โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น ณ โรงเรียนหมายเลข 1 เมืองเบสลัน สาธารณรัฐนอร์ทออสเซเตีย ประเทศรัสเซีย ถือเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก ซึ่งนานๆ ครั้งจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ที่มีผู้เสียชีวิตสูงถึง 400 กว่าคน และส่วนใหญ่เป็นเด็กและเยาวชนทั้งสิ้น
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ทำเอาคนทั่วโลก "ช็อก-ขวัญกระเจิง" ถ้วนหน้าเพราะไม่เคยคิดคาดการณ์มาก่อนเลยว่า "ความอุกอาจ" ของกลุ่มผู้ก่อการร้ายจะ "อหังการ" และ "โหดเหี้ยม" เพียงนี้ ในขณะเดียวกัน กลุ่มทหารที่ทำการบุกโจมตีทำลายกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่จับเด็กเป็นตัวประกันนั้นก็ "โหดเหี้ยม" พอๆ กันที่ "กล้าสุด!" ในการปฏิบัติการอย่างรุนแรงและโหดเหี้ยมโดยไม่คำนึงถึงสวัสดิภาพของผู้ที่ถูกจับเป็นตัวประกันแต่ประการใด จนผู้บาดเจ็บล้มตายมีทั้งกลุ่มผู้บริสุทธิ์และกลุ่มผู้ก่อการร้ายนับพันราย
"การก่อการร้าย (TERRORISM)" เป็นเหตุการณ์ที่ผู้คนในอดีตอาจไม่ค่อยคุ้นเคย และ/หรือกลัวมากมายเท่าใดนัก เนื่องด้วยนานๆ เกิดครั้งหรือแทบจะไม่ค่อยเกิดขึ้นเลย หรือถ้าเกิดครั้งหนึ่งก็อาจไม่รุนแรงมากมายนัก แต่ในช่วงระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา "การก่อการร้าย" ค่อยๆ รุนแรงมากยิ่งขึ้น จนมีการบาดเจ็บล้มตายนับร้อยๆ คน หรือแม้กระทั่งสำนักงานอาคารสถานที่หน่วยราชการ โดยเฉพาะของประเทศสหรัฐฯ และพันธมิตรถูกลอบวางระเบิดพังเป็นแถบ ดังข่าวคราวที่เราได้ยินได้เห็นมา
และนับวัน "การก่อการร้าย" จะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นและแน่นอนบ่อยครั้งขึ้น แต่ที่ "น่ากลัว" ที่สุดคือ การก่อการร้ายที่ไม่คำนึงหรือละเว้นแม้กระทั่ง "เด็กและสตรี" ดังเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่โรงเรียนเมืองเบสลัน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็หมายความว่า "โรงเรียน" หรือ "โบสถ์" กับ "สถานที่ศักดิ์สิทธิ์" ทั้งหลายนับแต่นี้เป็นต้นไปเข้าข่าย "ถูกก่อการร้าย" ได้ทั้งสิ้น
ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองกลางทศวรรษที่ 1945 เป็นต้นมา การขยายตัวของแนวคิดลัทธิคอมมิวนิสต์ (COMMUNISM) เริ่มขยายแผ่ปกคลุมยุโรปตะวันออกและค่อยๆ แผ่กระจายมายังทวีปเอเชียจนแผ่ไปถึงเกือบทั่วทวีปเอเชียทั้งหมด โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้กระทั่งประเทศเล็กๆ อย่าง "คิวบา" ทางตอนใต้ของมลรัฐฟลอริดา ยังถูกลัทธิคอมมิวนิสต์ยึดครองไปเลย เพราะฉะนั้นหลังสงครามโลกครั้งที่ลัทธิคอมมิวนิสต์หรือ COMMUNISM เป็นปรากฏการณ์ที่ประชากรโลก "กลัว" มากที่สุด
การเกิดช่องว่างจากการประกาศสองขั้วของลัทธิกล่าวคือ "เสรีประชาธิปไตย (DEMOCRACY) กับสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ (COMMUNISM) ต่างยืนอยู่คนละฝั่ง ชนิดที่เรียกตามภาษาชาวบ้านว่า "ขาว" กับ "แดง" หรือกล่าวง่ายๆ ก็หมายความว่า "ขาว" คือผู้ดี หรือคนดีที่บริสุทธิ์ ส่วน "แดง" นั้นคือผู้ร้าย ที่ถูกสังคมซีกโลกตะวันตกประณามว่าเป็นกลุ่มประเทศที่ป่าเถื่อนไร้มนุษยธรรม โหดเหี้ยม ไม่มีศาสนา พูดง่ายๆ คือ "กลุ่มประเทศชั่ว-เลว!" ทั้งหมด แต่กลุ่มประเทศ "ขาว" นั้น จะมีแต่อิสระเสรีภาพ ไม่รุกราน ทำลายล้างใคร มีแต่คอยช่วยเหลือ และยึด "ความสงบร่มเย็น" เป็นสรณะไม่มีการบุกรุก ยึดครองดินแดนใคร ทั้งนี้ช่วง ค.ศ. 1950 เรื่อยมาจนถึงช่วง ค.ศ. 1970 นั้นเรียกว่าเป็น "ช่วงสงครามเย็น (COLD WAR)" คือต่างฝ่ายต่างหมางเมินต่อกัน แต่มีการเคลื่อนไหวในเชิง "ใต้ดิน-ใต้น้ำ" ตลอด
อย่างไรก็ตาม ในช่วงสงครามเย็นนั้น "สงครามเกาหลี" ก็เกิดขึ้นและต่อมาก็คือ "สงครามเวียดนาม" จนทำให้ทั้งสองประเทศแบ่งแยกเป็น "เหนือ-ใต้" หลังสงคราม แต่แปลงสภาพมาเป็น "สงครามเย็น" แทนโดยเฉพาะในช่วง ค.ศ. 1960-1970 จะเข้มข้นหรือ "หนาวเย็นยะเยือก" ที่สุดเพราะต่างฝ่ายต่าง "ซุ่ม-สงวนท่าที" กันอย่างสุดสุด แต่ต่างฝ่ายต่างก็ระดมสะสมกำลัง และที่หวั่นเกรงมากที่สุดในยุคนั้นคือ การเร่งสร้างสะสมระเบิดนิวเคลียร์ของฝ่ายคอมมิวนิสต์
ถ้าจะเรียกว่า "หัวหน้าแก๊ง" ในยุคนั้น น่าจะเหมาะเหม็งที่สุด คือประเทศสหภาพโซเวียต (SOVIET UNION) หรือประเทศรัสเซีย (RUSSIA) ในปัจจุบันและตามติดมาด้วยประเทศจีน (CHINA) ที่ใช้ระบบการปกครองแบบสังคมคอมมิวนิสต์ ที่ถูกตีตราว่า "เผด็จการเบ็ดเสร็จ" จนถึงขั้น TOTALITARIAN
ทั้งนี้ซีกโลกตะวันตก ตลอดจนกลุ่มประเทศเสรีนิยมทั้งหลายต่าง "หวาดกลัวและหวั่นเกรง" กลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์หรือ "แดง" อย่างมากว่าจะแผ่อิทธิพลของ "ลัทธิ" ไปทั่วโลก ซึ่งในยุคนั้นภาพลูกโลกจะถูกป้ายแบ่งเป็นกลุ่มประเทศ "แดง" กับประเทศ "ขาว" กันเลยทีเดียว โดยสีแดงกับสีขาวจะมีอาณาบริเวณครอบครองทั่วโลกเกือบครึ่งต่อครึ่ง
สงครามในยุคก่อนสงครามเย็นของ "ลัทธิการปกครอง" นั้น ยังเป็นการต่อสู้ที่คงไม่สามารถเรียกได้ว่า "ก่อการร้าย" แต่เป็น "สงครามเผชิญหน้า" ที่เป็นลักษณะ "สงครามเปิด" มิใช่เป็น "การลอบทำร้าย" แบบไม่รู้ตัวเหมือน "การก่อการร้าย" ในปัจจุบัน และว่าไปแล้ว ไม่ถึงขั้นน่ากลัวมากเท่ายุคของการก่อการร้าย
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม "สงครามก็คือสงคราม" ที่ต้องมีการทำลายล้างฆ่าฟันกัน โดย "ผู้บริสุทธิ์" ก็คือ ประชาชนจะตกเป็น "เหยื่อ-ผู้เคราะห์ร้าย" ทุกครั้งไปไม่ว่า "ลูกเด็กเล็กแดง" และ "ผู้หญิง"
