ปลวกตัวแรกของโลกถือกำเนิดเมื่อประมาณ 220 ล้านปีมาแล้ว การขุดพบซากฟอสซิลของปลวก โดย E.M. Bordy แห่งมหาวิทยาลัย Witwatersrand ในแอฟริกาใต้ทำให้นักชีววิทยาสัตว์ดึกดำบรรพ์รู้ว่าปลวกโบราณมีรูปร่างที่ละม้ายคล้ายคลึงแมลงสาบปัจจุบันมาก แต่มีขนาดเล็กกว่า และมีผิวอ่อนนุ่มกว่า ถึงแม้โลกทุกวันนี้มีปลวกมากกว่า 2,000 ชนิด แต่ก็มีเพียงไม่กี่ชนิดที่ชอบอาศัยอยู่ในเนื้อไม้ของอาคารบ้านเรือน ซึ่งนับเป็นภัยต่อที่อยู่อาศัย เพราะปลวกจะกัดกินสรรพสิ่งที่ทำด้วยไม้จนหมด และนั่นก็หมายความว่า เจ้าของบ้านจะต้องอพยพออกจากบ้านในที่สุด
ปลวกเป็นสัตว์สังคมที่ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง มันทำมาหากินและดูแลกันอย่างเป็นทีม ลักษณะนิสัยเช่นนี้ทำให้มนุษย์หรือสัตว์อื่นๆ ปราบปรามหรือกำจัดมันได้ยาก ดังนั้น เวลาจะสร้างบ้าน เจ้าของบ้านควรใช้วิธีฉีดสารเคมีตามรังของมันที่อาจอยู่ในตอไม้หรือเศษไม้ใต้ดินให้ทั่ว เพื่อจะได้มั่นใจว่าปลวกตายหมด เพราะเหตุว่ายากำจัดปลวกเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิตซึ่งหมายถึงมนุษย์ด้วย ดังนั้น การพ่นยากำจัดปลวกจึงต้องดำเนินไปอย่างระมัดระวังและสม่ำเสมอ โดยไม่ต้องรอให้แมลงเม่า ซึ่งเป็นปลวกในระยะสืบพันธุ์ต้องบินว่อนออกมา เพราะถ้าถึงเวลานั้น ทุกอย่างที่เป็นชิ้นส่วนของบ้านก็ตกอยู่ในภาวะอันตรายเรียบร้อยแล้ว
การใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในจอมปลวก และใต้ดินทำให้เราไม่ได้ศึกษาธรรมชาติของปลวกอย่างใกล้ชิด จนทำให้คนหลายคนคิดว่าปลวกคือ มดขาว แต่ในความเป็นจริงปลวกและมดเป็นสัตว์คนละชนิดกัน เพราะมดเป็นสัตว์ในอันดับ Hymenoptera และปลวกอยู่ในอันดับ Isoptera ทั้งนี้เพราะปีกของมดสั้น และมีขนาดไม่เท่ากัน แต่ปีกของปลวกยาวและใหญ่เกินตัว อีกทั้งมีขนาดเท่ากันด้วย นอกจากความแตกต่างเรื่องปีกแล้ว สรีระส่วนที่เป็นเอวก็แตกต่างกัน คือมดมีเอว แต่ปลวกไม่มี และเวลามดตัวผู้ผสมพันธุ์กับราชินีมดแล้ว มันจะตายในเวลาต่อมาอีกไม่นาน ส่วนปลวกตัวผู้เมื่อได้เสพสมกับราชินีปลวกแล้ว มันจะช่วยกันสร้างอาณาจักรปลวกให้มีบริเวณเพียงพอสำหรับให้ลูกปลวกเจริญเติบโต เพราะราชินีปลวกที่เติบโตเต็มที่อาจมีลำตัวยาวตั้งแต่ 9-12 เซนติเมตร และเวลาตั้งครรภ์ มันจะเดินไปไหนมาไหนไม่ได้ ถึงกระนั้นมันก็ไม่อดอาหารตาย เพราะมันมีปลวกงานที่มีนิสัยขี้อายแต่ขยันขันแข็งเดินหน้าหาอาหารมาให้ราชินีของมันเสวยตลอดวัน และมันยังช่วยทำความสะอาดตัวให้ราชินีของมันด้วย โดยการเลียตามตัวตลอดเวลา และเมื่อราชินีปลวกวางไข่แล้ว ปลวกงานก็จะขนไข่ไปเรียงให้เป็นที่เป็นทาง และหาอาหารมาเลี้ยงปลวกอ่อนที่ยังช่วยตัวเองไม่ได้ด้วย นักชีววิทยายังพบอีกว่า ปลวกบางชนิดรู้จักทำสวนรา ซึ่งให้ cellulose อันเป็นอาหารโปรดของมัน โดยมันจะขนใบหญ้าใบไม้มาวางกองจนใบไม้กลายสภาพเป็นรา อนึ่งราที่กำลังเจริญเติบโต มันจะคายไอน้ำออกมา ทำให้ความชื้นของบรรยากาศในรังอยู่ที่ระดับพอดีด้วย
