xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 9 อนุสาวรีย์หมา-อนุสาวรีย์คน

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ


ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมน่ะยอมหมาราบคาบอยู่แล้วครับ แต่คนอื่นสิ ผมไม่แน่ใจ

หากผมจะขอความเห็นท่านว่า บรรดานายกรัฐมนตรีไทยทั้งอดีตและปัจจุบันเฉพาะที่มีชีวิตอยู่ ใครจะมีอนุสาวรีย์ก่อนกัน ท่านก็คงจะตอบตามอัธยาศัย และไม่ด่าผม ใช่ไหม ครับ

แต่ถ้าผมจะเขียนเสียใหม่ว่า บรรดานายกฯเหล่านี้สู้หมาไม่ได้สักคน ตลอดชีวิตนี้หรือเมื่อตายไปแล้ว ไม่มีหวังมีอนุสาวรีย์สักราย หมาเสียอีกเป็นวีรบุรุษ และมีอนุสาวรีย์แห่งความดี เป็นที่ยอมรับ บางท่านอาจจะว่า เออ จริงแฮะ แต่หลายท่านอาจจะอยากกระทืบผม เพราะท่านซื่อสัตย์เหมือนหมา เกรงว่าผมจะไปกระทบเจ้านาย

ผมเองก็คิดว่าการที่นายกฯท่านใดจะมีอนุสาวรีย์ คงจะไม่ใช่เรื่องกล้วยๆ หากจะลองลุ้นดู 1,000 ต่อ 1 ที่พอน่าจะรอง ก็อาจจะเป็นที่ “บรรหารบุรี” ประเทศสุพรรณศิลปะอาชา รายอื่นๆผมว่าเสียเงินเปล่า

ใครว่าอนุสาวรีย์มีกันได้ง่ายๆ การตัดสินว่าจะสร้างอนุสาวรีย์ให้ใครเป็นเรื่องใหญ่นะครับ ไม่ใช่เรื่องเล็ก เป็นการตัดสินใจทางการเมืองสำคัญ ทั้งในระดับล่างและระดับสูง หากใช้แต่อำนาจบังคับเอาตามใจ หรือทำเพื่อจะเลียใครโดยเฉพาะ ก็อาจจะยืนอยู่ได้ชั่วคราวไม่ยั่งยืน ไม่ช้าก็ถูกโค่นลง เหมือนกับรัฐบาลที่ขึ้นต้นเป็นลำไม้ใผ่ นานๆไปเป็นบ้องกัญชา อย่างรัฐบาลสุดยอดประชานิยมของเฟอร์ดินันด์ มาร์กอส เป็นตัวอย่าง
แต่มีหมาที่เป็นวีรบุรุษ หรือวีรสตรีก็ไม่ทราบแน่ ผมใช้คำว่าวีรบุรุษเป็น นปุงสกลึงค์ หรือสมัยใหม่ก็อาจจะเรียกว่า unisex ไม่มีเจตนาจะกีดกันหมาตัวเมียแต่อย่างใด วีรบุรุษหมาได้รับการสร้างเป็นอนุสาวรีย์หลายแห่งในโลก รวมทั้งประเทศไทย หมาเหล่านี้จะอยู่ต่อไปชั่วกัลปาวสาน

ตกลง วันนี้เรามาคลายเครียด ด้วยการดูรูปและอ่านเรื่องเบาๆอนุสาวรีย์วีรบุรุษหมา กันจะดีกว่า

อนุสาวรีย์หมาที่คนไทยคุ้นเคยที่สุด น่าจะได้แก่ อนุสาวรีย์ย่าเหลที่พระราชวังสนามจันท์ จังหวัดนครปฐม ย่าเหลเป็นหมาที่พระมหาธีรราชเจ้า ทรงโปรดปราน จนมีผู้ที่ “เอารูปคน สรวมใส่ คลุมใจผี” เกิดอิจฉา ลอบเอาปืนยิง ผมจะไม่เล่าต่อนะครับ ขอเชิญให้ท่านไปเที่ยวนครปฐม ไปอ่านหรือศึกษาต่อเอาเอง

ผมจะเล่าเฉพาะเรื่องหมาสองตัว ตัวหนึ่งเป็นฝรั่ง กับอีกตัวหนึ่งเป็นเอเชียน ตัวหลังนี้ผมเชื่อว่ามีคนไทยเป็นแสนๆคนเคยได้พบ แต่อาจจะมีไม่กี่คนที่เข้าไปทำความรู้จัก เพราะมัวแต่จะเร่งรีบ กลัวไปซื้อของหรือขึ้นรถไฟไม่ทัน หมาอกิตาหรือหมาญี่ปุ่นตัวนี้มีชื่อว่าฮะจีโกะ มีนิวาสถานอยู่ที่สถานีรถไฟชิบูยา กลางมหานครโตเกียว ใครผ่านไปผ่านมาก็จะเห็นคนไปมุง ”เล่น”กับฮะจิโกะอยู่เป็นกลุ่มๆ ถ้าเป็นกลุ่มหนุ่มสาวก็จะเห็นอากัปกิริยาตาปรอยหรือเคร่งขรึมผิดวัยผิดสังเกต ถ้าเป็นคนแก่บางครั้งจะเห็นความซึมเศร้า หรือควักผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาก็มี

