xs
xsm
sm
md
lg

La Dolce Vita ภาพลวงตาแห่งความหวานชื่น

เผยแพร่:   โดย: เสรี พงศ์พิศ


คนอายุห้าหกสิบปีคิดถึงหนังอิตาเลียนที่โด่งดังที่สุด ต้องคิดถึง La Dolce Vita ซึ่งทั่วโลกเรียกทับศัพท์จนคุ้นกับคำนี้ เพราะถ้าจะแปลว่า The Sweet Life (ชีวิตหวานชื่น) ก็สู้ภาษาเดิมไม่ได้ และในเวลาเดียวกัน คิดถึงคนทำหนังอิตาเลียน ก็คิดถึงเฟเดริโก แฟลลีนี ซึ่งชาวอิตาเลียนจำนวนหนึ่งอาจจะไม่เพียงเคารพนับถือเขา แต่ถึงกับบูชาเป็นเทพเจ้าแห่งภาพยนตร์เลยทีเดียว

ฟังดูอาจจะเวอร์ แต่ถ้าหากศึกษาหนังของแฟลลีนีจะพบว่า เขาน่าจะเป็นคนสร้างหนังคนเดียวในโลกที่กล้าทำหนังเรื่อง "ตัวเอง" เกือบทั้งชีวิต อย่างน้อยหนังที่โด่งดังและดีที่สุดของเขาล้วนแต่สะท้อนชีวิตจริงของเขาทั้งสิ้นอย่าง La Dolce Vita, 8 1/2, Amarcord สองเรื่องหลังได้รับรางวัลออสการ์ เรื่องแรกไม่ได้รับ แต่เป็นภาพยนตร์มหาชนยอดเยี่ยมตลอดกาลที่รู้จักกันทั่วโลก

ความยิ่งใหญ่ของแฟลลีนี ไม่ใช่ความสามารถในการเล่าเรื่องอย่างเดียว แต่ร่ำรวยด้วยจินตนาการ และแปลงจินตนาการที่ลุ่มลึกให้เป็นภาพยนตร์ที่สามารถสื่อกับคนดูได้ดีอีกต่างหาก

ในท้ายดีวีดีมีคนสัมภาษณ์เขาในบั้นปลายชีวิตว่า "อยากให้ผู้คนจดจำแฟลลีนีว่าอย่างไร" เขาตอบว่า "ผมเป็นนักเล่าเรื่อง เรื่องจริงและเรื่องแต่งขึ้น อยากให้ผู้คนจำผมในฐานะเพื่อนคนหนึ่งที่พยายามทำให้พวกเขารู้สึกว่าได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่า"

แฟลลีนีมีปรัชญาชีวิตที่ไม่เหมือนใคร ไม่ติดกรอบ เขาบอกว่า เมื่อคนผิดนัดเขาหรือมาช้า เขารู้สึกมีความสุขที่ได้เวลาอีกจำนวนหนึ่งเป็นของแถม เวลาที่รอเป็นเวลาของเขาจริงๆ

คนถามเขาว่าเขามีต้นแบบ (model) มีฮีโร่หรือไม่ หรือพยายามจะเป็นหรือไม่ เขาตอบว่า "ต้นแบบคืออะไรที่ผมอยากหนีไปให้ไกล ผมไม่อยากเลียนแบบใคร ผมไม่มีฮีโร่และไม่ต้องการจะเป็น เพราะฮีโร่หมายถึงความตาย ตายอย่างน่าเศร้า" ถ้าจะแปลภาษาของเขาคือ การเป็นฮีโร่นั้นดูให้ดีจะมีแต่ทุกข์ ไม่มีความสุข ไม่เป็นอิสระ ไม่เป็นตัวของตัวเอง แบกโลกไว้คนเดียว

แฟลลีนีกลายเป็นสัญลักษณ์ของ "จินตนาการ" เขาบอกว่า "จินตนาการเป็นอะไรที่เกิดได้เสมอ และอะไรๆ ก็กระตุ้นให้เกิดได้ ชีวิตทั้งชีวิตคือจินตนาการ"

แฟลลีนีเป็นคนคิดนอกกรอบ ที่กล้าวิพากษ์สังคมในยุคหลังสงคราม ยุคที่เศรษฐกิจเริ่มจะบูมวิถีชีวิตของผู้คนเริ่มจะ "หวานชื่น" เขาหยิบยกเรื่องราวต่างๆ ที่เห็นๆ กันในสังคมมาเล่าให้ผู้คนฟัง และให้คิดเอง ตัดสินเองว่าดีชั่วอย่างไร

La Dolce Vita มีทุกรสทุกเรื่อง สุรา นารี วิถีคนกลางคืน ชีวิตสองหน้าและการฆ่าตัวตาย กามารมณ์ ผิดผัวผิดเมีย รักร่วมเพศ รวมทั้งพิธีกรรมความเชื่อทางศาสนาและไสยศาสตร์ เหล่านี้มิใช่การเล่าเรื่องธรรมดา แต่เล่าอย่างวิพากษ์วิจารณ์ ประชดประชันและเสียดสี

และอาจจะด้วยเหตุนี้ที่ทำให้หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จด้านการตลาดอย่างยิ่ง และได้ปลุกกระแสวิพากษ์สังคมและวัฒนธรรมตะวันตกไปทั่ว และอาจมีส่วนสำคัญที่นำไปสู่การปฏิวัติวัฒนธรรมในปลายทศวรรษที่ 1960 ดังที่เกิดการเดินขบวนครั้งใหญ่ทั่วยุโรปในฤดูไบไม้ผลิปี 1968

หนังเรื่องนี้ฮิตติดตลาดทั้งภาษา การแต่งกายของดารา แว่นตาดำของพระเอก และคำว่า Paparazzi ก็มาจาก Paparazzo ชื่อช่างภาพที่ตามพระเอกไปทั่ว ถ่ายภาพคนดังไปขายหนังสือพิมพ์ ที่อาจจะไม่ฮิตแต่มีอยู่ตอนต้นหนังคือดนตรีปี่พาทย์ของไทยและการแสดง "โขน" ลูกครึ่ง พร้อมกับเสียงโห่และ "มาละหวามาละเหวย..." เป็นบรรยากาศในบาร์ที่มีการแสดง มีดนตรีและการเต้นรำ (ไม่ทราบว่าแฟลลีนีได้รำไทย ดนตรีไทยและปี่พาทย์ที่ว่ามาจากไหนอย่างไร รู้แต่ว่า นักแต่งเพลงร้องประสานเสียงอิตาเลียนอย่าง Martini เคยแต่งหรือเรียบเรียงเพลง "ดูอะไรนี่แน่ะวะ น่าประหลาดจริงจริงนะ" ที่ร้องเป็นภาษาไทยกันในหลายประเทศ โดยที่คนร้องไม่รู้ภาษาไทย)

ดนตรีประกอบหนังเรื่องนี้มีหลากหลายรูปแบบทั้งป็อป แจ๊ซ และทำนองเศร้า ทั้งหมดเป็นฝีมือของ Nino Rota เจ้าเก่า ที่ไม่ว่าจะเล่นสไตล์ไหนจังหวะใดก็ดูลงตัวไปหมด

แฟลลีนีเริ่มสร้างหนังเรื่องนี้ในปี 1959 ส่วนใหญ่บนถนนเวเนโต (Via Veneto) ถนนที่เต็มไปด้วยห้างร้านมีระดับคล้ายสีลม มีแหล่งบันเทิงเริงรมย์คล้ายรัชดาภิเษก Marcello Mastroianni แสดงเป็นพระเอกของเรื่อง เป็นนักข่าวแบบ "ลัดดาซุบซิบ" ซึ่งมักจะหาข่าวประเภท "dolce vita" ชีวิตหวานชื่นคืนสุขของบรรดาผู้ดีมีเงิน สาวน้อยสาวใหญ่ไฮโซ รวมทั้งดาราหนังและเพลย์บอย