ส่วนราชาปลวกนั้น ไม่ต้องทำมาหากินใดๆ เพราะอาณาจักรปลวกได้กำหนดหน้าที่หาอาหารให้ปลวกงานทำแล้ว มันจึงมีหน้าที่อย่างเดียวเท่านั้น คือสืบพันธุ์กับราชินีปลวกในเวลากลางคืน ซึ่งเป็นยามที่ศัตรูปลวกอันได้แก่ มด แมลงเต่าทอง ตัวต่อ กิ้งก่า ตะกวด ตะขาบ และคนนอนหลับพักผ่อน ทำให้ประสิทธิภาพในการสร้างปลวกอ่อนของมันไม่ถูกกระทบกระเทือน
ปลวกทหารเป็นปลวกอีกประเภทหนึ่งที่น่าสนใจ ปลวกประเภทนี้มีเขี้ยวสำหรับต่อสู้ศัตรูเช่น มดที่ชอบขโมยไข่ปลวกไปกิน ถึงแม้มดจะมีขนาดใหญ่กว่า และปลวกไม่มีตาจะเห็นข้าศึก แต่ปลวกทหารก็สามารถป้องกันรังของมันได้อย่างไม่ย่อท้อ โดยมันจะใช้เขี้ยวกัดแล้วปล่อยยางเหนียวๆ ออกมาตามตัวมด ซึ่งจะส่งกลิ่นล่อให้ปลวกทหารตัวอื่นๆ เข้ามากลุ้มรุมกัดมดที่บุกรุกรังมันจนตาย
อาณาจักรปลวกมีการปกครองแบบสมบูรณาสิทธิราชย์ คือมีราชินีปลวกเป็นเจ้าแม่ผู้ทรงอำนาจสูงสุด เพราะเจ้าแม่ปลวกบางพันธุ์อาจมีอายุยืนนานถึง 100 ปี ดังนั้น การมีประสิทธิภาพสูงในการผลิตปลวก จึงทำให้สมาชิกปลวกมีจำนวนเพิ่มขึ้นๆ ตลอดเวลา และนั่นก็หมายความว่า รังปลวกจะต้องมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีปัญหาใดๆ เพราะปลวกงานมีความสามารถด้านสถาปัตยกรรมสูง โดยมันจะขนดินจากใต้ดินขึ้นมาบนดิน และวางให้เป็นกองแล้วใช้น้ำลายเป็นตัวเชื่อมเนื้อดิน จนได้จอมปลวกที่อาจสูงถึง 7 เมตร และนั่นก็หมายความว่า ถ้ามนุษย์จะเก่งเท่าปลวกในการสร้างบ้าน เราต้องสร้างตึกให้สูงเท่าดอยอินทนนท์ การไม่มีตาจะดู ทำให้ปลวกไม่รู้แม้แต่น้อยว่ารูปร่างในภาพรวมของรังมันมีหน้าตาอย่างไร แต่ในรายละเอียดเล็กน้อยมันรู้ดีเช่น มันรู้ว่ามันต้องสร้างรังให้เอียงเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำท่วมขัง และรังของมันต้องมีรูระบายอากาศเข้าออก อีกทั้งรูต้องมีลิ้นปิดเปิดให้ความชื้นภายในรังอยู่ที่ระดับพอดี สำหรับปลวก 2 ล้านตัวด้วย ทั้งๆ ที่ปลวกเหล่านี้หายใจก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาชั่วโมงละ 40 ลิตร
ความสามารถด้านกินของปลวกก็เป็นเรื่องมหัศจรรย์ เพราะมันกินได้ทั้ง cellulose และยางที่หุ้มสายโทรศัพท์หรือสายไฟฟ้า และในยามที่อาหารขาดแคลน มันก็อาจกินญาติที่อ่อนแอและลูกอ่อน หรือเวลาราชินีปลวกสิ้นพระชนม์ ปลวกบริวารก็จะจับซากราชินีมาสังเวยกินกัน
ในวารสาร Nature ฉบับที่ 415 ประจำวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2545 M. A. Merbach แห่งมหาวิทยาลัย Wolfgang Goethe ในประเทศเยอรมนี กับคณะได้รายงานว่า ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง Nepenthes albomarginata ซึ่งตามปกติจะหาอาหารโดยวิธีล่อสัตว์ขนาดเล็กเช่น มดให้ตกลงไปในโพรงหม้อ แล้วมันก็ขับน้ำย่อยออกมาย่อยเหยื่อที่เคราะห์ร้ายนั้น ใช้ขน (trichome) ที่ขึ้นตามบริเวณขอบปากหม้อล่อปลวก Hospitalitermes bicolor ให้เดินไปสู่ความตาย เพราะปลวกชนิดนี้เวลาเห็นขนขาวที่ขอบปากหม้อ มันจะหันกลับมาบอกเพื่อนปลวกให้เดินไปกินขนเหล่านั้นจนบริเวณขอบปากหม้อโล่งและลื่น ทำให้ปลวกทั้งหลายร่วงตกลงในหม้อ ถึงชั่วโมงละ 22 ตัว และเมื่อขนบริเวณขอบปากไม่มีแล้ว ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงต้นนั้น ก็ไม่เป็นที่พึงประสงค์ของปลวกใดๆ อีกต่อไป งานวิจัยนี้มีความสำคัญตรงที่ได้พบว่า N. albomarginata เป็นพืชกินสัตว์ชนิดแรกที่ใช้เนื้อเยื่อของตนล่อสัตว์ให้ตกเป็นเหยื่อ
ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences ฉบับที่ 99 หน้า 6,838 ปี พ.ศ. 2545 J. Traniello แห่งมหาวิทยาลัย Boston ในสหรัฐอเมริกาได้รายงานว่า ปลวกมีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคเหมือนมนุษย์ และนี่ก็คือเหตุผลหลักที่ทำให้สัตว์สังคมชนิดนี้มีอายุยืนนานนับ 200 ล้านปี โดย Traniello ได้อ้างถึงกรณีมดที่เวลาตายลง มดตัวอื่นๆ จะช่วยกันขนศพมดออกจากรังทันที เพื่อไม่ให้โรคจากมดตายมาคุกคามมดที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือผึ้งเวลาราในรังระบาด มันก็จะรวมกลุ่มกันทำให้บริเวณที่มันเกาะกลุ่มนั้นมีอุณหภูมิสูงจนสามารถฆ่าราได้ นั่นคือสัตว์สังคมเหล่านี้มีวิธีป้องกันโรคระบาดด้วยวิธีต่างๆ กัน ปลวก Zootermorpsis angustieollis ก็เช่นกัน เวลามีโรคระบาด ปลวกที่รอดตายจะมีภูมิคุ้มกัน และมันจะถ่ายทอดภูมิคุ้มกันนี้สู่ปลวกตัวอื่นๆ โดยถ่ายบักเตรีในกระเพาะให้ปลวกอื่นกิน ดังนั้น บักเตรีซึ่งสามารถทำหน้าที่ภูมิคุ้มกัน จึงสามารถผ่านจากปลวกตัวหนึ่งไปสู่ปลวกตัวอื่นๆ ได้
ณ วันนี้ ปลวกกำลังคุกคามอาคารสถานที่อยู่อาศัยของมนุษย์ทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ซึ่งต้องใช้งบประมาณ 45,000 ล้านบาท/ปี ในการต่อสู้ปลวก Formosan การสำรวจทำให้รู้ว่าขณะนี้ปลวก Formosan ในอเมริกามีประมาณ 500,000-3.5 ล้านตัว ปลวกอันตรายพันธุ์นี้ได้ติดมากับเรือจากเอเชียเมื่อประมาณ 60 ปีก่อนนี้ และขณะนี้ได้เข้ามาอาศัยอยู่ตามต้นไม้ ตามบ้านในรัฐทางใต้ และฮาวาย โดยเฉพาะที่เมือง New Orleans มีปลวก Coptotermes formosanus มากเป็นพิเศษ เพราะที่นี่มีอากาศอบอุ่น มีความชื้นสูง และบ้านไม้ในเมืองมักมีเถาวัลย์ปกคลุม
อนึ่งในการต่อสู้ปลวกนั้น คนกำจัดปลวกใช้กล้อง infrared ส่องตามผนัง เพราะรู้ว่าถ้าที่ใดมีปลวกอาศัยอยู่บริเวณนั้น จะมีความร้อนมาก ปลวกจำนวนมากจะแผ่รังสีอินฟราเรดออกมามากซึ่งกล้องสามารถรับได้ นักกำจัดปลวกบางคนใช้วิธีส่งคลื่น microwave ไปกระทบผนัง ถ้าคลื่นกระทบปลวกที่กำลังเคลื่อนที่ คลื่นที่สะท้อนกลับออกมาจะทำให้เจ้าหน้าที่รู้ได้ว่าภายในกำแพงหรือผนังนั้น มีปลวกหรือไม่ และเมื่อรู้ว่าปลวกมีจริงแล้ว หน้าที่ต่อไปคือ กำจัดมันโดยอาจใช้ยาฉีดที่ทำด้วย hexaflumuron ซึ่งจะทำให้ปลวกที่ลอกคราบมีปัญหา เพราะสารเคมีชนิดนี้สามารถทำให้เปลือกหุ้มตัวปลวกไม่แข็งตัว และปลวกก็จะตาย หรือฉีดพ่นด้วย chlorfenapyr ก็เป็นการฆ่าปลวกด้วยสารเคมีอีกวิธีหนึ่ง วิธีการเปลี่ยนแปลงยีน (gene) ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่กำลังได้รับการพิจารณาว่าเป็นวิธีกำจัดที่ดี โดยพยายามเปลี่ยนแปลงตัวอ่อน เป็นปลวกทหารให้หมด เพราะปลวกทหารเป็นหมัน และไม่มีหน้าที่หาอาหาร ดังนั้น ถ้ารังปลวกมีปลวกทหารมาก ปลวกงานก็ต้องหาอาหารมากขึ้นๆ จนในที่สุดปลวกงานก็จะล้มตาย และปลวกทหารก็จะล้มตาย
สุทัศน์ ยกส้าน ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสถาน