คืนนั้น หล่อนได้รับคำบอกกล่าวแต่เพียงว่า
"...ด้วยวิสัยในการประเวณี ยอมอยู่ที่ดวงจิตพิสมัย
พอถึงกันก็ประวัติกำหนัดใน แต่พอได้รู้รสก็หมดกลัว
ยิ่งหนุ่มสาวคราวแรกภิรมย์รัก พอประจักษ์ได้เสียเป็นเมียผัว
มักหลงใหลคลึงเคล้าเฝ้าพันพัว ราวกับตัวขึ้นสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์
เมื่อแรกๆ ร่วมเรียงเคียงเขนย อย่ากลัวเลยจะพิโรธโกรธขึ้ง
ตกนานวันว่างวายคลายเคล้าคลึง นั่นแลจึงจะได้รู้ดูใจกัน
วิสัยชายคล้ายกับคชสาร ถ้าหมอควาญรู้ที่ดีขยัน
แต่ทว่าบางยกตกน้ำมัน ต้องรู้จักผ่อนผันจึงเป็นเพลง..."
เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่หล่อนได้รับการบอกกล่าวด้วยข้อความสั้นๆ นี้ เพื่อที่หล่อนจะต้องไปทำหน้าที่เป็นเมียผู้ชายครั้งแรกในชีวิต หรือเพื่อที่หล่อนจะได้ไปเสียความบริสุทธิ์หรือเสียความเป็นสาวครั้งแรกในชีวิตของหล่อนให้แก่ผู้ชายคนหนึ่ง
ชื่อของหล่อนคือ สร้อยฟ้าหรือนางสาวสร้อยฟ้า แห่งเชียงใหม่
ผู้บอกกล่าวคือ นางอัปสรชนนี แม่บังเกิดเกล้าของหล่อนเอง
ข้อความบอกกล่าวแต่เพียงสั้นๆ นั้น ชัดเจนเพียงพอสำหรับผู้หญิงสาวที่เพิ่งจะรู้และเพิ่งจะเข้าใจในปัญหาทางเพศ ที่ไม่จำเป็นจะต้องศึกษาอะไรไปมากมายกว่านี้อีก นอกจากว่า การที่ยังไม่เคยเสียความเป็นสาวหรือไม่เคยเสียความบริสุทธิ์ให้แก่ชายมาก่อนเลยนั้น ในตอนแรกอาจจะมีความประหม่าและหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่นั่นไม่สำคัญอะไรนัก เนื่องจากว่า โดยธรรมชาติของผู้หญิงและผู้ชายนั้น "พอถึงกันก็ประวัติกำหนัดใน" ขึ้นมาได้เอง ถ้าหากว่าทั้งคู่จะมี "ดวงจิตพิสมัย" กันเป็นพื้นอยู่ก่อนแล้ว ทุกอย่างก็จะเรียบร้อยไปเอง และต่อจากนั้น "แต่พอได้รู้รสก็หมดกลัว"
สังคมไทย เป็นสังคมเก่าแก่เพียงพอที่สามารถจะนำความเก่านั้นมาพิสูจน์อะไรต่ออะไรได้หลายอย่างหลายประการ เฉพาะในแง่ที่ว่า ตลอดเวลาอันยาวนานที่สังคมนี้ดำรงมานั้นเป็นเพราะอะไร ปัญหาบางอย่างมันจึงไม่เกิดขึ้น และเพราะอะไรปัญหาบางอย่างมันจึงได้เกิดขึ้น
ในบรรดาปัญหาทั้งหลายแหล่เหล่านั้น มีอยู่ปัญหาหนึ่งที่ไม่เคยก่อความยุ่งยากให้แก่สังคมไทยมาเป็นเวลาพันๆ ปี ปัญหานั้นก็คือ ปัญหาทางเพศหรือปัญหาทางกามารมณ์
ไม่มีความสำส่อนหรือการฉุดคร่าข่มขืน หรือการขายเนื้อขายตัวเป็นผักเป็นขยะอย่างทุกวันนี้
เพราะอะไร?
