xs
xsm
sm
md
lg

ฉ้อราษฎร์บังหลวง

เผยแพร่:   โดย: แสงแดด

เสียงกระหึ่มเริ่มดังมากกว่าแต่ก่อนถึง "การทุจริตคอร์รัปชัน" หรือ "คดโกง" แต่ "แสงแดด" ชอบที่จะเรียกว่า "ฉ้อราษฎร์บังหลวง" มากกว่าเพราะชัดเจนที่สุด และแฝงไว้ซึ่ง "ความคลาสสิก" ที่ต้องค่อยๆ ฟังและตีความหมายให้ลึกซึ้ง โดยมีความหมายว่า "ขี้โกงประชาชนราษฎรและบดบังฮุบเอาของหลวง" อีกต่างหากเรียกว่า "โกงทั้งราษฎร-โกงทั้งราชการ"

เป็นเรื่อง "แปลกแต่จริง" ที่ทุกยุคทุกสมัย กรณี "คดโกง" นั้นมีการกล่าวถึงและถือเป็น "คัมภีร์" ของรัฐบาลทุกรัฐบาลที่จะต้องประกาศนโยบายชัดเจนว่าจะต้องทำ "สงครามปราบปรามทุจริตคอร์รัปชัน" แต่รัฐบาลไหนรัฐบาลนั้นไม่เห็นสัมฤทธิผลสักครั้งและก็บ่อยมากที่รัฐบาลไหนรัฐบาลนั้นถูกกล่าวหาและประณามเสียเองอีกต่างหากว่า "รัฐบาลโกง!" แต่ "ตัวเบิ้ม" มัก "รอดตัว" ทุกครั้งมีแต่ตัวเล็กๆ หรือเจ้าหน้าที่ระดับล่างเท่านั้นที่ถูก "สังเวย!"

การทุจริตคอร์รัปชันว่าไปแล้ว "พัฒนา" มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ "โกงซึ่งหน้า" ที่เรียกว่า "รีดไถ!" จน "ลึกลับ-สลับซับซ้อน" และความจริงที่ต้องยอมรับคือ "ความเนียน-แยบยล" กับขบวนการ "ฉ้อราษฎร์บังหลวง" ในปัจจุบันที่ใช้ "นโยบาย และ/หรือ กฎหมาย" มาเป็น "กรอบ" และ "วิธีการ" ในการโกง ซึ่งจับได้ไล่ทันยากมาก นอกเหนือจากนั้น "คนโกง" ยังอาศัยช่องว่างของกฎหมายมาดำเนินธุรกิจการเมืองใน "เชิงทับซ้อน" ได้อย่างไม่น่าเชื่อว่าสังคมจะยอมรับได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่า "ขัดประโยชน์" ในทางหลักการอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการโอนหุ้นก็ดีหรือ "ตั้งตัวแทน (NOMINEE)" ให้ถือหุ้นแทน อะไรทำนองนั้น

ทั้งนี้ในเชิงกฎหมายหรือนิติศาสตร์ หรือทางรัฐธรรมนูญนั้นสามารถปฏิบัติได้ แต่ในทางรัฐศาสตร์ที่เกี่ยวกับ "จริยธรรม-ชอบธรรม-คุณธรรม" แล้วไม่น่าทำได้ เพราะขัดต่อหลักธรรมาภิบาลที่ดี อย่างไรก็ตามความเป็น "นิติธรรม" ก็น่าจะต้องคำนึงถึงบ้างว่าความเข้มงวดทางกรอบกฎหมายนั้น จำเป็นแต่ก็ต้องมีความเหมาะสม และ/หรือ คำนึงถึงความเป็นธรรมบ้าง

