เรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อสมานหรือมันถูกเรียกว่า อีหมาน กะหรี่ประจำโรงแรมริมสถานีรถไฟอุดรธานีในสมัยเมื่อ 50- 60 ปีก่อน เพราะมันเป็นผู้หญิงหาเลี้ยงชีพด้วยการขายตัวหรือเป็นกะหรี่ ที่คนส่วนมากจะมองแต่เพียงว่าทำไมมันต้องเป็นกะหรี่หรือหากินด้วยการทำหน้าที่บำบัดความใคร่ให้ผู้ชายแบบนั้น?
ความจริงเรื่องของอีหมานนั้นมันเป็นเรื่องของต่ำที่ไม่ควรจะนำมาเขียน เพราะไม่เป็นเรื่องที่ผู้ดีหรือผู้มีปัญญาทั้งหลายพึงฟังพึงสัมผัส แต่มาถึงวันนี้ผมก็อดไม่ได้ที่จะต้องนำมาเขียน เนื่องจากข่าวการที่เด็กนักเรียนของเราหลังจากเข้าเรียนในตอนเช้าแล้ว ตอนเย็นขากลับทั้งนักเรียนหญิงนักเรียนชายก็พากันนั่งรถเมล์กลับบ้าน ในขณะที่ไม่ต้องเรียนต้องรู้อะไรกันนั้น เด็กชายหญิงเหล่านี้ใช้ที่ว่างตอนหลังของรถเมล์กอดรัดลูบคลำและสมสู่กันอย่างไม่ยี่หระว่ามันจะเป็นที่สำหรับการสมสู่กันหรือไม่ หรือตามรายงานของสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งที่เสนอภาพการมั่วสุมของวัยรุ่นในโรงแรมต่างๆ ในจังหวัดนครศรีธรรมราชอย่างสนุกสนาน โดยไม่คิดไม่คำนึงถึงปัญหาอื่นๆ ของชีวิตนอกจากความสนุกสนานเพียงอย่างเดียว อาจจะต่างจากการเป็นกะหรี่ของอีหมานในสมัยนั้นมาก เพราะไม่มีอะไรต้องแลกเปลี่ยนกันนอกจากการบำบัดความใคร่ของกันและกันเพื่อความเพลิดเพลินเท่านั้น
60 กว่าปีที่อีหมานใช้โรงแรมข้างสถานีรถไฟอุดรฯ เพื่อเอาชีวิตมาขายกินในรูปกะหรี่นั้น ไม่ว่ามันชั่วช้าดีเลวอย่างไรหรือสกปรกโสโครกแค่ไหนก็ตาม จำนวนกะหรี่หรือผู้หญิงไทยที่ขายตัวหากินนั้น ไม่ได้ลดลงมีแต่จะเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
เกือบจะเชื่อได้ว่าทุกตารางนิ้วของแผ่นดินไทย เราอาจจะหากะหรี่ได้ทุกแห่งทุกรุ่นทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นแหล่งค้าวัวค้าควายในสุโขทัยหรือในภาคที่มีการเปิดตลาดค้าควายค้าวัวในภาคอีสานทุกแห่ง ผู้หญิงทุกคนที่นั่นจะพากันหอบเสื่อหอบหมอนเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบำบัดความใคร่กับพ่อค้าวัวควายที่นั่น เพราะไม่มีเพิง กระท่อม หรือโรงแรมสำหรับทำกิจกรรมที่ว่านี้ได้
การที่ผู้หญิงไทยที่เป็นกะหรี่นั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำลายคนทำลายบ้านเมืองประการใดก็ตาม จะเกิดจะมีมาเป็นเวลาช้านานเท่าไรก็ตาม หรือแม้แต่ในความเป็นจริงก็คือ การทำลายชาติทำลายประชาชนและเป็นความเลวร้ายอย่างหนักของประชาชนอีกเรื่องหนึ่ง แต่คนไทยก็ไม่เคยมีใครสนใจ หรือให้การแก้ไขท้วงติงแต่อย่างใด ไม่ว่าคนธรรมดาสามัญหรือเจ้าบ้านผ่านเมืองที่มีหน้าที่ในการปกครองประเทศชาติ แม้ว่าบางพวกอาจจะเก่งไปทุกเรื่องเพราะมีความคิดใหม่ทำใหม่ แต่เรื่องนี้ก็หุบปากเงียบไม่เคยคิดสนใจหรือแก้ไขอย่างใด
ต่างก็เป็นหัวหลักหัวต่อกันไปทั้งนั้น