เป็นเพราะว่า ชนชาติไทยหรือสังคมไทยเป็นสังคมและชนชาติที่งดเว้นเสียจากกามารมณ์ หรือความสำส่อนทางเพศกันมาอย่างหนักกระนั้นหรือ?
เปล่าเลย!
ตรงข้าม สังคมไทยเป็นสังคมที่อบอวลและอะร้าอร่ามไปด้วยกิจกรรมทางเพศ และความโอ่อ่าโอฬารทางด้านกามารมณ์กันอย่างถึงขนาดมานับเป็นพันๆ ปี ที่ชาติไทยมีประวัติความเป็นมา
แต่ถึงกระนั้น ความเละเทะสำส่อนทางกามารมณ์หรือความวิปริตพิสดารทางกามารมณ์อันน่าเป็นห่วงเป็นใยอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ ก็ยังไม่เคยเกิดขึ้น หรือถ้าจะเกิดขึ้นก็ยังไม่ถือว่าเป็นปัญหา
ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น ทำไมปัจจุบันนี้ ปัญหาทางเพศและกามารมณ์จึงเป็นปัญหาสำหรับคนไทยและผู้หญิงไทย
มีการฉุดคร่าอนาจารและการปลุกปล้ำข่มขืน ขนาดหนึ่งต่อสามสิบ ก็ยังทำกัน
ปัญหาทางเพศในปัจจุบันนี้ ได้มีข่าว มีการกล่าวขวัญวิตกกังวลกันมากขึ้น ในวงการแพทย์ ในวงการศึกษาเคยได้มีการเคลื่อนไหวกันถึงขนาดที่ว่า จะนำเรื่องเพศศึกษามาสอนกันในโรงเรียนโดยอ้างว่า ให้คนไทยรู้เรื่องเกี่ยวกับทางเพศและกามารมณ์เสียตั้งแต่ในโรงเรียน หรือตั้งแต่หัวเท่ากำปั้นเสียทีเดียว
จากวงการแพทย์และวงการศึกษาในสมัยหนึ่ง ในสมัยปัจจุบันนี้เริ่มตั้งแต่กรณี เตือนใจ พวงนาค เป็นต้นมาจนกระทั่งถึง ครูส่งศรี อินทรตุล และกรณีเด็กหญิงที่อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก วงการบริหารและวงการปกครอง ได้เริ่มมองเห็นปัญหาทางเพศในสังคมไทยกันขึ้นมาแล้ว แม้ว่าจะทำอะไรไม่ได้นอกจากความงุนงงและสั่งยิงเป้าไปด้วยมาตรา 21 ไปจำนวนหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้เกิดการแก้ปัญหาใดๆ ที่ถูกต้องขึ้นมาได้
ปัญหาทางเพศและความเลวร้ายจากกิจกรรมกามารมณ์ในสังคมไทย ก็ยังเป็นปัญหาที่อึดอัดเหมือนไข้หนักอยู่ตลอดไป
ยังไม่มีใครจะสามารถแก้ไขประการใดได้ นอกจากหาทางปราบ ยิงเป้า เข้าคุก หรือไม่ก็ฆ่าทิ้งไป คนที่รับเคราะห์ เฉพาะผู้หญิง ก็ก้มหน้าก้มตารับเคราะห์นั้นไปเรื่อยๆ
เราจะแก้ปัญหานี้กันอย่างไร?
ก่อนที่จะพูดถึงปัญหาการแก้ไข ก็ควรจะพูดถึงปัญหาการเกิดขึ้นของปัญหาทางเพศเสียก่อนว่า มันเกิดขึ้นมาอย่างไร?
