‘ประวัฒน์ อุตตะโมต’ ที่ปรึกษา ‘ปุระชัย’ แฉ มูลนิธิของหมอประเวศ หมกเม็ดของบ สสส.จาก 67 ล้านบาท เป็น 210 ล้านบาท โดย ‘หมอพลเดช’ เป็นผู้เสนอของบฯ เสนอขออนุมัติ และลงนามในสัญญา เข้าตำรา ‘ชงเอง กินเอง’ ย้อนถามแบบนี้จะรับผิดชอบอย่างไร ขณะที่ ‘หมอพลเดช’ โต้ ‘ชงเอง กินเอง’ คงนึกถึงตัวเอง ยันโปร่งใส สสส.วิ่งมาหาให้ทำโครงการ เร่งนายกฯปลด ‘ปุระชัย’เพื่อยุติปัญหา
นายประวัฒน์ อุตตะโมต ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์) แถลงถึงกรณีที่ นพ.พลเดช ปิ่นประทีป ออกมาเรียกร้องให้ ร.ต.อ.ปุระชัย ลาออกจาก การเป็นประธานคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)ว่าคณะกรรมการกลั่นกรอง ที่มี ร.ต.อ.ปุระชัย เป็นประธานต้องการตรวจสอบโครงการ 3 โครงการ ก่อนที่จะมีการนำเสนอ ครม.โดย 1 ใน 3 โครงการคือ โครงการ ของมูลนิธิท้องถิ่นพัฒนา ซึ่งมี นพ.ประเวศ วะสี เป็นประธานมูลนิธิ มีการของบประมาณมาทั้งหมด 67 ล้านบาท แต่คณะกรรมการเพิ่งมาทราบภายหลังว่า มีการ หมกเม็ด โดยในการเสนอขออนุมัติโครงการและของบประมาณ มี น.พ.พลเดช เป็นผู้ขอเสนองบฯ จาก 67 ล้านบาท เป็น 210 ล้านบาท ในระยะเวลา 3 ปี เพื่อเสนอ เข้าสู่คณะกรรมการบอร์ด ซึ่งเป็นบุคคลเดียวกับที่เสนอขออนุมัติงบประมาณ
“การขออนุมัติงบประมาณตามขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นผู้ขอ หรือผู้อนุมัติงบ ก็ล้วนแต่เป็นบุคคลกลุ่มเดียวกันทั้งสิ้น และหลังจากที่การอนุมัติผ่านไป ซึ่งคิดว่า เป็นเพียงแค่โครงการ 67 ล้านบาท หากดูถึงวัตถุประสงค์โครงการ อ่านแล้วเงิน 210 ล้านบาท ผมคิดว่าเป็นเงินมหาศาลมาก สำหรับวัตถุประสงค์หลัก ๆ ที่จะมาทำโครงการนี้”
นายประวัฒน์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่าท้ายที่สุดแล้วผู้ที่ลงนามในสัญญา ก็คือ น.พ.พลเดช ซึ่งเป็นเลขาธิการมูลนิธิชุมชนท้องถิ่นพัฒนา สรุปง่ายๆ คือ “โครงการนี้ชงเอง กินเอง ผมก็อยากถามเหมือนกันที่บอกว่ารัฐบาลชุดนี้ เป็นรัฐบาล แบบแกรนด์ดินเนอร์ คาบิเนต จะเรียกโครงการอย่างนี้ว่าอย่างไร “จั๊งฟู้ดบัดเจ็ต” หรือเปล่า เราอยากให้สังคมได้ตรวจสอบได้รู้ได้เห็นกระบวนการของบ ขอเขา ที่เรียกร้องให้ ร.ต.อ.ปุระชัย ลาออกก็เพราะกลัวการขุดคุ้ยอย่างนี้ และขอเรียนว่า เราไม่ได้ขุดคุ้ย เพียงแต่ขอดูโครงการเพื่อที่จะเสนอแนะ และให้โครงการนี้ เดินหน้าต่อไป”
นายประวัฒน์ กล่าวว่า สรุปง่ายๆ คือผู้ที่เราตรวจสอบเรียกร้องให้คนตรวจสอบ ลาออก ตนก็ขอเรียกร้องกลับว่าเป็นรัฐมนตรีก็คงต้องลาออกแน่ เพราะหลักฐานชัดเจนขนาดนี้ แต่ขณะเดียวกันผู้ทรงคุณวุฒิ จะพิจารณาตัวเองอย่างไรบ้าง นี่เป็นเพียงหนังม้วนแรก ยังมีม้วน 2 ม้วน 3 ตามมาอีกเยอะ เพราะส่วนใหญ่แล้ว กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลายเป็นคนชงเอง ขอเอง กินเองกันหมด ข้อมูลทุกอย่าง เป็นข้อมูลตามเอกสาร ไม่ใช่เรียกร้องออกมาลอยๆ แล้วก็เปลี่ยนหน้าชน
