระบบการเมืองแบบเปิด ตามไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในมิติต่างๆ ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว และนี่คือที่มาของเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งทำให้รัฐบาลทหารขณะนั้นต้องลงจากอำนาจ และแม้จะพยายามที่จะกลับมาสู่อำนาจใหม่ในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ก็ไม่สามารถดำรงอยู่ต่อไปได้อย่างต่อเนื่องจนนำไปสู่การออมชอม หรือ “การประสานประโยชน์” ในรูปของประชาธิปไตยครึ่งใบ ซึ่งได้มีการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการมาจนถึงยุคที่เป็นประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเกิดขึ้นด้วยจุดประสงค์เพื่อการปฏิรูปการเมือง เนื่องจากปัญหาที่เกี่ยวเนื่องจากการใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง การฉ้อราษฎร์บังหลวง และการละเมิดกฎหมาย ละเมิดหลักนิติธรรม ที่สำคัญ การไร้เสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลผสม และการที่นายกรัฐมนตรีไม่สามารถแสดงความเป็นผู้นำทางการเมืองได้เนื่องจากความจำเป็นในการออมชอมกับพรรคร่วมรัฐบาลและ ส.ส. ในพรรคของตนเอง การปฏิรูปการเมืองจึงเกิดขึ้นท่ามกลางปัญหาดังกล่าว ขณะเดียวกันวิกฤตทางเศรษฐกิจอันเกิดจากการแตกของเศรษฐกิจฟองสบู่ก็มีส่วนผลักดันให้เกิดความจำเป็นที่จะต้องมีการปฏิรูปการเมือง โดยหวังว่าระบบการเมืองที่พัฒนาจากการปฏิรูปจะสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้
แต่ข้อเท็จจริงก็คือว่า การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นทั้งฉบับเป็นการสร้างโครงสร้างและกระบวนการทางการเมืองขึ้นใหม่โดยใช้กฎหมายเป็นตัวนำ ไม่ใช่คาถาที่จะเสกให้สำเร็จได้อย่างอัศจรรย์ เพราะความสำเร็จของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยขึ้นอยู่กับตัวแปรหลักๆ 3 ตัวแปร ไม่ใช่เพียงการอาศัยรัฐธรรมนูญแต่เพียงประการเดียว ตัวแปรสามตัวก็คือ สภาพสังคมและเศรษฐกิจต้องเอื้ออำนวยต่อการปฏิรูปและการพัฒนาระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตย เช่น คนต้องมีระดับการศึกษาสูงในระดับหนึ่ง มีความตื่นตัวทางการเมือง มีเขตชุมชนเมืองมากพอ มีรายได้ภายใต้เศรษฐกิจที่มีอุตสาหกรรมในระดับหนึ่ง ทั้งหลายทั้งปวงดังกล่าวนี้จะมีส่วนเสริมการพัฒนาระบบประชาธิปไตย
ตัวแปรที่สองคือ โครงสร้างและกระบวนการ ซึ่งได้แก่ การร่างรัฐธรรมนูญให้มีระบบการเลือกตั้ง การเข้าสู่ตำแหน่งอำนาจของฝ่ายบริหาร การควบคุมการใช้อำนาจของฝ่ายบริหาร การทำหน้าที่และการควบคุมฝ่ายนิติบัญญัติ การส่งเสริมตุลาการ การปกปักษ์รักษาสิทธิเสรีภาพของประชาชน การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองด้วยการปกครองตนเอง การแสดงประชาพิจารณ์ ประชามติ ฯลฯ นี่คือตัวแปรที่สอง
ตัวแปรสุดท้ายซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญมากตัวหนึ่งคือ วัฒนธรรมทางการเมืองของประชาชน ซึ่งแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนที่เกี่ยวกับประชาชนและส่วนที่เกี่ยวกับผู้กุมอำนาจทางการเมือง หรือผู้ปฏิบัติงานทางการเมือง ได้แก่ผู้ซึ่งมีบทบาทในทางนิติบัญญัติและบริหาร รวมทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ วัฒนธรรมทางการเมืองของประชาชนต้องเป็นวัฒนธรรมที่มีความตื่นตัวทางการเมือง มีจิตวิญญาณของความเป็นประชาธิปไตย เชื่อในความเสมอภาค เคารพสิทธิของผู้อื่น พร้อมที่จะต่อสู้เพื่อสิทธิของตนเอง มีความยุติธรรม ไม่ขายสิทธิขายเสียง มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ในส่วนที่สองได้แก่ กลุ่มผู้นำทางการเมือง จำเป็นต้องเป็นบุคคลที่มีความเชื่อและศรัทธาอย่างแรงกล้าในระบบประชาธิปไตย มีอุดมการณ์และความมุ่งมั่นทางการเมืองที่จะสถาปนาระบบเพื่อประโยชน์ของมวลชน มีจิตวิญญาณของนักประชาธิปไตย มีการกล่าวเสมอว่า ผู้นำทางการเมืองในอินเดียและฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นระบบประชาธิปไตยที่ประสบความสำเร็จนั้น เป็นผู้ซึ่งมีศรัทธาอย่างแรงกล้าในระบบประชาธิปไตย และมีจิตวิญญาณของความเป็นประชาธิปไตยสูง พฤติกรรมที่แสดงออกจะอยู่ในกรอบของหลักการประชาธิปไตยและกติกาของรัฐธรรมนูญ พฤติกรรมแปลกแยกก็มีอยู่บ้างแต่เป็นข้อยกเว้นมากกว่าเป็นกฎ
ตัวแปรตัวนี้ซึ่งได้แก่วัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยเป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุด ถ้าประชาชนไม่มีวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย ถ้าผู้นำทางการเมืองขาดจิตวิญญาณของความเป็นประชาธิปไตย การปฏิรูปการเมืองและการพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ แม้จะมีตัวแปรอีกสองตัวที่กล่าวมาเบื้องต้นอยู่ครบถ้วนก็ตาม