เมื่อเราพูดถึงปัญหาทางเพศที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ ความจริงของมันก็คือปัญหาทางสังคม หรือเป็นปัญหาสังคมทั้งหมด
อาจจะเป็นเพราะว่าสังคมเราเปลี่ยนแปลงไปจากดั้งเดิมของเรา หรืออาจจะเป็นเพราะว่าสังคมไทยได้รับเอาอารยธรรมจากภายนอกประเทศเข้ามาเป็นวัฒนธรรมของเราเอง หรืออาจจะพูดได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของสังคมเรานั้น เป็นการเปลี่ยนโดยการรับเอาวัฒนธรรมจากต่างประเทศเข้ามาเป็นหลักหรือเข้ามาแทนที่ของวัฒนธรรมไทย เฉพาะวัฒนธรรมเกี่ยวกับทางเพศหรือทางกามารมณ์
วัฒนธรรมที่เราเอามานั้น ก็ไม่ได้เอามาจากที่ไหนนอกไปจากวัฒนธรรมฝรั่งหรือวัฒนธรรมตะวันตก ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า เป็นสังคมที่มีปัญหาทางเพศและมีปัญหาทางกามารมณ์สูงที่สุด และเป็นปัญหาประจำชาติและประจำสังคมของประเทศเหล่านั้นมาแต่โบราณกาล
วัฒนธรรมไทยหรือปัญหาทางเพศของสังคมไทย มีความแตกต่างกับวัฒนธรรมทางตะวันตกอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ หรือมีความแตกต่างกันทุกด้านทุกจุด
แต่เมื่อเรารับเอาวัฒนธรรมทางเพศของต่างประเทศเข้ามา เราไม่ได้เลือกว่าควรจะรับเอามาแต่เพียงจุดไหนหรือแง่ใดมุมใด ตรงข้าม เรารับเอามาทั้งหมด และมายัดเยียดให้สังคมไทย โดยรื้อวัฒนธรรมเก่าของเราออกไปทั้งหมดและโดยสิ้นเชิง
โดยรวดเร็วและไม่มีการเตรียมตัวเตรียมใจให้สังคมของเราเรียนรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด
ปัญหามันก็เกิดขึ้น
ปัญหาทางเพศที่เกิดขึ้นในสังคมตะวันตก ไม่ได้เกิดขึ้นเหมือนสังคมไทย เพราะสังคมตะวันตกโบราณได้พยายามปิดบังและกดดันเรื่องราวเกี่ยวกับทางเพศและกามารมณ์ไว้ด้วยวัฒนธรรมประเพณีอันเคร่งครัดกวดขันติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายร้อยปี
เฉพาะอย่างยิ่ง ในระยะเวลาเป็นร้อยๆ ปีของศตวรรษที่ 19 มาจนกระทั่งถึงระยะหลัง สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ชาวตะวันตกได้รับการกดดันทางเพศติดต่อกันมาอย่างหนัก การห้ามกัน และบทบัญญัติทางสังคมอันเกี่ยวกับปัญหาทางเพศอย่างกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ในระยะเวลาอันยืดยาวนั้น เป็นเรื่องเข้มงวดกวดขันอย่างยิ่ง ไม่เฉพาะแต่ทางด้านศาสนาซึ่งมีอิทธิพลต่อบทบัญญัติอันเข้มงวดเหล่านั้น แม้แต่นักวิชาการหรือในวงการแพทย์ยุคนั้น ทุกคนต่างก็ถือว่าเรื่องทางเพศหรือเรื่องกามารมณ์เป็นเรื่องของความชั่วร้าย