บ้านเมืองเรามีการทุจริตไต่ตั้งแต่ระดับรากหญ้า "โกง-กิน" กันเริ่มตั้งแต่เงินเพียง 10-20 บาท รับเงิน "ใต้โต๊ะ" ก็เอากันแล้วจนไปถึง 100-200 บาท ซึ่งก็ทำกันมายาวนานชั่วนาตาปี และก็ไต่ไปสู่ระดับ "โกง" หลักสิบ หลักร้อยจนถึงหลักพันล้าน ด้วยการจ่าย "ค่าคอมมิชชัน" ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งเรียกว่า "ค่าอาหาร" บ้าง "ค่าเค" บ้าง แล้วแต่จะเรียกขานแต่จริงๆ แล้วก็คือ "ค่าตั๋ว-ค่าคอมมิชชัน" หรือจะให้เอ่ยสุดสุดไปเลยก็คือ "ทุจริต-โกง" หรือ "ฉ้อราษฎร์บังหลวง" นั่นเอง

แต่ "ฉ้อราษฎร์บังหลวง" ในปัจจุบัน ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า "สลับซับซ้อน-แยบยล" อย่างมาก ไม่ตรงไปตรงมาเหมือนในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ขบวนการตลาดหุ้นตลาดทุน" จะเป็นช่องทางสำคัญในการ "ทุจริต" และไม่สำคัญเท่ากับ "การฟอกเงิน" ในขบวนการเช่นนี้ "จับได้ไล่ทัน" ยากมากๆ เพราะมี "คนกลาง" หรือที่เรียกว่า BROKER แถมมี "ตัวแทน" หรือ NOMINEE มาถือหุ้นแทนอีก

การโกงในลักษณะนี้เรียกว่า "โจรใส่สูท-โจรเสื้อนอก" แต่คำศัพท์ทางอาชญากรรมเรียก "อาชญากรรมเชิ้ตปกขาว" หรือ WHITE-COLLAR CRIME เพราะดูภายนอกจะเนี้ยบไม่มีท่าทางของความเป็นคนคดโกงแต่อย่างใด เรียกว่า "ตบตา" ผู้คนได้ทั่วบ้านทั่วเมือง ส่วนอาชญากรรมระดับล่างหรืออาชญากรรมกระจอกนั้น เรียกว่า "อาชญากรรมเชิ้ตปกฟ้า" หรือ BLUE-COLLAR CRIME อาชญากรรมจำพวกนี้ "ถูกจับได้" และ "ติดคุก" ตลอดเพราะมันสมองไม่ไบรท์หรือฉลาด "คิดแยบยล-คิดหลายชั้น" ไม่เป็น

"อาชญากรรมทางเศรษฐกิจ" ทุกวันนี้ ต้องยอมรับว่า "เข้มข้น-รุนแรง" มากกว่าอดีตอย่างมาก จะเรียกว่า "ปล้น-จี้" กันชนิด "กลางวันแสกๆ" เลยก็ว่าได้ ไม่ใช่ชนิดที่ "ซุ่มดักรอ" ไม่มีแล้ว หรือกล่าวอย่างง่ายๆ ก็หมายความว่า "เอาปืนจี้พุง!" กันเลย ในกรณีเช่นนี้หมายความว่า แต่ละโครงการนั้นจะขอค่าคอมฯ กันซึ่งๆ หน้า ถ้าไม่ให้ "โครงการไม่เกิด!" และไม่สำคัญเท่ากับว่าขอเบื้องต้นทันทีร้อยละ 20-30 ก่อนที่จะเซ็นอนุมัติ นอกจากนั้น "เบี้ยบ้ายรายทาง" อีกไม่รู้เท่าไหร่ จุกจิกตลอด สิริรวมแล้วบางโครงการที่สูงถึงพันล้านหมื่นล้าน นักธุรกิจภาคเอกชนต้องจ่ายสูงถึง 400-500 ล้าน จนกว่าโครงการจะแล้วเสร็จ เรียกว่า นักธุรกิจถูก "เบียดเบียน-รังแก" หรือ "ฉ้อราษฎร์" แถม "บังหลวง" อีกต่างหาก แทนที่โครงการจะสามารถประหยัดไปได้หลายร้อยหลายพันล้านบาทเพื่อเข้าหลวง แต่กลับไปเข้ากระเป๋า "นักการเมือง-ผู้มีอำนาจ"