ว่ากันว่า มาร์เชลโล มาสโตรยันนี ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าแสดงเป็นตัวเขา เพราะชีวิตจริงก็ไม่ได้แตกต่างไปจากหนังที่เขาแสดงเท่าใดนัก เขาพยายามไขว่คว้าหาความสุข หาสิ่งดีๆ ในชีวิต แต่ดูเหมือนจะผิดหวังและล้มเหลวเสียมากกว่า เขาตามล่าหาข่าวไปพร้อมกับล่าสาวๆ คนแล้วคนเล่า แต่ก็ไม่สมหวังสักที จนที่สุดก็ต้องกลับไปคืนดีกับแฟนเก่าคนเดิมที่ทะเลาะแทบจะตีกันตาย

หนังเรื่องนี้มีชีวิตกลางคืนเกือบทั้งเรื่อง มีอยู่ 7 เรื่องที่ร้อยเรียงเข้าด้วยกันโดยตัวของมาร์เชลโล รูบีนี ผู้มีชีวิตขึ้นๆ ลงๆ ภาษาสัญลักษณ์ที่แฟลลีนีใช้มีหลากหลาย เขาลงไปในบาร์ไนต์คลับใต้ดิน บินเฮลิคอปเตอร์เหนือกรุงโรม ปีนขึ้นโดมเซนต์ปิเตอร์ เขาคบหาคนกลางคืน คุยกับโสเภณีไปจนถึงนักวิชาการ ศิลปิน

แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรแน่ๆ กับชีวิตของตัวเอง ชีวิตมีแต่ความว่างเปล่า กินเหล้าเคล้านารีจนเวลาล่วงเลยไปถึงรุ่งเช้าและอยู่อย่างโดดเดี่ยวเหมือนเดิม วันแล้ววันเล่า

ภาษาหนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ หนังเริ่มต้นด้วยเฮลิคอปเตอร์สองลำบินเหนือกรุงโรม ลำหนึ่งบรรทุกรูปปั้นพระเยซู อีกลำมีนักข่าวและช่างภาพ เมื่อบินผ่านตึกสูงที่มีสาวๆ สวมบิกินีนอนอาบแดดอยู่บนดาดฟ้า เฮลิคอปเตอร์นักข่าวบินต่ำลงไปใกล้กลุ่มสาว แต่คุยกันไม่รู้เรื่องเพราะเสียงเครื่องยนต์ เขาอยากได้หมายเลขโทรศัพท์ของสาวเหล่านั้น แต่ไม่ได้

ฉากสุดท้ายอยู่ริมชายหาด เป็นเวลาเช้าที่เขาเพิ่งเสร็จปาร์ตี้กับชาวเกย์ เขาเดินออกไปชายทะเล พบชาวประมงกำลังลากอวนขึ้นมา มีปลากระเบนยักษ์ ปลาคือสัญลักษณ์ของพระคริสต์ (Xtos ภาษากรีกแปลว่าปลา สัญลักษณ์ชาวคริสต์ในยุคต้นๆ ) ที่นั่นเขาพบเด็กหญิงซื่อๆ คนเดิมที่เคยพบตอนที่เขาหลบไปเขียนหนังสือที่ชนบท แต่เขาสื่อกับเด็กหญิงคนนี้ไม่ได้เพราะเสียงน้ำซัดชายหาดดังมาก คล้ายกับฉากแรกที่สื่อกันไม่รู้เรื่องเช่นกัน รูปพระคริสต์ในฉากแรกสวยงามแต่ "ปลอม" ปลายักษ์น่าเกลียดแต่เป็น "ของจริง" เช่นเดียวกับผู้หญิงสวยแต่ "ปลอม" และเด็กหญิงซื่อแต่ "จริง"

เขาวิ่งไล่ล่าผู้หญิงอย่างดาราฮอลลิวูด (Anita Ekberg) แม้เธอหนีลงไปในน้ำพุเทรวียามดึกเขาก็ตามลงไป ใกล้จะได้จูบเธอใต้น้ำพุ น้ำพุก็หยุดเสียก่อน และจบลงอย่างผิดหวังตอนรุ่งสาง (ฉากในน้ำพุเทรวีเป็นฉากยอดเยี่ยมที่กลายเป็นเอกลักษณ์ของหนังเรื่องนี้มาจนถึงทุกวันนี้)