ทุกคนจะบัญญัติกันอย่างเอาเป็นเอาตายว่า เรื่องเพศเป็นเรื่องที่น่าอับอาย ไม่พึงคิดถึง ไม่ควรพูดถึง ผู้หญิงทุกคนในสมัยวิกตอเรีย ไม่เพียงแต่จะถูกห้ามไม่ให้สนใจปัญหาทางเพศเท่านั้น แม้แต่คิดถึงหรือให้ความสนใจแม้แต่น้อย ก็ถือว่าเป็นความชั่วที่แสนจะชั่วที่สุดทีเดียว
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งของสมัยนั้นถึงกับเขียนลงไปว่า "...ส่วนมากของผู้หญิงผู้ลากมากดี จะต้องไม่เดือดร้อนเกี่ยวกับความรู้สึกทางเพศ ไม่ว่าด้วยเรื่องใดๆ" แล้วก็ย้ำต่อไปว่า ใครๆ ก็ตามที่มีความคิดความเข้าใจผู้หญิงผิดไปจากนี้แล้ว ก็เท่ากับเป็นผู้ที่กล่าวร้ายให้โทษแก่ผู้หญิงอย่างโหดร้ายที่สุด เพราะผู้หญิงที่เป็นผู้หญิงจริงๆ นั้น จะต้องไม่มีความรู้สึกทางเพศเอาเลยทีเดียว
กล่าวยิ่งไปกว่านั้น คือเหมาเอาเลยว่า ผู้หญิงคนใดก็ตามที่กำลังอยู่ในความรักแล้วเกิดแสดงอาการอย่างหนึ่งอย่างใดออกมาเป็นทำนองว่า มีความรู้สึกทางเพศแล้วละก็ ผู้หญิงคนนั้น ถือว่าได้เกิดมีอาการทางโรคจิตขึ้นแล้ว ซึ่งจะต้องรีบรักษากันอย่างเป็นวรรคเป็นเวรไปทีเดียว พร้อมๆ กันนั้น (Windschied) ถึงกับกล่าวออกมาว่า ถ้าผู้หญิงคนใดคนหนึ่งแสดงความต้องการหรือแสดงท่าทีใดๆ เกี่ยวกับความรู้สึกทางเพศออกมาแล้ว ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ผู้หญิงคนนั้นถือได้ว่ามีอาการวิปริตหรือไม่ปกติ (Abnormality) เอาเลยทีเดียว
Magaret Mead นักมานุษยวิทยาลือชื่อของอเมริกัน สรุปเรื่องเกี่ยวกับความกดดันทางเพศของสังคมตะวันตกไว้ว่า "...ในสมัยวิกตอเรีย ผู้หญิงที่เรียกกันว่า ผู้ลากมากดีหรือมีคุณสมบัตินั้น จะต้องถูกอบรมสั่งสอนให้ถือว่ากามารมณ์เป็นเรื่องไม่มีรสชาติ ถ้าหากว่าสามีของเธอเป็นคนเคร่งครัดต่อระเบียบแบบแผน ถึงแม้ว่าเธอจะพบว่า กามารมณ์นั้นจะมีความรื่นรมย์และเป็นรางวัลแก่ชีวิตก็จะต้องพยายามเสแสร้งแกล้งทำให้เห็นว่ามันไม่เป็นเรื่องเป็นราว ผู้หญิงที่รู้สึกมีความสุขในการร่วมกามารมณ์ ถือว่าเป็นผู้หญิงเลวทราม ไม่เหมาะแก่ตำแหน่งที่ดีทางสังคมหรือไม่เหมาะสมที่จะเกิดมาเป็นแม่คน เหมือนกับเรื่องเกินๆ เลยๆ ทั้งหลายที่ปฏิเสธความแตกต่างของมนุษย์...ความแตกต่างระหว่างผู้หญิงที่มีอารมณ์กับผู้ชายที่เฉื่อยชาไม่เอาไหน...ประเพณีของยุคสมัยวิกตอเรียที่ลงโทษผู้หญิงบางคนเป็นคนดี บางคนเป็นคนเลวเพราะเรื่องเพศเป็นประเพณีที่ขาดความเห็นอกเห็นใจต่อผู้หญิงและผู้ชายจำนวนมาก ที่มีชีวิตอยู่ในสมัยนั้น..."