ในขณะเดียวกัน ในกรุงเทพฯ สวนลุมพินีฯของเราก็กลายเป็นตลาดซื้อขายสินค้าโสเภณีที่ถือว่าเป็นตลาดที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่ง และตอนหลังก็ขยายตัวมาถึงคลองหลอดและใช้สนามหลวงเป็นตลาดติดต่อกับแขก และสนามหลวงก็ได้กลายมาเป็นโรงแรมเพื่อบำบัดความใคร่โดยไม่มีใครเดือดร้อนที่จะต้องเสียค่าใช้จ่าย รวมถึงบางแห่งบางตอนในย่านหัวลำโพงอีก โสเภณีของเราระบาดแพร่หลายออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งในประเทศและนอกประเทศ และน่าจะพัฒนาต่อไปอย่างมีศักดิ์ศรียิ่งขึ้น เพราะพ่อค้าโสเภณีและหัวหน้าซ่องอาบอบนวดรายหนึ่งได้ทุ่มเทเงินทองเข้ามาเป็นนักการเมืองและตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาอย่างเป็นหลักเป็นฐานขึ้นมาอย่างเปิดเผย ต่อไปนี้โสเภณีไทยคงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องปิดบังอำพรางหรือต้องหลบต้องซ่อนเหมือนแต่ก่อนมา เพราะว่าซ่องโสเภณีเคยเรียกกันว่า โรงอาบอบนวดนั้น มีพรรคการเมืองของตัวเองและถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ และในการที่หัวหน้าพรรคลองชิมลางดูในการสมัครผู้ว่าฯกรุงเทพมหานครนั้น ได้มีประชาชนคนไทยจำนวนแสนพากันลงคะแนนให้ความชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง
ต่อไปในอนาคต เมืองไทยจะมีสถาบันที่มั่นคงโดยการสนับสนุนอย่างเปิดเผยของสถาบันโสเภณีแห่งประเทศไทยที่โผล่ออกมาจากโรงอาบอบนวดอย่างผสมผสานพอดีกับพระอลัชชีจำนวนหนึ่งที่พยายามสร้างเนื้อสร้างตัวทางการมืองโดยตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเป็นหลักฐานในนามพรรคดินฟ้าอากาศ หรือพรรคนรกอะไรก็ช่วยให้การเปลี่ยนแปลงความเป็นไทยของประเทศไทยและคนไทยต่อไปทั้งสิ้น
ทั้งหมดเป็นเรื่องของเมืองไทยและคนไทย
ใครอยากคิดอะไรก็คิด ใครอยากจะทำอะไรก็ทำ
เราจะอยู่กันด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลินไปทุกเรื่อง
แต่ในกรณีของ "อีหมาน" หรือสมานตรงข้าม มันเคยบอกกับผู้ชายที่มันสอนวิธีการบำบัดความใคร่ให้อย่างมีแบบมีแผนครั้งแรกนั้น เคยตอบคำถามวัยรุ่นที่เคยเสียตัวครั้งแรกกับมันจนกลายมาเป็นผู้ชำนาญการอย่างยิ่งในเรื่องการสมสู่และการสำส่อน มันว่า "ถ้าไม่ให้เป็นกะหรี่ แล้วมึงจะให้กูไปทำมาหากินอะไร?"
ใช่, ถ้าหากไม่หากินด้วยอาชีพกะหรี่ มันจะไปทำอะไรกิน
และมันจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?
มันเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าในจังหวัดอุดรธานี หรือในประเทศไทยนี้มีที่ไหนบ้างที่จะให้คนกินฟรีๆ เมื่อมันเป็นสัจสูจน์ของชาติอะไรที่จะทำให้ได้กินมันก็ต้องทำ
ซึ่งผู้หญิงไทยที่ต้องวิ่งไปเป็นกะหรี่ตามสนามค้าวัวค้าควาย หรือที่รู้เห็นกันอยู่ตามสวนลุมพินี ตามสนามหลวง หรือตามโรงแรมอื่นๆ นั้น ส่วนมากจะเกิดจากปัญหาไม่มีจะกินหรือไม่มีทางหากินอย่างอื่นทั้งสิ้น
ถ้าจะไปเหมาเอาว่าเป็นกะหรี่เพื่อความสำส่อนหรือความสนุกสนานนั้น อาจจะมีไม่มากนัก
"อีหมาน" เกิดในครอบครัวชาวไร่ที่ยากจนในหมู่บ้านแห่งหนึ่งห่างจากตัวจังหวัดอุดรธานีไป 30 กิโลเมตร เป็นครอบครัวที่ยากจนอย่างถึงขนาดครอบครัวหนึ่งในบรรดาคนยากจนของชาติ มีชีวิตอยู่ด้วยการถางป่าทำไร่ทำนากินไปตามมีตามเกิด ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรอื่นแม้แต่เครื่องมือหากินที่ทันสมัยเหมือนคนอื่นๆ เขามีกัน ไม่ว่าจะมีวัวมีควายสำหรับเป็นเครื่องมือทำกินอะไร นอกจากพอมีชีวิตอยู่ได้หรือพอที่จะเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียตัวเองให้รอดไปได้เท่านั้น