แต่ "การก่อการร้าย" หรือ TERRORISM ยุคนี้เป็นยุคที่คืบคลานเข้ามาแทนยุค COMMUNISM ที่ว่ากันตามเป็นจริงแล้ว "น่ากลัว" มากกว่าเสียอีกเพราะเป็น "การจัดตั้ง" ที่เป็นกระบวนการ แต่ไม่สำคัญเท่ากับว่าเป็น "องค์กร" ที่มี "ทุน" มหาศาลคอยสนับสนุนและเลวร้ายน่ากลัวมากไปกว่านั้น ความคิดของเรื่อง "ศาสนา" ถูกนำมาเป็นฐานสำคัญของการ "แบ่งแยก-แบ่งขั้ว"
"การก่อการร้าย" ทุกครั้งที่เราได้ยินได้ฟังจากเหตุการณ์นั้น รุนแรงที่สุดก็คือการก่อการร้ายถล่มตึกเวิลด์เทรดคู่ ที่มหานครนิวยอร์ก เมื่อ 2-3 ปีก่อน ทำเอาคนตกตะลึงไปทั่วโลก แต่จริงๆ แล้วการใช้ระเบิดพลีชีพของกลุ่มผู้ก่อการร้ายตามสถานที่ต่างๆ ล้วนน่ากลัวแทบทั้งสิ้น และไม่สำคัญเท่ากับว่า ผู้บาดเจ็บล้มตายนั้นเป็น "ผู้บริสุทธิ์" ทั้งสิ้น ไม่แตกต่างไปกับการเกิดสงครามแต่ประการใด
ความแตกต่างระหว่างสงครามกับการก่อการร้ายนั้น แตกต่างกันเฉพาะในกรณีของ "การเปิด" กับ "การปิด" กล่าวคือ สงครามนั้นเราจะรู้ว่าใครเป็นศัตรูมีการแบ่งแยกเขตแดนชัดเจน แต่การก่อการร้ายนั้น เราไม่มีโอกาสจะได้รู้เลยว่าใครเป็นใคร แต่สงครามในปัจจุบันก็มีการจู่โจมแบบไม่รู้ตัวเช่นเดียวกันแต่ยังคำนึงถึง การโจมตีที่พยายามหลีกเลี่ยงละเว้นชุมชน เพื่อให้มีการสูญเสียผู้บริสุทธิ์น้อยที่สุด แต่การก่อการร้ายนั้น "จู่โจมเร็ว" และ "ไม่รู้ตัว"
"สงครามยุคใหม่" เปลี่ยนแปลงจาก "ลัทธิทางการเมืองการปกครอง" จาก COMMUNISM มาเป็น TERRORISM ไปเรียบร้อยแล้ว และน่าเชื่อว่าจะเป็น "ลัทธิ (ISM)" ที่จะอยู่กับสังคมโลกไปอีกยาวนาน แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ถ้าเรามาทบทวนฉุกคิดกันให้ดี อาจจะเห็นพ้องต้องกันว่า ไม่ว่าสงครามก็ดี การก่อการร้ายก็ดี เป็นเรื่องของ "แก่งแย่ง-ต่อสู้-แย่งชิง" ทรัพยากรอันมีคุณค่าของสังคมนั้นๆ และ/หรือประเทศนั้นๆ แทบทั้งสิ้น
วงจรของ "การล่าอาณานิคม" ยุคใหม่ เกิดจากการมี "องค์กรก่อการร้าย" ที่ดูเสมือนมีตัวตน มีองค์กรมีกระบวนการและมีทุน อย่างเช่น นายบินลาดิน เปรียบเสมือนหัวหน้าแก๊ง และกลุ่มอัลกออิดะห์ เป็นองค์กรที่มีการจัดตั้งอย่างเป็นกระบวนการ มีการสะสมอาวุธ และที่สำคัญก็คือ มีทุน เมื่อประเทศสหรัฐอเมริกาถูกก่อการร้าย เมื่อรู้ว่าประเทศใดเป็นศูนย์กลางหรือให้ความช่วยเหลือหรือแหล่งซุกซ่อนก็จะถูกถล่มโดยสหรัฐฯ ดังเช่นประเทศอัฟกานิสถานและอิรัก แต่จนปัจจุบันก็ยังไม่สามารถค้นหาและแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์สู่สายตาชาวโลกได้เลย แต่ทั้งสองประเทศก็เหมือนตกเป็น "อาณานิคม" ของสหรัฐอเมริกาไปแล้ว
หรือว่า "การก่อการร้าย" (TERRORISM) เป็นลัทธิใหม่ของสงครามเศรษฐกิจกับการล่าอาณานิคมเพื่อทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่า