ประเพณีอันแน่นหนักและด้วยความเข้มงวดกวดขันที่เป็นมาดังนี้เอง ที่ทำให้นักแสวงสวาททั้งหลายของสังคมตะวันตก พยายามหาทางออกด้วยการไม่ยอมเอาใจดูหูใส่และไม่ยอมรับขนบประเพณีเหล่านั้น นับตั้งแต่ปลายสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเป็นต้นมา และเนื่องด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ ทำให้ผู้หญิงต้องมีเสรีภาพในการออกนอกบ้านมากขึ้น ทำให้ผู้หญิงมีโอกาสที่จะแสวงหาทางออกทางด้านเพศและกามารมณ์ ไม่ว่าจะโดยทางตรงและทางอ้อม ในขณะที่ผู้ชายก็พยายามแหวกทลายรั้วล้อมของขนบประเพณีเหล่านั้นออกมาหาความไม่มีกฎเกณฑ์ในการแสดงออกทางเพศ ด้วยวิธีการหลบซ่อนและอำพรางประเพณีในสังคมตะวันตกก็เกิดขึ้น
ปัญหาทางเพศของสังคมตะวันตกจึงกลายเป็นเสมือนน้ำป่าที่หลั่งไหลออกมาทะลักทลายเขื่อนของขนบประเพณีตะวันตกอย่างไม่มีทางหยุดยั้ง และไม่สามารถจะควบคุมให้เข้าร่องเข้ารอยได้
แต่กระนั้น ความรู้สึกผิด (Guilt Feeling) ทางด้านเพศของคนในสังคมตะวันตกก็ยังฝังลึกอยู่ในความรู้สึกของคนในสังคมตะวันตก ในฐานะที่มันเป็นบาปทางแนวคิดของศาสนาและขนบประเพณีที่วางกันไว้เป็นเวลาเนิ่นนานมา
ถึงแม้ว่าทางร่างกายและการกระทำภายนอกจะกระทำกันได้อย่างเสรีหรือดูเหมือนจะเสรีแต่ภายในจิตใจและความรู้สึกของคนตะวันตก ยังถือว่าเป็นเรื่องของความชั่วร้ายอยู่เช่นเดียวกับยุคสมัยวิกตอเรีย
ดร.อัลเบิร์ต เอลลิส นักเขียนปัญหาทางเพศลือชื่อของอเมริกัน เขียนถึงปัญหา "บาปทางใจ" เกี่ยวกับเรื่องเพศของคนตะวันตกสมัยนี้ไว้ว่า
"ถ้าหากคุณป้ามาทิลดา ของคุณเกิดทราบขึ้นมาว่า คุณไปทำอัตตกิลมถานุโยค (สำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง) หรือเกิดไปได้เสียกับแม่สาวอายุ 19 ปี ข้างๆ บ้านเข้า คุณป้ามาทิลดาจะถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับเอาทีเดียว ปัญหานี้เป็นปัญหาที่ถือว่าใหญ่หลวงอย่างยิ่งทีเดียว สำหรับคุณป้ามาทิลดา และในทำนองเดียวกัน เนื่องจากว่าการได้เสียนั้น เป็นการได้เสียด้วยความสมัครใจ ไม่มีการแต่งงานกัน ถ้าแม่สาวคนนั้นเกิดมีความรู้สึกเช่นนี้ขึ้นมาเมื่อใดแล้ว หล่อนก็จะบังคับบงการให้คุณหยุดการกระทำเช่นนั้นอยู่ร่ำไป ทั้งคุณป้ามาทิลดาและแม่สาวคนนั้น จะรู้สึกว่าตนได้รับความเจ็บปวดอยู่ตลอดไป โดยที่หล่อนทั้งสองไม่ยอมหยุดเว้นที่จะให้ตนได้รับความเจ็บปวดเหล่านั้นอยู่ตลอดไป เนื่องจากขนบประเพณีทางศาสนาที่หล่อนได้รับการปลูกฝังไว้ให้คิดว่า มันเป็นบาปอันฝังแน่นนั่นเอง..."