"อีหมาน" เป็นลูกสาวคนโตในบรรดาลูกที่เกิดตามกันมาถึง 5 คน พ่อแม่ของอีหมานได้รับคำแนะนำว่าลูกสาวคนนี้ถ้าจะเอาให้ได้ดีมีกินหรือเป็นเจ้าคนนายคน แล้วจะต้องหาทางเรียนหนังสือให้จบชั้นมัธยมให้ได้ และอีหมานก็มีโอกาสที่จะเรียนได้เพราะเป็นเด็กเฉลียวฉลาดและมันก็มีน้าสาวคนหนึ่งมามีแฟนเป็นคนขี่สามล้อรับจ้างอยู่ในตัวจังหวัดอุดรธานี อาชีพของน้าสาวคนนั้นคือ การเป็นแม่ค้าขายผักในตลาดของจังหวัดซึ่งถือว่าช่วยผัวทำมาหากิน
คำแนะนำนั้นเป็นแรงบันดาลใจให้พ่อแม่ที่ยากจนของอีหมาน รวมทั้งตัวอีหมานเองมีความฝันที่จะเป็นความสำเร็จตามคำแนะนำของเพื่อนบ้านคนนั้น จึงได้มีการติดต่อตกลงกับน้าสาวว่าอยากจะส่งอีหมานเข้ามาอยู่ในเมืองเพื่อเรียนหนังสือให้สูงกว่าเรียนชั้นประถมสี่ในชนบทแห่งนั้น ได้เรียนในโรงเรียนประจำหมู่บ้านที่เกิดขึ้นมาใหม่ๆ
น้าสาวและน้าเขยทั้งคู่เกิดแสดงความยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือหลานสาวขึ้นมา พร้อมทั้งจะรับมาอยู่ด้วยในตัวจังหวัดอุดรธานีและพร้อมที่จะส่งเสียเล่าเรียนให้เรียนระดับสูงขึ้นขนาดที่จะมีสิทธิที่จะเป็นเจ้าคนนายคนได้
นั่นเป็นเส้นทางของคนที่จะต้องมาเป็นกะหรี่อย่าง "อีหมาน" ซึ่งไม่มีทางเลือกอย่างอื่น เช่นเดียวกับผู้หญิงไทยอีกหลายแสนที่ต้องมาเป็นกะหรี่เลี้ยงชีวิต
"อีหมาน" จึงต้องลาจากบ้านนอกมาอยู่ในห้องเช่าของน้าสาวน้าเขยอย่างเป็นทางการ
แต่ "อีหมาน" ไม่มีโอกาสได้เข้าเรียนตามที่พ่อแม่ตัวเองคาดหมายไว้ เพราะน้าสาวที่ยืนยันว่าจะอุปถัมภ์ส่งเสียรายนั้นต้องการให้มาฝึกหัดทำมาหากินและประกอบอาชีพนี้เข้าไว้ก่อน งานแรกที่น้าสาวฝึกหัดให้ก็คือ แบกผักมาที่ตลาดเพื่อรอการขายและนั่งเฝ้าดูการขายผัก ทั้งมีน้าสาวอยู่ด้วยหรือเมื่อน้าสาวไปทำธุระที่อื่น
ในแต่ละวันแต่ละปีที่ "อีหมาน" เข้ามาอยู่ในเมืองอายุเพิ่มขึ้น สิ่งที่มันมาพร้อมกับวันเวลาที่ผ่านก็คือ ความอวบอั๋นของร่างกายและส่วนสัดต่างๆ ที่ขยายออกของมัน
สภาพที่เปลี่ยนไปอย่างนั้น ทำให้น้าเขยเบื่อหน่ายการขี่สามล้อที่เคยทำมาอย่างขยันขันแข็ง แต่หันมาสนใจอีหมานอย่างผิดปกติ
จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อ "อีหมาน" ไม่ได้ไปตลาดกับน้าสาว เพราะต้องอยู่คอยรับผักเพื่อหอบไปขายในตลาดต่อไป เป็นจังหวะพอดีกับน้าเขยลากสามล้อกลับเข้าบ้านเหมือนจะมีธุระสำคัญอะไรสักอย่าง แต่ความจริงไม่ใช่ พ่อเจ้าประคุณน้าเขยคนนั้นกลับลากคออีหมานเข้าไปปลุกปล้ำข่มขืนเสียในห้องนอนอย่างรวดเร็ว
"มึงจะไปบอกใครไม่ได้เป็นอันขาด" น้าเขยคนนั้นสำทับด้วยข้อความนี้หลังจากประสบความสำเร็จในการบำบัดความใคร่และเปิดบริสุทธิ์ให้อีหมานเรียบร้อยแล้ว "ถ้าไม่เชื่อ กูจะฆ่ามึงทิ้งเสีย"
"อีหมาน" ในตอนนั้น ไม่เคยคิดไม่เคยรู้ว่าเรื่องแบบนั้นมันจะเกิดขึ้นกับมัน ทั้งๆ ที่ถูก "เปิดบริสุทธิ์" ไปเรียบร้อยแล้ว พร้อมๆ กับแค้นที่มันถูกกระทำชำเราโดยน้าเขย ทั้งๆ ที่เจ็บปวด ตื่นเต้น ตกใจ มันก็รู้ว่ามีความมันและมีรสมีชาติอย่างบอกไม่ถูก