ทั้งนี้ ความน่ากลัวของ COMMUNISM ในอดีตกำลังถูกแปรสภาพมาเป็น TERRORISM ที่น่ากลัวมากกว่า แต่ว่าไปแล้วต่างก็เป็น "สงครามกองโจร" ทั้งสิ้นไม่ว่ายุคนั้นหรือยุคนี้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ทำเอาคนทั่วโลก "ช็อก-ขวัญกระเจิง" ถ้วนหน้าเพราะไม่เคยคิดคาดการณ์มาก่อนเลยว่า "ความอุกอาจ" ของกลุ่มผู้ก่อการร้ายจะ "อหังการ" และ "โหดเหี้ยม" เพียงนี้ ในขณะเดียวกัน กลุ่มทหารที่ทำการบุกโจมตีทำลายกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่จับเด็กเป็นตัวประกันนั้นก็ "โหดเหี้ยม" พอๆ กันที่ "กล้าสุด!" ในการปฏิบัติการอย่างรุนแรงและโหดเหี้ยมโดยไม่คำนึงถึงสวัสดิภาพของผู้ที่ถูกจับเป็นตัวประกันแต่ประการใด จนผู้บาดเจ็บล้มตายมีทั้งกลุ่มผู้บริสุทธิ์และกลุ่มผู้ก่อการร้ายนับพันราย
"การก่อการร้าย (TERRORISM)" เป็นเหตุการณ์ที่ผู้คนในอดีตอาจไม่ค่อยคุ้นเคย และ/หรือกลัวมากมายเท่าใดนัก เนื่องด้วยนานๆ เกิดครั้งหรือแทบจะไม่ค่อยเกิดขึ้นเลย หรือถ้าเกิดครั้งหนึ่งก็อาจไม่รุนแรงมากมายนัก แต่ในช่วงระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา "การก่อการร้าย" ค่อยๆ รุนแรงมากยิ่งขึ้น จนมีการบาดเจ็บล้มตายนับร้อยๆ คน หรือแม้กระทั่งสำนักงานอาคารสถานที่หน่วยราชการ โดยเฉพาะของประเทศสหรัฐฯ และพันธมิตรถูกลอบวางระเบิดพังเป็นแถบ ดังข่าวคราวที่เราได้ยินได้เห็นมา
และนับวัน "การก่อการร้าย" จะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นและแน่นอนบ่อยครั้งขึ้น แต่ที่ "น่ากลัว" ที่สุดคือ การก่อการร้ายที่ไม่คำนึงหรือละเว้นแม้กระทั่ง "เด็กและสตรี" ดังเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่โรงเรียนเมืองเบสลัน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็หมายความว่า "โรงเรียน" หรือ "โบสถ์" กับ "สถานที่ศักดิ์สิทธิ์" ทั้งหลายนับแต่นี้เป็นต้นไปเข้าข่าย "ถูกก่อการร้าย" ได้ทั้งสิ้น
ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองกลางทศวรรษที่ 1945 เป็นต้นมา การขยายตัวของแนวคิดลัทธิคอมมิวนิสต์ (COMMUNISM) เริ่มขยายแผ่ปกคลุมยุโรปตะวันออกและค่อยๆ แผ่กระจายมายังทวีปเอเชียจนแผ่ไปถึงเกือบทั่วทวีปเอเชียทั้งหมด โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้กระทั่งประเทศเล็กๆ อย่าง "คิวบา" ทางตอนใต้ของมลรัฐฟลอริดา ยังถูกลัทธิคอมมิวนิสต์ยึดครองไปเลย เพราะฉะนั้นหลังสงครามโลกครั้งที่ลัทธิคอมมิวนิสต์หรือ COMMUNISM เป็นปรากฏการณ์ที่ประชากรโลก "กลัว" มากที่สุด