เขาอิจฉานักคิดอย่างสไตเนอร์ ซึ่งมีงานที่มีเกียรติ มีภรรยาสวยและลูกน่ารักสองคน มี อพาร์ตเมนต์น่าอยู่ จัดงานปาร์ตี้เชิญกวี ศิลปิน นักเขียน นักร้องเพลงเพื่อชีวิตมาร่วม สไตเนอร์พยายามกระตุ้นให้มาร์เชลโลเขียนหนังสือที่เขาตั้งใจให้เสร็จ และมาร์เชลโลก็พยายาม โดยขนเอาพิมพ์ดีดไปบ้านนอกเพื่อเขียนให้ได้ แต่ก็ทำไม่ได้ไม่เสร็จเช่นเคย

แล้วก็ถึงฉากที่เราได้เห็นโศกนาฏกรรมที่สไตเนอร์ฆ่าลูกและฆ่าตัวตาย ความเป็นจริงอีกด้านหนึ่งที่แฟลลีนีพยายามเปิดเผย ความกดดันและปัญหาสารพัดที่อยู่เบื้องหลังภาพสวยงามของชีวิตครอบครัวจำนวนมาก ภายนอกดูดีมีทุกอย่าง แต่เบื้องหลังมีแต่ความว่างเปล่า

ชีวิตของมาร์เชลโลนักข่าวที่หาข่าวและหาความสุข อาจจะได้ข่าวแต่ไม่พบความสุข เขาใช้กลางคืนอย่างสิ้นเปลืองแบบไร้จุดหมาย พยายามทำให้ผู้คนพอใจ แต่ที่สุดก็ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร เช่นเดียวกับชีวิตของผู้คนจำนวนมากวันนี้ที่ดิ้นรนไขว่คว้าหาความสุข แต่ไม่พบ หลอกตัวเองไปวันๆ ว่ามีความสุข แต่วันแล้ววันเล่าดูจะมีแต่ความว่างเปล่า ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง นั่นคือยุคความเสื่อมสลายของสังคมผู้ดีเก่า สังคมชั้นสูง ที่ยังหลงอยู่กับประวัติศาสตร์ที่ชำรุดแล้ว

ผู้คนโหยหาเสรีภาพ พยายามหนีจากสิ่งที่คิดว่าผูกมัดตัวเอง มาร์เชลโลมีแฟนแต่ไม่ยอมแต่งงานเพราะกลัวสูญเสียเสรีภาพ ตอนที่ทะเลาะกันเขาตะโกนใส่หน้าแฟนว่า "ฉันกลัวความเห็นแก่ตัวของเธอ ซึ่งชอบแต่ครัวกับห้องนอน (แปลว่าได้แต่กินกับนอน) ผู้ชายที่ยอมมีชีวิตแบบนั้นเป็นผู้ชายที่ตายแล้ว ฉันไม่เชื่อในความรักก้าวร้าว เกลียดผู้หญิงที่ทำตัวเป็นแม่ คอยบงการชีวิตฉัน"

สไตเนอร์บอกมาร์เชลโลว่า "มีชีวิตที่ลำบากยากจนยังดีกว่าชีวิตที่ถูกปกป้องด้วยสังคมที่มีระเบียบแบบแผน ซึ่งทุกอย่างวางไว้อย่างสมบูรณ์หมดแล้ว" แปลได้อีกอย่างหนึ่งว่าอะไรจะเลวร้ายเท่ากับการสูญเสียเสรีภาพ

มาร์เชลโลแสวงหาผู้หญิงในอุดมคติ คนในอุดมคติ งานในอุดมคติ ชีวิตในอุดมคติ เขาไม่พบสักอย่าง La Dolce Vita นั้นมิได้มีจริง ยิ่งไล่ล่าตามหาก็ยิ่งไม่พบ และนี่คือโศกนาฏกรรมของผู้คนในยุคนี้ที่หาทางปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการชีวิตที่ตนเองลิขิตขึ้นมา

วันหวานชื่นคืนสุขของผู้คนจำนวนมากจึงเป็นแค่ภาพลวงตา เป็นมายาชีวิต
กำลังโหลดความคิดเห็น