"วันไหนถ้ากูเกิดความต้องการ มึงต้องมารอกูที่นี่" น้าเขยสั่งการต่อไป "แต่มึงต้องไม่บอกใคร"
นั่นคือต้นเหตุและที่มาของการเป็นกะหรี่ของ "อีหมาน"
แม้จะถูกข่มขืน ถูกบังคับ แต่การได้ปลดปล่อยความใคร่ออกมานั้น ก็เป็นความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของชีวิตที่ "อีหมาน" มีความรู้สึก เพราะฉะนั้นถ้าฮอร์โมนสาวของมันตื่นตัวขึ้นมาเมื่อไรก็ตาม ถ้ามันเจอคนที่มันชอบหน้าพึงใจที่จะได้รับการสัมผัส มันก็พร้อมที่จะใช้ร่างกายของมันรับหน้าที่บำบัดความใคร่ผู้คนนอกไปจากคอยสังเวยพี่เขยของมันตามกาลเวลา
และบางคนที่มันรู้จักมักคุ้น ไม่ว่าจะเป็นคนเช่าห้องอยู่ข้างกัน คนขับรถ หรือคนขี่สามล้อที่ไหนต้องการก็ตอบแทนใจมันด้วยการให้เงินเป็นค่าบำบัดความใคร่ที่ทำให้มันรู้สึกขึ้นมาว่าน่าจะต้องยึดเป็นอาชีพไปเสียเลย เพราะนอกจากบำบัดความใคร่ของตัวมันเองที่กำลังอยู่ในวัยที่ต้องการบำบัดความใคร่แล้วยังได้เงินอีกด้วย
นั่นทำให้ "อีหมาน" เริ่มหนีออกนอกบ้าน แล้วในที่สุดมันก็หนีจากครอบครัวน้าสาว พร้อมด้วยสินค้าที่มันสามารถทำเป็นเงินได้คือ การเป็นโสเภณี
เมืองไทยเป็นเมืองเกษตรกรรม ผู้คนทั้งชาติที่เป็นไพร่ฟ้าข้าแผนดินนั้น ทุกคนทุกครอบครัวประเทศจะมีทางหากินได้ทางเดียวคือ อาชีพเกษตรกรรม สมัยที่อีหมานลืมตาเกิดมาดูโลกเป็นครั้งแรก เป็นยุคสมัยที่ผู้คนทุกคนอยู่กันตามมีตามเกิด คนไทยตามชนบททุกแห่งไม่ใช้เงินเพราะไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้อะไร ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ ไม่มีอะไรจะต้องขาย ต่างกับทุกวันนี้ซึ่งชีวิตคนไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงเพราะระบบสังคมเปลี่ยนจากสังคมเกษตรกรรมมาเป็นสังคมแลกเปลี่ยนซื้อขาย ซึ่งไม่ว่าจะได้อะไรขึ้นมาต้องใช้เงิน
เฉพาะอย่างยิ่ง โรงเรียนที่มันเคยไปเรียนก็ไม่เคยมีการสอนและไม่มีใครรู้ว่าจะสอนอะไร หรือไม่รู้ว่าสอนอย่างไร?
การจะหาเงินนั้นอย่างน้อยทุกคนจะต้องมีความรู้วิชาอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะทำเองหรือเป็นลูกจ้างจะต้องมีความรู้ในเรื่องที่จะทำให้ได้เงิน จะต้องมีประสบการณ์และช่องทางที่จะทำมาหากินแม้แต่การปลูกหญ้า หรือการปลูกผักบุ้งผักตำลึง
ประเทศไทยหลังจากรัชกาลที่ 4 ที่ 5 มาแล้ว การเริ่มที่จะสร้างคนขึ้นมาเป็นคนที่มีความสามารถในการทำมาหากินไม่ได้ทำกันเลย เพราะหลังจากนั้นการเมืองของไทยได้เปลี่ยนมาเป็นระบบแย่งชิงเอารัดเอาเปรียบเป็นส่วนใหญ่ เฉพาะอย่างยิ่งในระบอบประชาธิปไตยหรืออาจจะทำอย่างไม่มีทิศมีทางและทำอย่างกระท่อนกระแท่น
ใครจะเกิดก็เกิด ใครจะอยู่ยังไงก็อยู่ ใครจะเป็นโสเภณีก็เป็นไป
คนที่เกิดมาเมื่อ 60 ปีก่อน จนกระทั่งปัจจุบันนี้ ไม่ได้เรียนรู้ที่จะทำมาหากินกัน อย่างหนึ่งอย่างใด ดูเหมือนการตำส้มตำออกขายหรือทำก๋วยเตี๋ยวธรรมดาสามัญที่คนนิยมกันนั้น ก็ยังมีสูตรในการปรุงที่เราพึงจะมาสอนกันในระยะนี้เท่านั้น
ไม่มีไร่ไม่มีนา ไม่มีวัวไม่มีควาย แม้แต่ข้าวที่ต้องกินเข้าไปก็ต้องใช้เงินซื้อหา ถ้าไม่มีเงินไม่มีวิชาการหรือไม่มีประสบการณ์จะไม่สามารถเป็นคนไทยได้ เพราะจะถูกปล่อยทิ้งให้อดตาย