การเกิดช่องว่างจากการประกาศสองขั้วของลัทธิกล่าวคือ "เสรีประชาธิปไตย (DEMOCRACY) กับสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ (COMMUNISM) ต่างยืนอยู่คนละฝั่ง ชนิดที่เรียกตามภาษาชาวบ้านว่า "ขาว" กับ "แดง" หรือกล่าวง่ายๆ ก็หมายความว่า "ขาว" คือผู้ดี หรือคนดีที่บริสุทธิ์ ส่วน "แดง" นั้นคือผู้ร้าย ที่ถูกสังคมซีกโลกตะวันตกประณามว่าเป็นกลุ่มประเทศที่ป่าเถื่อนไร้มนุษยธรรม โหดเหี้ยม ไม่มีศาสนา พูดง่ายๆ คือ "กลุ่มประเทศชั่ว-เลว!" ทั้งหมด แต่กลุ่มประเทศ "ขาว" นั้น จะมีแต่อิสระเสรีภาพ ไม่รุกราน ทำลายล้างใคร มีแต่คอยช่วยเหลือ และยึด "ความสงบร่มเย็น" เป็นสรณะไม่มีการบุกรุก ยึดครองดินแดนใคร ทั้งนี้ช่วง ค.ศ. 1950 เรื่อยมาจนถึงช่วง ค.ศ. 1970 นั้นเรียกว่าเป็น "ช่วงสงครามเย็น (COLD WAR)" คือต่างฝ่ายต่างหมางเมินต่อกัน แต่มีการเคลื่อนไหวในเชิง "ใต้ดิน-ใต้น้ำ" ตลอด
อย่างไรก็ตาม ในช่วงสงครามเย็นนั้น "สงครามเกาหลี" ก็เกิดขึ้นและต่อมาก็คือ "สงครามเวียดนาม" จนทำให้ทั้งสองประเทศแบ่งแยกเป็น "เหนือ-ใต้" หลังสงคราม แต่แปลงสภาพมาเป็น "สงครามเย็น" แทนโดยเฉพาะในช่วง ค.ศ. 1960-1970 จะเข้มข้นหรือ "หนาวเย็นยะเยือก" ที่สุดเพราะต่างฝ่ายต่าง "ซุ่ม-สงวนท่าที" กันอย่างสุดสุด แต่ต่างฝ่ายต่างก็ระดมสะสมกำลัง และที่หวั่นเกรงมากที่สุดในยุคนั้นคือ การเร่งสร้างสะสมระเบิดนิวเคลียร์ของฝ่ายคอมมิวนิสต์
ถ้าจะเรียกว่า "หัวหน้าแก๊ง" ในยุคนั้น น่าจะเหมาะเหม็งที่สุด คือประเทศสหภาพโซเวียต (SOVIET UNION) หรือประเทศรัสเซีย (RUSSIA) ในปัจจุบันและตามติดมาด้วยประเทศจีน (CHINA) ที่ใช้ระบบการปกครองแบบสังคมคอมมิวนิสต์ ที่ถูกตีตราว่า "เผด็จการเบ็ดเสร็จ" จนถึงขั้น TOTALITARIAN
ทั้งนี้ซีกโลกตะวันตก ตลอดจนกลุ่มประเทศเสรีนิยมทั้งหลายต่าง "หวาดกลัวและหวั่นเกรง" กลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์หรือ "แดง" อย่างมากว่าจะแผ่อิทธิพลของ "ลัทธิ" ไปทั่วโลก ซึ่งในยุคนั้นภาพลูกโลกจะถูกป้ายแบ่งเป็นกลุ่มประเทศ "แดง" กับประเทศ "ขาว" กันเลยทีเดียว โดยสีแดงกับสีขาวจะมีอาณาบริเวณครอบครองทั่วโลกเกือบครึ่งต่อครึ่ง
สงครามในยุคก่อนสงครามเย็นของ "ลัทธิการปกครอง" นั้น ยังเป็นการต่อสู้ที่คงไม่สามารถเรียกได้ว่า "ก่อการร้าย" แต่เป็น "สงครามเผชิญหน้า" ที่เป็นลักษณะ "สงครามเปิด" มิใช่เป็น "การลอบทำร้าย" แบบไม่รู้ตัวเหมือน "การก่อการร้าย" ในปัจจุบัน และว่าไปแล้ว ไม่ถึงขั้นน่ากลัวมากเท่ายุคของการก่อการร้าย
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม "สงครามก็คือสงคราม" ที่ต้องมีการทำลายล้างฆ่าฟันกัน โดย "ผู้บริสุทธิ์" ก็คือ ประชาชนจะตกเป็น "เหยื่อ-ผู้เคราะห์ร้าย" ทุกครั้งไปไม่ว่า "ลูกเด็กเล็กแดง" และ "ผู้หญิง"