ปัจจุบัน "คนรู้มากโกงมาก" เพราะ "รู้กลโกงมาก" และที่น่าเจ็บใจก็คือ "คนซื่อรู้ไม่ทัน" ถูกโกงตลอดศกแต่ "คนซื่อรู้ทัน" แต่บังเอิญ "รู้ไม่ทัน-คิดไม่ทันกลโกง" จน "เสียตัว" ตลอดเวลา ทั้งนี้ "การข่มขู่" นั้นอันตรายและน่ากลัวที่สุดชนิด "โจ๋งครึ่ม!" ก็แล้วกัน

การเอาผิดคนโกงชนิดถึง "ต้นตอ" นั้นลืมได้เลย จะได้ก็แต่ปลาซิวปลาสร้อยหรือ "หน่วยกล้าตาย" ที่ชาวบ้านเรียกว่า "แพะ" เท่านั้น ส่วน "หัวกะทิ" หรือ MASTER MIND ไม่มีโดยเด็ดขาด มีแต่ "เสวยสุข" รอดตัวทุกทีไปตั้งแต่อดีตกาลจนถึงยุค "ดิจิตอล" ในปัจจุบัน

ปรากฏการณ์ "ทุจริต-คดโกง-ฉ้อราษฎร์บังหลวง" นี้ ขอฟันธงเลยว่าไม่มีทางกำจัดให้สิ้นซากถอนรากถอนโคนได้เด็ดขาด เพราะดังที่กล่าวไว้แล้วว่า "คนฉลาด" ก็จะคิดวิธีพลิกแพลงค้นหาสารพัด "วิธีเนียน-แยบยล" มาคดโกงได้ตลอดศก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง นอกเหนือจาก "โกงซึ่งหน้า-ปล้น" กันจะจะกับอภิมหาโปรเจกต์แล้ว ปัจจุบันยังซุกอยู่ในวงการ "ตลาดหุ้น-ตลาดทุน" เข้าไปอีก เรียกว่า "ปั่น" กันภายในและไม่มีทางจับได้ไล่ทันอย่างเด็ดขาด

ทั้งนี้สภาพการณ์ที่แท้จริงที่เกิดขึ้นนั้นคือ ประชาชนที่ทำมาหากินแบบหาเช้ากินค่ำ จนไต่ระดับมาถึงนักธุรกิจเอกชนที่ดำเนินธุรกิจระดับหลักล้านจนถึงหลักร้อยล้านพันล้าน หรือหมื่นล้านนั้นมักถูก "เบียดเบียน-รังแก" ตลอดเวลา ถ้าอาณาเขตของ "เมืองขึ้น" ไม่ถูกยอมให้ตีมากกว่านี้หรือพูดภาษาชาวบ้านก็ถือว่าประชาชนโดยทั่วไปนั้นมักถูก "เอารัดเอาเปรียบ" ตลอดกาล ซึ่งส่วนใหญ่เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เจอ "ผู้มีอำนาจใช้อำนาจรัฐ" มา "ข่มขู่ตีเมืองขึ้น" ถ้าไม่ได้รับการตอบสนองก็จะถูก "แกล้ง" จนไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้เลย

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้อ่านเอกสารประกอบการปาฐกถาพิเศษเรื่อง "บ้านเมืองใสสะอาด ต้องกำราบ คอร์รัปชัน" โดยท่านอาจารย์ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการมูลนิธิประเทศไทยใสสะอาด ซึ่งช่างสอดรับและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันอย่างบังเอิญจริงๆ สาระสำคัญแบ่งออกเป็นสองส่วน

การป้องกันและปราบปรามการทุจริตนั้นว่าไปแล้วได้มีการดำเนินการมาหลายทศวรรษ แต่ก็ต้องขอฟันธงตรงๆ ว่า "ไม่ค่อยสัมฤทธิผล" สักเท่าใด แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ เรามีองค์กรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับที่ 16 "ฉบับประชาชน" แต่ก็ดูเสมือนว่าไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าใดนัก แถมถูกนินทาครหาด้วยว่า "ถูกแทรกแซง" ทางการเมือง แม้แต่องค์กรเครือข่ายประชาชนต้านทุจริตคอร์รัปชัน ก็ได้แต่เพียงส่งเสียง "เย้ว...เย้ว!" หรือ "ขู่!" เท่านั้น แต่ก็ไม่สามารถหยุดหรือกำจัด "ขบวนการโกง" ได้แต่อย่างไร

เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ประกาศดีเดย์ลั่นว่าวันที่ 3 ตุลาคม ปีนี้จะทำสงครามกับการทุจริตคอร์รัปชันอย่างเป็นทางการ และเลื่อนมาเป็นวันที่ 30 กันยายน แทน ทางมูลนิธิเลยเสนอขอให้รัฐบาลนั้นกำหนด "มาตรฐานแห่งชาติ" ว่าด้วยการประมูลโครงการก่อสร้าง ในทุกขั้นตอนตั้งแต่เกิดจนโครงการนั้นแล้วเสร็จ และกำหนดให้มีการเปิดเผยข้อมูลโครงการและข้อมูลการประกวดราคาโครงการ เพื่อแก้ไขการทุจริตในโครงการก่อสร้าง สำหรับในการแก้ไข "ปัญหาการคอร์รัปชันเชิงนโยบาย" รัฐบาลต้องสร้างกระบวนการตัดสินใจเชิงนโยบายด้วยความโปร่งใส และเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามาตรวจสอบได้รวมทั้งส่งเสริมการวิจัย และรณรงค์สร้างความเข้าใจในเรื่องคอร์รัปชันเชิงนโยบายอย่างกว้างขวาง (เนื้อความเรียงมาจากการปาฐกถาพิเศษ : นสพ.มติชน)

ส่วนการเสริมสร้างจริยธรรมนำเมืองไทยใสสะอาดนั้น จะดำเนินอย่างเป็นรูปธรรม 4 มิติ ซึ่งได้พิจารณาศึกษาดูแล้ว "น่าเชื่อ-น่ามั่นใจ" ว่าจะสัมฤทธิผลได้บ้างไม่มากก็น้อย แต่ก็อดห่วงไม่ได้ว่าระยะเวลาที่ดำเนินการนี้ถึงสิบปี เกรงว่า "จะแรงต้นแผ่วปลาย" และ "ขาดความต่อเนื่อง" แต่คงไม่สำคัญเท่ากับคำกล่าวที่ว่า "ขุดสันดอนขุดได้ แต่สันดานขุดยาก!"

ประเด็นหลักสำคัญสุดท้ายที่ "เราคนไทย" ทุกคนจะต้องน้อมรับด้วยเกล้าคือ "คิดดี ทำดีตามรอยพระยุคลบาท เสริมสร้างเมืองไทยใสสะอาด" ซึ่งคงไม่ต้องมีการแปลเป็นอื่นนอกจากร่วมประพฤติปฏิบัติ ร่วมใจตามพระราชดำรัสและเบื้องพระยุคลบาท ถวายแด่ในหลวงของเรา

ความสงบสุขร่มเย็นของชาติบ้านเมืองนั้น "คนโกงต้องเลิกโกง" หรือ "คนคิดโกงต้องเลิกคิด!" แต่ที่สำคัญที่สุดคือ "ใจไทยใสสะอาด" ซึ่งอาจารย์ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ขออัญเชิญพระกระแสรับสั่งในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานไว้ว่า

"...ผู้ที่มีความสุจริตและบริสุทธิ์ใจ แม้จะมีความรู้น้อยก็ย่อมทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมได้มากกว่าผู้ที่มีความรู้มาก แต่ไม่มีความสุจริต ไม่มีความบริสุทธิ์ใจ..."

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยการ "ทุจริตคอร์รัปชัน" มากมายเพียงนี้ และทรงตรัสบ่อยมาก เราคนไทยทุกคนจะไม่ร่วมสนองพระองค์ท่านปราบการทุจริตคอร์รัปชันบ้างหรือ หรือแม้กระทั่ง "คนขี้โกง!" ก็ยังไม่สำนึกเสียที!
กำลังโหลดความคิดเห็น