xs
xsm
sm
md
lg

เบื้องหน้าเบื้องหลัง "หลิวเสียง"

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร


การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 28 ที่กรุงเอเธนส์เป็นเจ้าภาพ เกิดปรากฏการณ์ "การผงาดขึ้นของเอเชีย"อย่างชัดเจน จากความสำเร็จอย่างงดงามของนักกีฬาไทย ญี่ปุ่นและจีน

นักกีฬาไทยเราได้เหรียญมากเป็นประวัติการณ์ถึง 8 เหรียญ เฉพาะเหรียญทองก็มากถึง 3 เหรียญ ญี่ปุ่นได้เหรียญทอง 16 เหรียญครองอันดับ 5 ต่อจากออสเตรเลีย

ส่วนจีนนั้นได้เขยิบขึ้นไปสู่ความเป็นมหาอำนาจการกีฬาโลกแล้ว โดยได้เหรียญทองเป็นอันดับสองจำนวน 32 เหรียญ ไล่หลังสหรัฐฯ ติดๆ (สหรัฐฯ ได้ 35 เหรียญ) โดยในจำนวนเหรียญทองนั้น มีอยู่เหรียญหนึ่งเป็นเหรียญประวัติศาสตร์ของจีนและของคนเอเชีย คือเหรียญทองวิ่งข้ามรั้วระยะทาง 110 เมตรของหลิวเสียง นักวิ่งลมกรดจีน ที่ปัจจุบันได้กลายเป็นเจ้าลู่วิ่งข้ามรั้วโลกไปแล้ว ด้วยสถิติ 12.91 วินาที หลิวเสียงทำลายสถิติโอลิมปิก (12.95 โดยอลัน จอห์นสัน นักวิ่งอเมริกัน) และเทียบเท่าสถิติโลกที่คอลลิน แจ็กสัน นักวิ่งผิวหมึกชาวอังกฤษทำไว้เมื่อปี ค.ศ.1993

ในรอบชิงชนะเลิศเย็นวันที่ 27 ที่เมนสเตเดียมกรุงเอเธนส์ หลิวเสียงวิ่งเข้าเส้นชัยด้วยสถิติดังกล่าวทิ้งห่างนักวิ่งที่เหลืออีก 7 คน (ในจำนวนนั้นเป็นนักวิ่งผิวหมึก 6 คนและผิวขาวอีก 1 คน) แบบขาดลอย ภาพที่แพร่ไปทั่วโลกได้ช็อกอารมณ์คนทั้งโลกในบัดดล

คนเอเชียผิวเหลืองบอบบาง วิ่งชนะนักวิ่งผิวหมึกและผิวขาวตัวใหญ่ล่ำบึ้กแบบทิ้งห่าง!

ถึงไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ ถึงไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นไปได้ มันก็ได้เป็นไปแล้ว!

มหัศจรรย์จริงๆ !

คนจีนสร้างความมหัศจรรย์ได้อย่างไร?

สำหรับประเทศจีน หลิวเสียงเป็นนักกรีฑาชายคนแรกที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกให้จีน ก่อนหน้านี้ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ลอสแองเจลิสปี ค.ศ.1984 จูเจี้ยนหัว นักกีฬากระโดดสูงของจีนเคยทำได้อย่างมากแค่เหรียญทองแดง นอกจากนั้นจีนยังมีนักวิ่งหญิงระยะ 5,000 เมตรขึ้นไปจำนวนหนึ่งเคยคว้าเหรียญรางวัลในกีฬาโอลิมปิกหลายครั้ง

สำหรับเอเชีย หลิวเสียงเป็นนักวิ่งคนแรกที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกบนลู่วิ่งระยะสั้นทางตรง ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาอยู่ในการผูกขาดของนักวิ่งผิวหมึก แม้แต่นักวิ่งฝรั่งผิวขาวที่ไม่มีความเสียเปรียบในเรื่องรูปร่างและพละกำลังก็ยังเทียบไม่ติด

แต่หลิวเสียง เด็กเซี่ยงไฮ้รูปร่างผอมบาง (สูง 188 ซม.) อายุย่าง 21 ปี กลับวิ่งได้อย่างระเบิดเถิดเทิง ทิ้งห่างคู่แข่งแบบขาดลอย ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ

สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้แก่ชาวเอเชียและวงการกีฬาโลกแบบหวือหวาที่สุดเท่าที่เคยมีมา

จนถึงวันนี้ คาดว่าหลายคนอาจยังงงๆอยู่ หาคำตอบไม่ได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น หลายคนอาจจะยังรู้สึกคลางแคลงใจอยู่ว่า ชัยชนะของหลิวเสียงจะเป็นเพียงปรากฏการณ์เฉพาะเท่านั้นหรือไม่ เมื่อพ้นจากเขาแล้ว ยังจะมีนักวิ่งเอเชียคนอื่นทำได้อย่างเขาหรือ?