เพราะฉะนั้น "อีหมาน" จึงเลือกอาชีพเป็นกะหรี่
เป็นการเลือกที่ถูกต้อง
"อีหมาน" จึงเป็นตัวอย่างของชีวิตที่ประสบความสำเร็จได้อย่างปลอดภัยในการเกิดมาเป็นคนไทย
ความจริงเรื่องของอีหมานนั้นมันเป็นเรื่องของต่ำที่ไม่ควรจะนำมาเขียน เพราะไม่เป็นเรื่องที่ผู้ดีหรือผู้มีปัญญาทั้งหลายพึงฟังพึงสัมผัส แต่มาถึงวันนี้ผมก็อดไม่ได้ที่จะต้องนำมาเขียน เนื่องจากข่าวการที่เด็กนักเรียนของเราหลังจากเข้าเรียนในตอนเช้าแล้ว ตอนเย็นขากลับทั้งนักเรียนหญิงนักเรียนชายก็พากันนั่งรถเมล์กลับบ้าน ในขณะที่ไม่ต้องเรียนต้องรู้อะไรกันนั้น เด็กชายหญิงเหล่านี้ใช้ที่ว่างตอนหลังของรถเมล์กอดรัดลูบคลำและสมสู่กันอย่างไม่ยี่หระว่ามันจะเป็นที่สำหรับการสมสู่กันหรือไม่ หรือตามรายงานของสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งที่เสนอภาพการมั่วสุมของวัยรุ่นในโรงแรมต่างๆ ในจังหวัดนครศรีธรรมราชอย่างสนุกสนาน โดยไม่คิดไม่คำนึงถึงปัญหาอื่นๆ ของชีวิตนอกจากความสนุกสนานเพียงอย่างเดียว อาจจะต่างจากการเป็นกะหรี่ของอีหมานในสมัยนั้นมาก เพราะไม่มีอะไรต้องแลกเปลี่ยนกันนอกจากการบำบัดความใคร่ของกันและกันเพื่อความเพลิดเพลินเท่านั้น
60 กว่าปีที่อีหมานใช้โรงแรมข้างสถานีรถไฟอุดรฯ เพื่อเอาชีวิตมาขายกินในรูปกะหรี่นั้น ไม่ว่ามันชั่วช้าดีเลวอย่างไรหรือสกปรกโสโครกแค่ไหนก็ตาม จำนวนกะหรี่หรือผู้หญิงไทยที่ขายตัวหากินนั้น ไม่ได้ลดลงมีแต่จะเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
เกือบจะเชื่อได้ว่าทุกตารางนิ้วของแผ่นดินไทย เราอาจจะหากะหรี่ได้ทุกแห่งทุกรุ่นทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นแหล่งค้าวัวค้าควายในสุโขทัยหรือในภาคที่มีการเปิดตลาดค้าควายค้าวัวในภาคอีสานทุกแห่ง ผู้หญิงทุกคนที่นั่นจะพากันหอบเสื่อหอบหมอนเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบำบัดความใคร่กับพ่อค้าวัวควายที่นั่น เพราะไม่มีเพิง กระท่อม หรือโรงแรมสำหรับทำกิจกรรมที่ว่านี้ได้
การที่ผู้หญิงไทยที่เป็นกะหรี่นั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำลายคนทำลายบ้านเมืองประการใดก็ตาม จะเกิดจะมีมาเป็นเวลาช้านานเท่าไรก็ตาม หรือแม้แต่ในความเป็นจริงก็คือ การทำลายชาติทำลายประชาชนและเป็นความเลวร้ายอย่างหนักของประชาชนอีกเรื่องหนึ่ง แต่คนไทยก็ไม่เคยมีใครสนใจ หรือให้การแก้ไขท้วงติงแต่อย่างใด ไม่ว่าคนธรรมดาสามัญหรือเจ้าบ้านผ่านเมืองที่มีหน้าที่ในการปกครองประเทศชาติ แม้ว่าบางพวกอาจจะเก่งไปทุกเรื่องเพราะมีความคิดใหม่ทำใหม่ แต่เรื่องนี้ก็หุบปากเงียบไม่เคยคิดสนใจหรือแก้ไขอย่างใด
ต่างก็เป็นหัวหลักหัวต่อกันไปทั้งนั้น
ในขณะเดียวกัน ในกรุงเทพฯ สวนลุมพินีฯของเราก็กลายเป็นตลาดซื้อขายสินค้าโสเภณีที่ถือว่าเป็นตลาดที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่ง และตอนหลังก็ขยายตัวมาถึงคลองหลอดและใช้สนามหลวงเป็นตลาดติดต่อกับแขก และสนามหลวงก็ได้กลายมาเป็นโรงแรมเพื่อบำบัดความใคร่โดยไม่มีใครเดือดร้อนที่จะต้องเสียค่าใช้จ่าย รวมถึงบางแห่งบางตอนในย่านหัวลำโพงอีก โสเภณีของเราระบาดแพร่หลายออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งในประเทศและนอกประเทศ และน่าจะพัฒนาต่อไปอย่างมีศักดิ์ศรียิ่งขึ้น เพราะพ่อค้าโสเภณีและหัวหน้าซ่องอาบอบนวดรายหนึ่งได้ทุ่มเทเงินทองเข้ามาเป็นนักการเมืองและตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาอย่างเป็นหลักเป็นฐานขึ้นมาอย่างเปิดเผย ต่อไปนี้โสเภณีไทยคงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องปิดบังอำพรางหรือต้องหลบต้องซ่อนเหมือนแต่ก่อนมา เพราะว่าซ่องโสเภณีเคยเรียกกันว่า โรงอาบอบนวดนั้น มีพรรคการเมืองของตัวเองและถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ และในการที่หัวหน้าพรรคลองชิมลางดูในการสมัครผู้ว่าฯกรุงเทพมหานครนั้น ได้มีประชาชนคนไทยจำนวนแสนพากันลงคะแนนให้ความชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง
ต่อไปในอนาคต เมืองไทยจะมีสถาบันที่มั่นคงโดยการสนับสนุนอย่างเปิดเผยของสถาบันโสเภณีแห่งประเทศไทยที่โผล่ออกมาจากโรงอาบอบนวดอย่างผสมผสานพอดีกับพระอลัชชีจำนวนหนึ่งที่พยายามสร้างเนื้อสร้างตัวทางการมืองโดยตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเป็นหลักฐานในนามพรรคดินฟ้าอากาศ หรือพรรคนรกอะไรก็ช่วยให้การเปลี่ยนแปลงความเป็นไทยของประเทศไทยและคนไทยต่อไปทั้งสิ้น
ทั้งหมดเป็นเรื่องของเมืองไทยและคนไทย
ใครอยากคิดอะไรก็คิด ใครอยากจะทำอะไรก็ทำ
เราจะอยู่กันด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลินไปทุกเรื่อง
แต่ในกรณีของ "อีหมาน" หรือสมานตรงข้าม มันเคยบอกกับผู้ชายที่มันสอนวิธีการบำบัดความใคร่ให้อย่างมีแบบมีแผนครั้งแรกนั้น เคยตอบคำถามวัยรุ่นที่เคยเสียตัวครั้งแรกกับมันจนกลายมาเป็นผู้ชำนาญการอย่างยิ่งในเรื่องการสมสู่และการสำส่อน มันว่า "ถ้าไม่ให้เป็นกะหรี่ แล้วมึงจะให้กูไปทำมาหากินอะไร?"
ใช่, ถ้าหากไม่หากินด้วยอาชีพกะหรี่ มันจะไปทำอะไรกิน
และมันจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?
มันเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าในจังหวัดอุดรธานี หรือในประเทศไทยนี้มีที่ไหนบ้างที่จะให้คนกินฟรีๆ เมื่อมันเป็นสัจสูจน์ของชาติอะไรที่จะทำให้ได้กินมันก็ต้องทำ
ซึ่งผู้หญิงไทยที่ต้องวิ่งไปเป็นกะหรี่ตามสนามค้าวัวค้าควาย หรือที่รู้เห็นกันอยู่ตามสวนลุมพินี ตามสนามหลวง หรือตามโรงแรมอื่นๆ นั้น ส่วนมากจะเกิดจากปัญหาไม่มีจะกินหรือไม่มีทางหากินอย่างอื่นทั้งสิ้น
ถ้าจะไปเหมาเอาว่าเป็นกะหรี่เพื่อความสำส่อนหรือความสนุกสนานนั้น อาจจะมีไม่มากนัก
"อีหมาน" เกิดในครอบครัวชาวไร่ที่ยากจนในหมู่บ้านแห่งหนึ่งห่างจากตัวจังหวัดอุดรธานีไป 30 กิโลเมตร เป็นครอบครัวที่ยากจนอย่างถึงขนาดครอบครัวหนึ่งในบรรดาคนยากจนของชาติ มีชีวิตอยู่ด้วยการถางป่าทำไร่ทำนากินไปตามมีตามเกิด ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรอื่นแม้แต่เครื่องมือหากินที่ทันสมัยเหมือนคนอื่นๆ เขามีกัน ไม่ว่าจะมีวัวมีควายสำหรับเป็นเครื่องมือทำกินอะไร นอกจากพอมีชีวิตอยู่ได้หรือพอที่จะเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียตัวเองให้รอดไปได้เท่านั้น