“หมอพลเดช นอกจากจะเป็นผู้ชงเอง เซ็นสัญญาเองจากเงินงบประมาณ ของแผ่นดิน ยังของบให้กับสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา ของ หมอพลเดชเอง ก็ขอไปอีก 6 แสนกว่าบาท ขอเอง ฉะนั้นคนที่เรียกร้องให้ ร.ต.อ.ปุระชัย ลาออก ก็ต้องพิจารณาตัวเองด้วย”
นายประวัฒน์ กล่าวว่า อีก 2 โครงการ ก็จะต้องมีการตรวจสอบอย่างแน่นอน ตนได้อ่านข่าวของ น.พ.พลเดช ก็เอะใจเลยกลับมาตรวจสอบว่า น.พ.พลเดชเป็นใคร และท้ายสุดก็อยู่ในการทับซ้อนผลประโยชน์ที่ตนเรียกร้อง คงกลัวถูกถลกหนังหัว ถึงเรียกร้องให้ ร.ต.อ.ปุระชัย ลาออก ขอเองเซ็นต์เองมีอย่างที่ไหน
ด้าน น.พ.พลเดช ปิ่นประทีป เลขาธิการมูลนิธิชุมชนท้องถิ่นพัฒนา กล่าวชี้แจง ว่า โครงการที่ทำอยู่นี้ ไม่ได้เป็นการชงเองกินเองอย่างที่ นายประวัฒน์ ออกมาระบุ ทั้งนี้ งานที่ทางมูลนิธิทำเป็นงานสร้างสรรค์ในการสร้างเสริมสุขภาพชุมชนในเชิงรุกซึ่งทำงานมากว่า 10 ปี และกระจายไปยัง 35 จังหวัดทั่วประเทศ
อย่างไรก็ดี เมื่อหน่วยงาน สสส. เกิดขึ้น และเห็นการทำงานของเรา จึงอยากให้ เราช่วยทำงานให้ โดยใช้ภาคประชาชนเป็นตัวขับเคลื่อน ซึ่งก็มีการหารือทำงานในลักษณะไตรภาคี คือ 1. สสส. 2.สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา และ 3. ภาคประชาชน 35 จังหวัด ซึ่งหากหนึ่งในไตรภาคีไม่เห็นด้วย โครงการก็จะล้มโดยทันที
น.พ.พลเดช กล่าวต่อว่า โครงการดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจาก บอร์ด พิจารณาสนับสนุนในขณะนั้น โดยมี นายจาตุรณต์ ฉายแสง รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งโครงการจะมีระยะเวลาดำเนินงาน 3 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2546 - 2548 อนุมัติงบในครั้งเดียว คือ จำนวน 210 ล้านบาท แต่ให้ทำสัญญาปีต่อปี ปีละ 70 ล้านบาท
“ต้องเข้าใจว่า การทำโครงการนี้ สสส.เป็นคนเดินมาหาผมเอง ไม่ไช่ผม เป็นฝ่ายไปขอทุน ซึ่งแนวทางการทำงานก็ชัดเจน ประเมินผลกันแบบปีต่อปี มีทีโออาร์ชัดเจน หากผ่านแล้วค่อยทำสัญญาต่อ โดยทำสัญญากับ น.พ.สุภกร บัวสาย ผู้จัดการ สสส. เป็นการทำงานระหว่างองค์กรต่อองค์กร และหากการประเมินงานในปีที่ 2 ไม่ผ่าน ก็ไม่ต้องต่อสัญญา การที่ นายประวัฒน์ ออกมาระบุว่า เป็นการกินเองชงเองนั่น ก็คงจะนึกถึงตัวเอง”
สำหรับการออกมาเคลื่อนไหวของนายประวัฒน์ ในครั้งนี้ น.พ.พลเดช เห็นว่า คงเป็นเพราะข้อเสนอจากที่ประชุมเครือข่ายภาคีสร้างสุขภาพเมื่อ 1 ก.ย. ที่เห็นควรให้ นายกรัฐมนตรี ปลด ร.ต.อ.ปุระชัย ออกจากประธานบอร์ด สสส. เนื่องจาก ทำงานร่วนกันต่อไปไม่ได้ และให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธานชั่วคราว ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวตนก็เสนอไปตามเนื้อผ้า เนื่องจากตนไม่รู้จัก ร.ต.อ.ปุระชัย และนายประวัฒน์ อยู่แล้ว ไม่ได้โกรธหรือเกลียดแต่อย่างใด