สรุปคือ คนเอเชียถึงที่สุดก็คงจะวิ่งสู้ฝรั่งผิวขาวและนิโกรผิวหมึกไม่ได้วันยังค่ำ เนื่องจากข้อจำกัดต่างๆดังที่เราๆรู้ดีกันอยู่แล้ว

จนถึงเวลานี้ ก็ยังไม่มีใครให้คำตอบแบบ "ฟันธง" ได้ว่า นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คนเอเชียจะวิ่งชนะคนยุโรปแอฟริกา-อเมริกาได้ตลอดไป

เอาละ อนาคตจะเป็นอย่างไร เห็นทีจะต้องปล่อยให้นักสร้างประวัติศาสตร์ไปสร้างขึ้นมา ในตอนนี้ เรามาย้อนดูกันให้จะจะสักหน่อยว่า คนจีนเขาสร้างประวัติศาสตร์ครั้งนี้ขึ้นมาได้อย่างไร?

จากรายงานของสื่อจีน ความสำเร็จของหลิวเสียง ที่สำคัญที่สุด มาจาก 1. พรสวรรค์ และ 2. โค้ชดี (จากการให้สัมภาษณ์ของเฝิงซู่หย่ง หัวหน้าโค้ชทีมนักกีฬาโอลิมปิกจีน)

โดยภูมิหลังส่วนตัว หลิวเสียงเป็นเด็กจีนธรรมดาๆ เกิดที่เซียงไฮ้ (ปี ค.ศ.1983) ในครอบครัวคนทำงานหาเช้ากินค่ำ บิดาสูง 176 ซม. มารดาสูง 167 ซม. และมีปู่มีย่าคอยให้ความรักเอ็นดูอีกต่างหาก

เขาเป็นเด็กซุกซนชอบวิ่งกระโดดโลดเต้นปีนป่ายไปทั่ว คุณพ่อเห็นแววจึงส่งเข้าโรงเรียนกีฬายุวชนของนครเซี่ยงไฮ้ โดยเน้นไปทางด้านการกระโดดสูง ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้ชื่นชอบอะไรเป็นพิเศษ รู้แต่ว่ามันสนุกดี

ชีวิตในโรงเรียนไม่ราบรื่นนัก เนื่องจากเขามักจะถูกรุ่นพี่รังแก ทำให้รู้สึกเบื่ออยากออกจากโรงเรียน แต่กลับพบเห็นแบบอย่างของคุณปู่ที่พยายามหัดขี่จักรยานได้สำเร็จทั้งๆที่แก่มากแล้ว(ขี่จักรยานเป็นแล้วก็ให้หลิวเสียงซ้อนท้ายไปโรงเรียน) จึงฮึดสู้ต่อไป

จนเมื่ออายุได้ 13 ขวบ (ปี 1996) ซุนไห่ผิง โค้ชกรีฑาจีนได้พบกับหลิวเสียง เห็นหน่วยก้านที่สามารถเอาดีทางวิ่งข้ามรั้วได้ จึงรับเป็นศิษย์ฝึกฝนวิ่งข้ามรั้วโดยเฉพาะ โดยไม่สนใจในเสียงคัดค้านของเพื่อนฝูงโค้ชด้วยกันที่ว่า หลิวเสียงบอบบางเกินไปสำหรับกีฬาประเภทนี้

ซุนไห่ผิงเป็นโค้ชประเภทนักวิชาการ เคยเดินทางไปศึกษาต่อที่สหรัฐฯ ศึกษาค้นคว้าเรื่องการโค้ชนักกรีฑามากเป็นพิเศษ มีวิสัยทัศน์และหูตากว้างไกล เขาวางแผนการฝึกให้กับหลิวเสียงแบบ "เปิดกว้าง" ตั้งแต่เริ่มแรก นั่นคือหาโอกาสให้ลูกศิษย์ได้แข่งขันบ่อยๆทั้งสนามในประเทศและสนามต่างประเทศ
เทคนิคการฝึกของซุนไห่ผิง

ซุนไห่ผิงฝึกหลิวเสียงอย่างไร จึงทำให้ "ดิน" เป็น "ดาว"?