"อีหมาน" เป็นลูกสาวคนโตในบรรดาลูกที่เกิดตามกันมาถึง 5 คน พ่อแม่ของอีหมานได้รับคำแนะนำว่าลูกสาวคนนี้ถ้าจะเอาให้ได้ดีมีกินหรือเป็นเจ้าคนนายคน แล้วจะต้องหาทางเรียนหนังสือให้จบชั้นมัธยมให้ได้ และอีหมานก็มีโอกาสที่จะเรียนได้เพราะเป็นเด็กเฉลียวฉลาดและมันก็มีน้าสาวคนหนึ่งมามีแฟนเป็นคนขี่สามล้อรับจ้างอยู่ในตัวจังหวัดอุดรธานี อาชีพของน้าสาวคนนั้นคือ การเป็นแม่ค้าขายผักในตลาดของจังหวัดซึ่งถือว่าช่วยผัวทำมาหากิน
คำแนะนำนั้นเป็นแรงบันดาลใจให้พ่อแม่ที่ยากจนของอีหมาน รวมทั้งตัวอีหมานเองมีความฝันที่จะเป็นความสำเร็จตามคำแนะนำของเพื่อนบ้านคนนั้น จึงได้มีการติดต่อตกลงกับน้าสาวว่าอยากจะส่งอีหมานเข้ามาอยู่ในเมืองเพื่อเรียนหนังสือให้สูงกว่าเรียนชั้นประถมสี่ในชนบทแห่งนั้น ได้เรียนในโรงเรียนประจำหมู่บ้านที่เกิดขึ้นมาใหม่ๆ
น้าสาวและน้าเขยทั้งคู่เกิดแสดงความยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือหลานสาวขึ้นมา พร้อมทั้งจะรับมาอยู่ด้วยในตัวจังหวัดอุดรธานีและพร้อมที่จะส่งเสียเล่าเรียนให้เรียนระดับสูงขึ้นขนาดที่จะมีสิทธิที่จะเป็นเจ้าคนนายคนได้
นั่นเป็นเส้นทางของคนที่จะต้องมาเป็นกะหรี่อย่าง "อีหมาน" ซึ่งไม่มีทางเลือกอย่างอื่น เช่นเดียวกับผู้หญิงไทยอีกหลายแสนที่ต้องมาเป็นกะหรี่เลี้ยงชีวิต
"อีหมาน" จึงต้องลาจากบ้านนอกมาอยู่ในห้องเช่าของน้าสาวน้าเขยอย่างเป็นทางการ
แต่ "อีหมาน" ไม่มีโอกาสได้เข้าเรียนตามที่พ่อแม่ตัวเองคาดหมายไว้ เพราะน้าสาวที่ยืนยันว่าจะอุปถัมภ์ส่งเสียรายนั้นต้องการให้มาฝึกหัดทำมาหากินและประกอบอาชีพนี้เข้าไว้ก่อน งานแรกที่น้าสาวฝึกหัดให้ก็คือ แบกผักมาที่ตลาดเพื่อรอการขายและนั่งเฝ้าดูการขายผัก ทั้งมีน้าสาวอยู่ด้วยหรือเมื่อน้าสาวไปทำธุระที่อื่น
ในแต่ละวันแต่ละปีที่ "อีหมาน" เข้ามาอยู่ในเมืองอายุเพิ่มขึ้น สิ่งที่มันมาพร้อมกับวันเวลาที่ผ่านก็คือ ความอวบอั๋นของร่างกายและส่วนสัดต่างๆ ที่ขยายออกของมัน
สภาพที่เปลี่ยนไปอย่างนั้น ทำให้น้าเขยเบื่อหน่ายการขี่สามล้อที่เคยทำมาอย่างขยันขันแข็ง แต่หันมาสนใจอีหมานอย่างผิดปกติ
จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อ "อีหมาน" ไม่ได้ไปตลาดกับน้าสาว เพราะต้องอยู่คอยรับผักเพื่อหอบไปขายในตลาดต่อไป เป็นจังหวะพอดีกับน้าเขยลากสามล้อกลับเข้าบ้านเหมือนจะมีธุระสำคัญอะไรสักอย่าง แต่ความจริงไม่ใช่ พ่อเจ้าประคุณน้าเขยคนนั้นกลับลากคออีหมานเข้าไปปลุกปล้ำข่มขืนเสียในห้องนอนอย่างรวดเร็ว
"มึงจะไปบอกใครไม่ได้เป็นอันขาด" น้าเขยคนนั้นสำทับด้วยข้อความนี้หลังจากประสบความสำเร็จในการบำบัดความใคร่และเปิดบริสุทธิ์ให้อีหมานเรียบร้อยแล้ว "ถ้าไม่เชื่อ กูจะฆ่ามึงทิ้งเสีย"
"อีหมาน" ในตอนนั้น ไม่เคยคิดไม่เคยรู้ว่าเรื่องแบบนั้นมันจะเกิดขึ้นกับมัน ทั้งๆ ที่ถูก "เปิดบริสุทธิ์" ไปเรียบร้อยแล้ว พร้อมๆ กับแค้นที่มันถูกกระทำชำเราโดยน้าเขย ทั้งๆ ที่เจ็บปวด ตื่นเต้น ตกใจ มันก็รู้ว่ามีความมันและมีรสมีชาติอย่างบอกไม่ถูก
"วันไหนถ้ากูเกิดความต้องการ มึงต้องมารอกูที่นี่" น้าเขยสั่งการต่อไป "แต่มึงต้องไม่บอกใคร"
นั่นคือต้นเหตุและที่มาของการเป็นกะหรี่ของ "อีหมาน"
