ศาลพิพากษาจำคุก 1 ปี ปรับ 2,000 บาท คดีแม่ลูก 5 ก่อเหตุลักทรัพย์สินค้าในห้างเทสโก้ โลตัส สาขามีนบุรี แต่ศาลปราณี โทษจำคุกรอลงอาญา 3 ปี ระบุ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง และอาจกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ให้สังคม หลังที่ผ่านมาศาลเคยปราณีไม่ลงโทษ วอนสังคม ช่วยเหลือให้โอกาส หรือหาอาชีพให้กับคนที่กระทำความผิด
วานนี้(7 ก.ย.)ที่ศาลจังหวัดมีนบุรี นายฐานิต ศิริจันทร์สว่าง ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลจังหวัดมีนบุรี ออกนั่งบัลลังก์ อ่านคำพิพากษาในคดี ที่พนักงานอัยการจังหวัดมีนบุรี เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นางสุรีย์ ผลทับทิม อายุ 33 ปี แม่ลูก 5 คน เป็นจำเลย ในความผิดฐานลักทรัพย์สินค้าในห้างเทสโก้ โลตัส สาขามีนบุรี รวม 77 รายการ ราคา 4,217 บาท อาทิ ยาทาเล็บ กางเกง นม และอื่น ๆ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 2 ส.ค.ที่ผ่านมา
โดยคดีนี้ จำเลยอ้างว่าทำไปเพราะไม่มีนมให้ลูกกิน แต่อัยการพิจารณาแล้วเห็นว่า มีของกลางบางรายการ ไม่เกี่ยวกับอาหารเพื่อเลี้ยงดูบุตร จึงยื่นฟ้องต่อศาล โดยศาลมีคำสั่งให้สืบเสาะประวัติและพฤติกรรมจำเลยมาประกอบการพิจารณา
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐาน ประกอบผลการสืบเสาะ และคำรับสารภาพของจำเลยแล้ว เห็นว่ากระทำความผิดจริงตามฟ้อง จึงพิพากษาลงโทษ จำคุก 1 ปี ปรับ 2,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน ปรับ 1,000 บาท ของกลางทั้งหมดศาลเห็นว่ามีบางรายการเป็นประโยชน์แก่การดำรงชีพของจำเลย ซึ่งผู้เสียหายรับคืนไปทั้งหมด เห็นว่า การกระทำของจำเลยยังเป็นสิ่งไม่ถูกต้องก่อให้เกิดวัฒนธรรมใหม่
และหากอ้างว่ายากจนแล้วไปกระทำผิดก็จะได้รับการยอมรับจากสังคม แต่เมื่อพิจารณาจากภาวะทางครอบครัวที่แตกแยกจำเลยคนเดียวมีอาชีพเลี้ยงดูบุตรหลายคน การลงโทษ จึงเป็นผลเสียแก่บุตรที่ขาดผู้อุปการะเลี้ยงดู อันจะเป็นปัญหาแก่สังคมต่อไป โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาไว้ 3 ปี ปรับ 1,000 บาท และให้รายงานต่อพนักงานคุประพฤติ 3 เดือนต่อครั้งเป็นเวลา 2 ปี เพื่อให้พนักงานคุมประพฤติแนะนำการประกอบอาชีพแก่จำเลยต่อไป
นายฐานิต ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลจังหวัดมีนบุรี เปิดเผยภายหลังอ่านคำพิพากษา ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะอาจกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ให้สังคม มองได้ว่าผู้ที่มีฐานะยากจน เข้าไปขโมยของในห้างสรรพสินค้า ไม่มีความผิด เพราะที่ผ่านมาส่วนใหญ่ศาลลดโทษให้ จึงหนักใจในการพิจารณาคดี ดังนั้นอยากให้สังคม เข้ามาช่วยเหลือให้โอกาส หรือหาอาชีพให้กับคนที่กระทำความผิดเหล่านี้ เพราะการลงโทษปรับนั้น ก็ทำไปตามกฎหมายและพยานหลักฐาน