ไม่มีอะไรหรอกครับ หนุ่มสาวเขาไปขอความรักกัน แล้วก็สัญญาว่าฉันจะรักและซื่อสัตย์ต่อเธอจนวันตายเหมือน ฮะจิโกะ ตัวนี้ ส่วนคนแก่ก็คงจะคิดถึงความหลังและคนที่จากไป คนที่อยู่ข้างหลังเฝ้าคอยวาระสุดท้าย ก็ไม่แน่ว่าจะได้พบกันอีกหรือไม่ เหมือนฮะจิโกะ ที่มาคอยนายที่จุดนัดพบ ณ สถานีชิบูยานี้

นายของฮะจิโกะ เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยใกล้ๆ วันหนึ่งในปี 1925 เขาป่วยอย่างกะทันหันและตายที่มหาวิทยาลัย โดยไม่ทันได้กลับมาพบเจ้าหมาน้อยอายุเพียง 2 ขวบที่มาคอยรับนายกลับบ้าน หลังจากนั้น ฮะจิโกะ ซึ่งไม่รู้ว่านายตาย ก็ยังมาเฝ้าคอยรับอยู่ทุกวัน ไม่เว้นฝนตกฟ้าร้องหรือหิมะลงเป็นเวลาเกือบ 10 ปี จนกระทั่งทรุดล้มลงไปกับลมหายใจสุดท้าย
บรรดาผู้โดยสารที่ผ่านไปมาตลอด 10 ปี ซาบซึ้งในความจงรักภักดีอันไม่เสื่อมคลายของฮะจิโกะ จึงพากันสร้างอนุสาวรีย์ให้มัน อนุสาวรีย์นี้สร้างโดยปฏิมากรผู้มีชื่อเสียงนามว่า อันโด เทรุ ในปี 1934 เป็นรูปเท่าตัวจริงของฮะจิโกะ และในปี 1948 ได้มีการปฏิสังขรณ์สร้างใหม่อีกครั้ง โดยปฏิมากรผู้มีชื่อเสียงอีกเหมือนกัน ซึ่งก็ได้แก่ลูกชายของ อันโด นั่นเอง

คราวหน้าไปโตเกียวอย่าลืมไปเยี่ยม ฮะจิโกะ นะครับ ถึงแม้นจะมิได้ไปทำสัญญารัก ก็ไปสาบานว่าจะซื่อสัตย์และมั่นคงในชีวิตต่ออะไรก็ได้ แต่ให้แน่เหมือนฮะจิโกะ ก็แล้วกัน

จากญี่ปุ่นคราวนี้เราไปสก็อตแลนด์กัน ย้อนกลับขึ้นไปอีกกึ่งศตวรรษก่อนเวลาของ ฮะจิโกะ เมื่อจอน เกรย์, เจส และจอน จูเนียร์ สามชีวิตพ่อแม่ลูกย้ายจากชนบทเข้ามาอยู่ใน เอดินบุระ (Edinburgh) ในปี 1850 จอนหางานทำสวนอย่างเดิมไม่ได้ จึงไปสมัครเป็นตำรวจทำหน้าที่พลตระเวนกลางคืน

ทุกคืนทีออกตรวจ จอนจะมีหมาตัวเล็กๆพันธุ์สกาย แทรีเออร์ ชื่อ บ็อบบี้ ตามไปด้วยไม่เคยห่างกาย จนกระทั่งกลายเป็นภาพคุ้นสายตาของผู้คน คืนแล้วคืนเล่า ปีแล้วปีเล่าไม่ว่าฝนตกฟ้าร้องหรือหิมะโปรยปราย จนกระทั่งจอน เป็นวัณโรคตายในปี 1858 เขาถูกนำไปฝังที่สุสาน Greyfriars Kirkyard ที่นี่เองที่ตำนานของ Greyfriars Bobby เริ่มขึ้น

เจ้าบ็อบบี้ เปลี่ยนหน้าที่มาเป็นคนเฝ้าหลุมฝังศพของนาย วันแล้วคืนเล่าไม่ยอมห่าง ถึงเวลาเที่ยงวันก็ออกไปนอกสุสาน ไปกินอาหารที่ผู้ใจบุญจัดหาให้ พนักงานสุสานจะพยายามไล่อย่างไร ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง แม้จะ “อุ้ม” ไปทิ้งไกลๆ เจ้าบ็อบบี้ ก็ไม่ยอมลดละ หาทางกลับมานั่งอยู่กับนายจนได้ จนกระทั่งคนยอมแพ้ ต้องจัดเพิงหมาแหงนให้มันพักติดกับหลุมศพของจอน เกรย์ นั่นเอง

ในปี 1867 เมืองเอดินบุระ ออกเทศบัญญัติให้หมาทุกตัวมีเข้าของละทำป้ายแขวนคอ ท่านเซอร์วิลเลียม เชมเบอร์ ตำแหน่งเป็นลอร์ด โปรโวสต์แห่งเอดินบุระ ก็กรุณา ซื้อบัตรและทำป้ายแขวนคอให้เรียบร้อยว่า "Greyfriars Bobby from the Lord Provost 1867 licensed"

เจ้าบ็อบบี้ เฝ้าอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งมันแก่ตายตามนายไปในปี 1872 รวมเป็นเวลาที่มันเฝ้าอยู่ถึง 14 ปี

Baroness Angelia Georgina Burdett-Coutts สตรีผู้ทรงศักดิ์ประทับใจในความจงรักภักดีของบ็อบบี้ จึงขออนุญาตเทศบาลสร้างน้ำพุพร้อมทั้งรูปปั้นของบ็อบบี้อยู่ข้างบน สร้างเสร็จและเปิดผ้าคลุมเมือเดือนพฤศจิกายน 1873 ทุกวันนี้นักท่องเที่ยวที่นั่งรถชมเมืองเอดินบุระ จะต้องนั่งผ่านและฟังมัคคุเทศก์บรรยายถึงเจ้าบ็อบบี้ ซึ่งมีอนุสาวรีย์อยู่ข้างถนน ไม่ห่างจากสุสานของนายเท่าใด เจ้าหมาน้อยยืนสง่า อยู่ ณ ที่นั้นกว่า 150 ปีแล้ว

คำจารึกที่อนุสาวรีย์เขียนว่า "Greyfriars Bobby - died 14th January 1872 - aged 16 years - Let his loyalty and devotion be a lesson to us all".
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ตัวอย่างที่บริสุทธิ์ผุดผ่องของหมา ทำให้ผมไม่อยากพูดอะไรที่เป็นแอนตี้ไคลแม็กซ์ แต่ไหนๆก็ไหนๆ เอาเสียหน่อยนะครับ

กาละครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว ในสมัยที่สื่อยังมิได้นำความวิบัติมาสู่ภาษาไทย ด้วยการเรียกทหารใหญ่ ตำรวจสูงว่า บิ๊กนั่นบิ๊กนี่ เช่น บิ๊กจ็อด บิ๊กหลี เป็นอาทิ วันหนึ่งท่านจอมพลคนที่สาม ก็ได้จูงสุนัขน้อยมากระดิกหางและนั่งสยบแทบเท้าท่านจอมพลคนหัวปี พลางเอ่ยเอื้อนปฏิญญาว่า “กระผมจะซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อใต้เท้าเหมือนหมาน้อยตัวนี้”

ไม่กี่ปีต่อมา ท่านจอมพลคนที่สามก็ลากรถถังออกมาเต็มกรุงเทพฯ ทำให้ท่านจอมพลคนหัวปีขับรถหนีออกทางเขมรแทบไม่ทัน ในที่สุดท่านก็ต้องไปตายต่างแดน โดยไม่มีหมาอย่างฮะจิโกะหรือบ็อบบี้ ไปเฝ้าสักตัว

คนอะไร หน้าไม่อาย เอาความสัตย์ซื่อของหมาไปเป็นเครื่องมือหลอกคนอื่นได้!

ผมอยากจะจบด้วยการแปลงบทโคลงที่สวยงาม...... แด่ชีวิตหมาที่สวยงาม

“ ชีวิตสุนัขไซร้ เตือนใจ เรานา
ว่าอาจอยู่เกินคน เลิศได้
แลยามเมื่อบรรลัย ทิ้งซึ่ง
รอยบาทเหยียบแน่นไว้ แทบพื้นทรายสมัย ”

ขอขอบคุณหมาที่ทิ้งบทเรียนอันสวยงาม และตำนานที่เล่าขานไม่มีวันจบไว้ช่วยสอนเหล่ามนุษย์และอมนุษย์ทั้งหลาย สาธุ
******

To his dog, every man is Napoleon; hence the constant popularity of dogs. ในสายตาหมา ทุกๆคนที่เป็นนายของมัน คือ พระเจ้า นโปเลียนมหาราช ด้วยเหตุนี้เองหมาจึงเป็นที่นิยมไม่เสื่อมคลาย--Aldous Huxley

กำลังโหลดความคิดเห็น