หากต้องการตรวจสอบการดำเนินงานในโครงการดังกล่าวก็สามารถทำได้เลย เพราะสิ่งที่ผมทำ ก็ทำไปด้วยความโปร่งใส มีหลักเกณฑ์ เรื่องนี้คงต้องให้เป็นดุลพินิจสังคมเป็นผู้พิจารณา ว่าจะเลือกใครจากข้อมูลที่ปรากฏแบบนี้ และเรื่องนี้หากนายกฯ ปล่อยเนินนานไว้ก็จะไม่เป็นผลดี จึงควรเร่งตัดสินใจโดยเร็ว”
นายประวัฒน์ อุตตะโมต ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์) แถลงถึงกรณีที่ นพ.พลเดช ปิ่นประทีป ออกมาเรียกร้องให้ ร.ต.อ.ปุระชัย ลาออกจาก การเป็นประธานคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)ว่าคณะกรรมการกลั่นกรอง ที่มี ร.ต.อ.ปุระชัย เป็นประธานต้องการตรวจสอบโครงการ 3 โครงการ ก่อนที่จะมีการนำเสนอ ครม.โดย 1 ใน 3 โครงการคือ โครงการ ของมูลนิธิท้องถิ่นพัฒนา ซึ่งมี นพ.ประเวศ วะสี เป็นประธานมูลนิธิ มีการของบประมาณมาทั้งหมด 67 ล้านบาท แต่คณะกรรมการเพิ่งมาทราบภายหลังว่า มีการ หมกเม็ด โดยในการเสนอขออนุมัติโครงการและของบประมาณ มี น.พ.พลเดช เป็นผู้ขอเสนองบฯ จาก 67 ล้านบาท เป็น 210 ล้านบาท ในระยะเวลา 3 ปี เพื่อเสนอ เข้าสู่คณะกรรมการบอร์ด ซึ่งเป็นบุคคลเดียวกับที่เสนอขออนุมัติงบประมาณ
“การขออนุมัติงบประมาณตามขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นผู้ขอ หรือผู้อนุมัติงบ ก็ล้วนแต่เป็นบุคคลกลุ่มเดียวกันทั้งสิ้น และหลังจากที่การอนุมัติผ่านไป ซึ่งคิดว่า เป็นเพียงแค่โครงการ 67 ล้านบาท หากดูถึงวัตถุประสงค์โครงการ อ่านแล้วเงิน 210 ล้านบาท ผมคิดว่าเป็นเงินมหาศาลมาก สำหรับวัตถุประสงค์หลัก ๆ ที่จะมาทำโครงการนี้”
นายประวัฒน์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่าท้ายที่สุดแล้วผู้ที่ลงนามในสัญญา ก็คือ น.พ.พลเดช ซึ่งเป็นเลขาธิการมูลนิธิชุมชนท้องถิ่นพัฒนา สรุปง่ายๆ คือ “โครงการนี้ชงเอง กินเอง ผมก็อยากถามเหมือนกันที่บอกว่ารัฐบาลชุดนี้ เป็นรัฐบาล แบบแกรนด์ดินเนอร์ คาบิเนต จะเรียกโครงการอย่างนี้ว่าอย่างไร “จั๊งฟู้ดบัดเจ็ต” หรือเปล่า เราอยากให้สังคมได้ตรวจสอบได้รู้ได้เห็นกระบวนการของบ ขอเขา ที่เรียกร้องให้ ร.ต.อ.ปุระชัย ลาออกก็เพราะกลัวการขุดคุ้ยอย่างนี้ และขอเรียนว่า เราไม่ได้ขุดคุ้ย เพียงแต่ขอดูโครงการเพื่อที่จะเสนอแนะ และให้โครงการนี้ เดินหน้าต่อไป”
นายประวัฒน์ กล่าวว่า สรุปง่ายๆ คือผู้ที่เราตรวจสอบเรียกร้องให้คนตรวจสอบ ลาออก ตนก็ขอเรียกร้องกลับว่าเป็นรัฐมนตรีก็คงต้องลาออกแน่ เพราะหลักฐานชัดเจนขนาดนี้ แต่ขณะเดียวกันผู้ทรงคุณวุฒิ จะพิจารณาตัวเองอย่างไรบ้าง นี่เป็นเพียงหนังม้วนแรก ยังมีม้วน 2 ม้วน 3 ตามมาอีกเยอะ เพราะส่วนใหญ่แล้ว กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลายเป็นคนชงเอง ขอเอง กินเองกันหมด ข้อมูลทุกอย่าง เป็นข้อมูลตามเอกสาร ไม่ใช่เรียกร้องออกมาลอยๆ แล้วก็เปลี่ยนหน้าชน
“หมอพลเดช นอกจากจะเป็นผู้ชงเอง เซ็นสัญญาเองจากเงินงบประมาณ ของแผ่นดิน ยังของบให้กับสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา ของ หมอพลเดชเอง ก็ขอไปอีก 6 แสนกว่าบาท ขอเอง ฉะนั้นคนที่เรียกร้องให้ ร.ต.อ.ปุระชัย ลาออก ก็ต้องพิจารณาตัวเองด้วย”