ด้านนางสุรีย์ กล่าวว่า ที่ทำผิดไป เพราะอยากให้ลูกอยู่ดี กินดี เหมือนครอบครัวอื่น แต่ดีใจที่ศาลให้ความเมตตา และยืนยันจะไม่กระทำผิดซ้ำอีกจากนี้ไปจะหาอาชีพที่สุจริตทำจึงอยากวิงวอนขอโอกาส จากผู้ใจบุญช่วยเหลือด้วย
วานนี้(7 ก.ย.)ที่ศาลจังหวัดมีนบุรี นายฐานิต ศิริจันทร์สว่าง ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลจังหวัดมีนบุรี ออกนั่งบัลลังก์ อ่านคำพิพากษาในคดี ที่พนักงานอัยการจังหวัดมีนบุรี เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นางสุรีย์ ผลทับทิม อายุ 33 ปี แม่ลูก 5 คน เป็นจำเลย ในความผิดฐานลักทรัพย์สินค้าในห้างเทสโก้ โลตัส สาขามีนบุรี รวม 77 รายการ ราคา 4,217 บาท อาทิ ยาทาเล็บ กางเกง นม และอื่น ๆ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 2 ส.ค.ที่ผ่านมา
โดยคดีนี้ จำเลยอ้างว่าทำไปเพราะไม่มีนมให้ลูกกิน แต่อัยการพิจารณาแล้วเห็นว่า มีของกลางบางรายการ ไม่เกี่ยวกับอาหารเพื่อเลี้ยงดูบุตร จึงยื่นฟ้องต่อศาล โดยศาลมีคำสั่งให้สืบเสาะประวัติและพฤติกรรมจำเลยมาประกอบการพิจารณา
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐาน ประกอบผลการสืบเสาะ และคำรับสารภาพของจำเลยแล้ว เห็นว่ากระทำความผิดจริงตามฟ้อง จึงพิพากษาลงโทษ จำคุก 1 ปี ปรับ 2,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน ปรับ 1,000 บาท ของกลางทั้งหมดศาลเห็นว่ามีบางรายการเป็นประโยชน์แก่การดำรงชีพของจำเลย ซึ่งผู้เสียหายรับคืนไปทั้งหมด เห็นว่า การกระทำของจำเลยยังเป็นสิ่งไม่ถูกต้องก่อให้เกิดวัฒนธรรมใหม่
และหากอ้างว่ายากจนแล้วไปกระทำผิดก็จะได้รับการยอมรับจากสังคม แต่เมื่อพิจารณาจากภาวะทางครอบครัวที่แตกแยกจำเลยคนเดียวมีอาชีพเลี้ยงดูบุตรหลายคน การลงโทษ จึงเป็นผลเสียแก่บุตรที่ขาดผู้อุปการะเลี้ยงดู อันจะเป็นปัญหาแก่สังคมต่อไป โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาไว้ 3 ปี ปรับ 1,000 บาท และให้รายงานต่อพนักงานคุประพฤติ 3 เดือนต่อครั้งเป็นเวลา 2 ปี เพื่อให้พนักงานคุมประพฤติแนะนำการประกอบอาชีพแก่จำเลยต่อไป
นายฐานิต ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลจังหวัดมีนบุรี เปิดเผยภายหลังอ่านคำพิพากษา ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะอาจกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ให้สังคม มองได้ว่าผู้ที่มีฐานะยากจน เข้าไปขโมยของในห้างสรรพสินค้า ไม่มีความผิด เพราะที่ผ่านมาส่วนใหญ่ศาลลดโทษให้ จึงหนักใจในการพิจารณาคดี ดังนั้นอยากให้สังคม เข้ามาช่วยเหลือให้โอกาส หรือหาอาชีพให้กับคนที่กระทำความผิดเหล่านี้ เพราะการลงโทษปรับนั้น ก็ทำไปตามกฎหมายและพยานหลักฐาน
ด้านนางสุรีย์ กล่าวว่า ที่ทำผิดไป เพราะอยากให้ลูกอยู่ดี กินดี เหมือนครอบครัวอื่น แต่ดีใจที่ศาลให้ความเมตตา และยืนยันจะไม่กระทำผิดซ้ำอีกจากนี้ไปจะหาอาชีพที่สุจริตทำจึงอยากวิงวอนขอโอกาส จากผู้ใจบุญช่วยเหลือด้วย