จากการเปิดเผยของซุนไห่ผิง โค้ชเพียงหนึ่งเดียวของหลิวเสียง ที่ค่อยๆปั้นให้เขาก้าวขึ้นสู่ความนักวิ่งระดับแนวหน้าของโลก ว่าหลักๆ แล้ว เขาพัฒนาแผนการฝึกตามสภาวะเป็นจริงของหลิวเสียง ถือเอาตัวหลิวเสียงเป็นฐาน พยายามพัฒนาจุดแข็งและปรับปรุงแก้ไขจุดอ่อนข้อบกพร่องตามที่พบเห็นในแต่ละขั้นของการฝึกอย่างสม่ำเสมอ

กล่าวกันว่า วิธีการเช่นนี้แตกต่างไปจากโค้ชส่วนใหญ่ของจีน ที่มักจะกำหนดแผนการฝึกเป็นสูตรสำเร็จมากกว่า

ไม่นานนักหลิวเสียงก็ก้าวขึ้นมาเป็นนักวิ่งข้ามรั้วระดับแนวหน้าของจีน และเริ่มเดินทางออกไปแข่งขันกับนักวิ่งชั้นนำของโลกตั้งแต่ปลายปี 2000

จากการแข่งขันในสนามสำคัญๆ ในต่างแดน จุดที่โค้ชซุนไห่ผิงให้ความสำคัญที่สุดในการยกระดับการวิ่งของหลิวเสียงก็คือการออกตัว

เขาบอกว่า จุดเด่นของหลิวเสียงคือความเร็วในตอนปลาย แต่มักจะออกสตาร์ทไม่ดี ดังนั้น ในการแข่งขันทุกครั้ง หลิวเสียงจะต้องเหน็ดเหนื่อยกับการไล่กวดคู่แข่งเสมอ ซึ่งมักจะเป็นในช่วงกลางของการวิ่งขึ้นไป ผลคือหลิวเสียงจะวิ่งเข้าเส้นชัยเป็นอันดับสองหรือสามโดยตลอด ไม่เคยเข้าวินอันดับหนึ่งเลย
โค้ชซุนไห่ผิงจึงได้ทำแผนการฝึกระยะยาวนับปีให้หลิวเสียงแก้ไขจุดบกพร่องนี้โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในช่วงฤดูหนาวของปี 2003 ได้ซุ่มซ้อมอย่างหนัก และพัฒนาขึ้นมาได้ดีมาก (เคยทำเวลาได้ต่ำกว่า 13 วินาทีในระหว่างการซ้อม แต่ไม่เปิดเผยเพราะจะเป็นแรงกดดันต่อหลิวเสียง) สร้างความมั่นใจให้กับโค้ชซุนเป็นอย่างยิ่งว่า หลิวเสียงมีโอกาสสร้างปาฏิหาริย์ได้ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่กรุงเอเธนส์ในเดือนสิงหาคมนี้

แผนการวิ่งของหลิวเสียงก็คือ ออกสตาร์ทเร็ว และรักษาความเร็วในช่วงระหว่างกลางและปลายของการวิ่งจนเข้าถึงเส้นชัย หลักใหญ่คือหลิวเสียงวิ่งตามธรรมชาติของตนเอง ควบคุมการวิ่งของตนเองได้ สามารถเร่งและผ่อนตนเองได้ตามต้องการ

ทำได้เช่นนี้ ก็มีสิทธิ์ได้เหรียญ (ก่อนการวิ่ง ทั้งหลิวเสียงและโค้ชซุนไห่ผิงไม่เคยบอกว่าจะได้เหรียญทอง มีแต่บอกว่าจะวิ่งให้ดีที่สุด)

สภาพจิตใจเป็นเยี่ยม

ซุนไห่ผิง โค้ชหลิวเสียงอย่างเป็นบูรณาการ นั่นคือเขาคอยดูแลเอาใจใส่ในตัวหลิวเสียงในทุกๆ เรื่อง เพื่อป้องกันมิให้หลิวเสียงได้รับผลกระทบที่ไม่ดี ดังนั้นในแต่ละวัน โค้ชคนนี้จึงคลุกคลีอยู่กับลูกศิษย์ทั้งในสนามและนอกสนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการเก็บตัวไปโอลิมปิกที่กรุงเอเธนส์ ซุนไห่ผิงแทบไม่ปล่อยให้หลิวเสียงคลาดสายตา