นายประวัฒน์ กล่าวว่า อีก 2 โครงการ ก็จะต้องมีการตรวจสอบอย่างแน่นอน ตนได้อ่านข่าวของ น.พ.พลเดช ก็เอะใจเลยกลับมาตรวจสอบว่า น.พ.พลเดชเป็นใคร และท้ายสุดก็อยู่ในการทับซ้อนผลประโยชน์ที่ตนเรียกร้อง คงกลัวถูกถลกหนังหัว ถึงเรียกร้องให้ ร.ต.อ.ปุระชัย ลาออก ขอเองเซ็นต์เองมีอย่างที่ไหน
ด้าน น.พ.พลเดช ปิ่นประทีป เลขาธิการมูลนิธิชุมชนท้องถิ่นพัฒนา กล่าวชี้แจง ว่า โครงการที่ทำอยู่นี้ ไม่ได้เป็นการชงเองกินเองอย่างที่ นายประวัฒน์ ออกมาระบุ ทั้งนี้ งานที่ทางมูลนิธิทำเป็นงานสร้างสรรค์ในการสร้างเสริมสุขภาพชุมชนในเชิงรุกซึ่งทำงานมากว่า 10 ปี และกระจายไปยัง 35 จังหวัดทั่วประเทศ
อย่างไรก็ดี เมื่อหน่วยงาน สสส. เกิดขึ้น และเห็นการทำงานของเรา จึงอยากให้ เราช่วยทำงานให้ โดยใช้ภาคประชาชนเป็นตัวขับเคลื่อน ซึ่งก็มีการหารือทำงานในลักษณะไตรภาคี คือ 1. สสส. 2.สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา และ 3. ภาคประชาชน 35 จังหวัด ซึ่งหากหนึ่งในไตรภาคีไม่เห็นด้วย โครงการก็จะล้มโดยทันที
น.พ.พลเดช กล่าวต่อว่า โครงการดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจาก บอร์ด พิจารณาสนับสนุนในขณะนั้น โดยมี นายจาตุรณต์ ฉายแสง รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งโครงการจะมีระยะเวลาดำเนินงาน 3 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2546 - 2548 อนุมัติงบในครั้งเดียว คือ จำนวน 210 ล้านบาท แต่ให้ทำสัญญาปีต่อปี ปีละ 70 ล้านบาท
“ต้องเข้าใจว่า การทำโครงการนี้ สสส.เป็นคนเดินมาหาผมเอง ไม่ไช่ผม เป็นฝ่ายไปขอทุน ซึ่งแนวทางการทำงานก็ชัดเจน ประเมินผลกันแบบปีต่อปี มีทีโออาร์ชัดเจน หากผ่านแล้วค่อยทำสัญญาต่อ โดยทำสัญญากับ น.พ.สุภกร บัวสาย ผู้จัดการ สสส. เป็นการทำงานระหว่างองค์กรต่อองค์กร และหากการประเมินงานในปีที่ 2 ไม่ผ่าน ก็ไม่ต้องต่อสัญญา การที่ นายประวัฒน์ ออกมาระบุว่า เป็นการกินเองชงเองนั่น ก็คงจะนึกถึงตัวเอง”
สำหรับการออกมาเคลื่อนไหวของนายประวัฒน์ ในครั้งนี้ น.พ.พลเดช เห็นว่า คงเป็นเพราะข้อเสนอจากที่ประชุมเครือข่ายภาคีสร้างสุขภาพเมื่อ 1 ก.ย. ที่เห็นควรให้ นายกรัฐมนตรี ปลด ร.ต.อ.ปุระชัย ออกจากประธานบอร์ด สสส. เนื่องจาก ทำงานร่วนกันต่อไปไม่ได้ และให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธานชั่วคราว ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวตนก็เสนอไปตามเนื้อผ้า เนื่องจากตนไม่รู้จัก ร.ต.อ.ปุระชัย และนายประวัฒน์ อยู่แล้ว ไม่ได้โกรธหรือเกลียดแต่อย่างใด
หากต้องการตรวจสอบการดำเนินงานในโครงการดังกล่าวก็สามารถทำได้เลย เพราะสิ่งที่ผมทำ ก็ทำไปด้วยความโปร่งใส มีหลักเกณฑ์ เรื่องนี้คงต้องให้เป็นดุลพินิจสังคมเป็นผู้พิจารณา ว่าจะเลือกใครจากข้อมูลที่ปรากฏแบบนี้ และเรื่องนี้หากนายกฯ ปล่อยเนินนานไว้ก็จะไม่เป็นผลดี จึงควรเร่งตัดสินใจโดยเร็ว”