แม้จะถูกข่มขืน ถูกบังคับ แต่การได้ปลดปล่อยความใคร่ออกมานั้น ก็เป็นความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของชีวิตที่ "อีหมาน" มีความรู้สึก เพราะฉะนั้นถ้าฮอร์โมนสาวของมันตื่นตัวขึ้นมาเมื่อไรก็ตาม ถ้ามันเจอคนที่มันชอบหน้าพึงใจที่จะได้รับการสัมผัส มันก็พร้อมที่จะใช้ร่างกายของมันรับหน้าที่บำบัดความใคร่ผู้คนนอกไปจากคอยสังเวยพี่เขยของมันตามกาลเวลา
และบางคนที่มันรู้จักมักคุ้น ไม่ว่าจะเป็นคนเช่าห้องอยู่ข้างกัน คนขับรถ หรือคนขี่สามล้อที่ไหนต้องการก็ตอบแทนใจมันด้วยการให้เงินเป็นค่าบำบัดความใคร่ที่ทำให้มันรู้สึกขึ้นมาว่าน่าจะต้องยึดเป็นอาชีพไปเสียเลย เพราะนอกจากบำบัดความใคร่ของตัวมันเองที่กำลังอยู่ในวัยที่ต้องการบำบัดความใคร่แล้วยังได้เงินอีกด้วย
นั่นทำให้ "อีหมาน" เริ่มหนีออกนอกบ้าน แล้วในที่สุดมันก็หนีจากครอบครัวน้าสาว พร้อมด้วยสินค้าที่มันสามารถทำเป็นเงินได้คือ การเป็นโสเภณี
เมืองไทยเป็นเมืองเกษตรกรรม ผู้คนทั้งชาติที่เป็นไพร่ฟ้าข้าแผนดินนั้น ทุกคนทุกครอบครัวประเทศจะมีทางหากินได้ทางเดียวคือ อาชีพเกษตรกรรม สมัยที่อีหมานลืมตาเกิดมาดูโลกเป็นครั้งแรก เป็นยุคสมัยที่ผู้คนทุกคนอยู่กันตามมีตามเกิด คนไทยตามชนบททุกแห่งไม่ใช้เงินเพราะไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้อะไร ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ ไม่มีอะไรจะต้องขาย ต่างกับทุกวันนี้ซึ่งชีวิตคนไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงเพราะระบบสังคมเปลี่ยนจากสังคมเกษตรกรรมมาเป็นสังคมแลกเปลี่ยนซื้อขาย ซึ่งไม่ว่าจะได้อะไรขึ้นมาต้องใช้เงิน
เฉพาะอย่างยิ่ง โรงเรียนที่มันเคยไปเรียนก็ไม่เคยมีการสอนและไม่มีใครรู้ว่าจะสอนอะไร หรือไม่รู้ว่าสอนอย่างไร?
การจะหาเงินนั้นอย่างน้อยทุกคนจะต้องมีความรู้วิชาอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะทำเองหรือเป็นลูกจ้างจะต้องมีความรู้ในเรื่องที่จะทำให้ได้เงิน จะต้องมีประสบการณ์และช่องทางที่จะทำมาหากินแม้แต่การปลูกหญ้า หรือการปลูกผักบุ้งผักตำลึง
ประเทศไทยหลังจากรัชกาลที่ 4 ที่ 5 มาแล้ว การเริ่มที่จะสร้างคนขึ้นมาเป็นคนที่มีความสามารถในการทำมาหากินไม่ได้ทำกันเลย เพราะหลังจากนั้นการเมืองของไทยได้เปลี่ยนมาเป็นระบบแย่งชิงเอารัดเอาเปรียบเป็นส่วนใหญ่ เฉพาะอย่างยิ่งในระบอบประชาธิปไตยหรืออาจจะทำอย่างไม่มีทิศมีทางและทำอย่างกระท่อนกระแท่น
ใครจะเกิดก็เกิด ใครจะอยู่ยังไงก็อยู่ ใครจะเป็นโสเภณีก็เป็นไป
คนที่เกิดมาเมื่อ 60 ปีก่อน จนกระทั่งปัจจุบันนี้ ไม่ได้เรียนรู้ที่จะทำมาหากินกัน อย่างหนึ่งอย่างใด ดูเหมือนการตำส้มตำออกขายหรือทำก๋วยเตี๋ยวธรรมดาสามัญที่คนนิยมกันนั้น ก็ยังมีสูตรในการปรุงที่เราพึงจะมาสอนกันในระยะนี้เท่านั้น
ไม่มีไร่ไม่มีนา ไม่มีวัวไม่มีควาย แม้แต่ข้าวที่ต้องกินเข้าไปก็ต้องใช้เงินซื้อหา ถ้าไม่มีเงินไม่มีวิชาการหรือไม่มีประสบการณ์จะไม่สามารถเป็นคนไทยได้ เพราะจะถูกปล่อยทิ้งให้อดตาย
เพราะฉะนั้น "อีหมาน" จึงเลือกอาชีพเป็นกะหรี่
เป็นการเลือกที่ถูกต้อง
"อีหมาน" จึงเป็นตัวอย่างของชีวิตที่ประสบความสำเร็จได้อย่างปลอดภัยในการเกิดมาเป็นคนไทย