เมื่อถูกถามถึงเรื่องนี้ เขาก็พูดว่า นี่เป็นหลักปฏิบัติทั่วไปของโค้ชในต่างประเทศ คือจะต้องสามารถใช้ชีวิตร่วมกับนักกีฬาได้เป็นอย่างดี จึงจะจับนิสัยใจคอและอารมณ์ของนักกีฬาได้อย่างถูกต้อง และทำแผนการฝึกได้ตรงกับสิ่งที่นักกีฬาต้องการได้อย่างแท้จริง

การโค้ชของซุนไห่ผิงทำให้หลิวเสียงวิ่งได้ดีขึ้นเรื่อยๆ จึงมีตำนานเล็กๆ เรื่องหนึ่งเล่าขานกันอยู่ในแวดวงโค้ชจีนว่า เมื่อหลิวเสียงทำสถิติดีขึ้น เป็นที่สนใจของสายตาวงการกรีฑาโลกแล้ว ก็มีข้อเสนอจากต่างประเทศว่า จะหาโค้ชชั้นเยี่ยมให้กับหลิวเสียง เชื่อว่าจะสามารถวิ่งได้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก (ทำนองเดียวกับเมื่อครั้งที่ภราดร ศรีชาพันธุ์ดังเป็นพลุแตกในปี 2003 ก็มีเสียงเรียกร้องให้หาโค้ชฝรั่งมาทำหน้าที่แทนคุณพ่อ) แต่หลิวเสียงไม่เอาด้วย เขาบอกกับผู้ปรารถนาดีรายนั้นว่า "ผมไม่เคยคิดที่เปลี่ยนโค้ชเลย"

สายใยระหว่างโค้ชกับนักกีฬา จึงมีความสำคัญยิ่งในบางขณะ

หลังจากนั้นหลิวเสียงก็วิ่งได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ทำให้คู่แข่งรู้สึกร้อนใจ ถึงกับส่ง "สปาย" สืบความลับการฝึก แต่โค้ชซุนไห่ผิงก็รู้ทัน ปรับการฝึกเป็นแบบลึกและลับยิ่งขึ้นเป็นพิเศษ

ความเชื่อมั่นในโค้ช เป็นฐานจิตที่จำเป็นสำหรับนักกีฬา ต่อจากนั้นก็เป็นกำลังใจและโอกาสในการฝึกฝนความนิ่งไม่ตื่นสนาม

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ศูนย์การกรีฑาแห่งประเทศจีนมีบทบาทสำคัญยิ่ง คอยสนับสนุนให้หลิวเสียงได้ไปแข่งขันในสนามสำคัญๆ ระดับโลกเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี ค.ศ.2003

บทเรียนในอดีตของนักกีฬาจีนและประสบการณ์ของนักวิ่งระดับโลกของประเทศต่างๆ ทำให้ศูนย์กรีฑาจีนตระหนักถึงความสำคัญของการแข่งขันในต่างประเทศของนักกรีฑาจีน

นักกีฬาจีนมักจะตื่นสนาม (เช่นกรณีจูเจี้ยนหัว นักกระโดดสูงเจ้าของสถิติโลกในช่วงนั้น พอถึงเวลาแข่งจริงกลับได้เพียงเหรียญทองแดง) เพราะขาดประสบการณ์และคุ้นเคยกับบรรยากาศการแข่งขันระดับโลก เกิดความตื่นเต้นและเกร็ง ซึ่งตรงกันข้ามกับนักกีฬาเจนสนามที่สามารถปล่อยวางตนเองได้อย่างแท้จริงในระหว่างการแข่งขัน

หลิวเสียงโชคดี มีโอกาสเดินทางไปแข่งขันในสนามใหญ่ๆ ของโลกแบบถี่ยิบ เฉพาะปี 2003 มีถึง 35 ครั้งใน 20 สนาม ทำให้เขาก้าวเข้าสู่ลู่วิ่งในสนามเมนสเตเดียมกรุงเอเธนส์ได้อย่างผ่อนคลาย และออกวิ่งนำลิ่วตั้งแต่เริ่มต้นไปจนถึงเส้นชัย

เรื่องราวของหลิวเสียง ไม่เพียงแต่จะได้รับการกล่าวขานกันต่อไป แต่ยังจะมีผลกระทบต่อวงการกรีฑาเอเชียอย่างแรง ไม่เว้นประเทศไทย

หากประเทศไทยหวังจะเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกจริง ก็จะต้องสร้างนักกรีฑาชั้นยอดเช่นที่จีนสร้างหลิวเสียงขึ้นมาให้ได้ ดังเช่นที่จีนเขาทำได้แล้ว!
กำลังโหลดความคิดเห็น