แต่ "การก่อการร้าย" หรือ TERRORISM ยุคนี้เป็นยุคที่คืบคลานเข้ามาแทนยุค COMMUNISM ที่ว่ากันตามเป็นจริงแล้ว "น่ากลัว" มากกว่าเสียอีกเพราะเป็น "การจัดตั้ง" ที่เป็นกระบวนการ แต่ไม่สำคัญเท่ากับว่าเป็น "องค์กร" ที่มี "ทุน" มหาศาลคอยสนับสนุนและเลวร้ายน่ากลัวมากไปกว่านั้น ความคิดของเรื่อง "ศาสนา" ถูกนำมาเป็นฐานสำคัญของการ "แบ่งแยก-แบ่งขั้ว"
"การก่อการร้าย" ทุกครั้งที่เราได้ยินได้ฟังจากเหตุการณ์นั้น รุนแรงที่สุดก็คือการก่อการร้ายถล่มตึกเวิลด์เทรดคู่ ที่มหานครนิวยอร์ก เมื่อ 2-3 ปีก่อน ทำเอาคนตกตะลึงไปทั่วโลก แต่จริงๆ แล้วการใช้ระเบิดพลีชีพของกลุ่มผู้ก่อการร้ายตามสถานที่ต่างๆ ล้วนน่ากลัวแทบทั้งสิ้น และไม่สำคัญเท่ากับว่า ผู้บาดเจ็บล้มตายนั้นเป็น "ผู้บริสุทธิ์" ทั้งสิ้น ไม่แตกต่างไปกับการเกิดสงครามแต่ประการใด
ความแตกต่างระหว่างสงครามกับการก่อการร้ายนั้น แตกต่างกันเฉพาะในกรณีของ "การเปิด" กับ "การปิด" กล่าวคือ สงครามนั้นเราจะรู้ว่าใครเป็นศัตรูมีการแบ่งแยกเขตแดนชัดเจน แต่การก่อการร้ายนั้น เราไม่มีโอกาสจะได้รู้เลยว่าใครเป็นใคร แต่สงครามในปัจจุบันก็มีการจู่โจมแบบไม่รู้ตัวเช่นเดียวกันแต่ยังคำนึงถึง การโจมตีที่พยายามหลีกเลี่ยงละเว้นชุมชน เพื่อให้มีการสูญเสียผู้บริสุทธิ์น้อยที่สุด แต่การก่อการร้ายนั้น "จู่โจมเร็ว" และ "ไม่รู้ตัว"
"สงครามยุคใหม่" เปลี่ยนแปลงจาก "ลัทธิทางการเมืองการปกครอง" จาก COMMUNISM มาเป็น TERRORISM ไปเรียบร้อยแล้ว และน่าเชื่อว่าจะเป็น "ลัทธิ (ISM)" ที่จะอยู่กับสังคมโลกไปอีกยาวนาน แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ถ้าเรามาทบทวนฉุกคิดกันให้ดี อาจจะเห็นพ้องต้องกันว่า ไม่ว่าสงครามก็ดี การก่อการร้ายก็ดี เป็นเรื่องของ "แก่งแย่ง-ต่อสู้-แย่งชิง" ทรัพยากรอันมีคุณค่าของสังคมนั้นๆ และ/หรือประเทศนั้นๆ แทบทั้งสิ้น
วงจรของ "การล่าอาณานิคม" ยุคใหม่ เกิดจากการมี "องค์กรก่อการร้าย" ที่ดูเสมือนมีตัวตน มีองค์กรมีกระบวนการและมีทุน อย่างเช่น นายบินลาดิน เปรียบเสมือนหัวหน้าแก๊ง และกลุ่มอัลกออิดะห์ เป็นองค์กรที่มีการจัดตั้งอย่างเป็นกระบวนการ มีการสะสมอาวุธ และที่สำคัญก็คือ มีทุน เมื่อประเทศสหรัฐอเมริกาถูกก่อการร้าย เมื่อรู้ว่าประเทศใดเป็นศูนย์กลางหรือให้ความช่วยเหลือหรือแหล่งซุกซ่อนก็จะถูกถล่มโดยสหรัฐฯ ดังเช่นประเทศอัฟกานิสถานและอิรัก แต่จนปัจจุบันก็ยังไม่สามารถค้นหาและแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์สู่สายตาชาวโลกได้เลย แต่ทั้งสองประเทศก็เหมือนตกเป็น "อาณานิคม" ของสหรัฐอเมริกาไปแล้ว
หรือว่า "การก่อการร้าย" (TERRORISM) เป็นลัทธิใหม่ของสงครามเศรษฐกิจกับการล่าอาณานิคมเพื่อทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่า
ทั้งนี้ ความน่ากลัวของ COMMUNISM ในอดีตกำลังถูกแปรสภาพมาเป็น TERRORISM ที่น่ากลัวมากกว่า แต่ว่าไปแล้วต่างก็เป็น "สงครามกองโจร" ทั้งสิ้นไม่ว่ายุคนั้นหรือยุคนี้