ความสำส่อนและความเน่าเฟะทางด้านกามารมณ์และเพศ แม้ว่าจะกระฉ่อนฉาวอยู่ในสังคมตะวันตกที่มองเห็นได้ง่ายก็ตาม แต่ความจริงทางด้านจิตใจแล้ว คนตะวันตกจะได้รับความทุกข์ทรมาน เพราะความรู้สึกผิดหรือเป็นบาปทางใจ (Guilt Feeling) หนักอย่างยิ่ง
แต่ทุกคนก็ไม่สามารถจะละเว้นได้
เพราะเรื่องของกามารมณ์ทางเพศ มันคือสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต ที่คนจะต้องแสวงหามันและให้ได้มันมาเท่าๆ กับความจำเป็นที่จะต้องกินอาหารและดื่มน้ำ
เพราะฉะนั้น ทุกคนจึงพยายามหลบหลีกผนังทองแดงกำแพงเหล็กประเพณีของศาสนานั้นออกมาแสวงหาความสุขทางเพศอย่างสำส่อนและด้วยการละเมิด อย่างไม่มีหลักเกณฑ์
นักเขียนทางเพศผู้มีชื่อเสียงคนเดียวกันนี้กล่าวต่อไปว่า
"...ผู้ชายนับจำนวนล้านๆ ของอเมริกา ถูกบังคับให้หนีไปเสียให้ไกลไสไปเสียให้พ้นจากการทำหน้าที่ทางเพศ ซึ่งทำให้เขาต้องไปเลือกหาวิธีกระทำเอาอย่างหนึึ่งอย่างใดที่จะช่วยไม่ให้เขาเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาว่า การกระทำเช่นนั้นเป็นของไม่ดี วิธีทำอย่างหนึ่งอย่างใดนั้นก็คือ วิธีที่ไม่ยากที่เขาจะแสวงหามันได้ ในกลุ่มสังคมอันมากมายของเรา (คือขอให้ได้มันมาเท่านั้น ไม่สำคัญว่ามันจะผิดหรือจะถูก)..."
วิธีแสวงหาหรือการกระทำที่ไม่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกผิดหรือเป็นบาปทางใจ ที่จะไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ขนบประเพณีของใคร เท่าที่ชาวตะวันตกนิยมกระทำกันอยู่ในขณะนี้ก็คือ การกระทำแบบอัตตกิลมถานุโยค คือสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง ซึ่งเขาถือว่ามันไม่หนักกะบาลหัวใครนั่นเอง
หรือไม่เช่นนั้น ก็ลักลอบสมสู่ด้วยความสมัครใจระหว่างหญิงและชาย ซึ่งมันก็ไม่มีใครรู้ หรือหนักกะบาลหัวใครอีกนั่นแหละ
แม้แต่การเป็นชู้กับเมียเขาก็เช่นเดียวกัน ตราบใดที่เมียเขาสมัครใจและไม่ให้ผัวรู้ เป็นกันไปแล้วก็แล้วไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งไม่หนักอะไรใครอีกเหมือนกัน
พระเจ้าเองก็ไม่เดือดร้อน
ที่นิยมกันมากที่สุดก็คือ เลสเบี้ยน หรือการเล่นเพื่อน ซึ่งไม่ได้รุกรานสิทธิและขนบประเพณีที่ห้ามไว้สำหรับเพศตรงข้าม
แสวงหาวิธีและหาทางออกมันไปเรื่อย อะไรไม่สำคัญเท่ากับต้องการหาทางออกไม่ให้มันเกิดความรู้สึกผิดหรือเป็นบาปทางใจ ในแง่ของศาสนาและประเพณีเป็นพอ
ผลของมันก็คือ ความเละ
ปัญหาทางเพศและกามารมณ์ของคนตะวันตก จึงเต็มไปด้วยความส่ำส่อน จับต้นชนปลายไม่ติด
เป็นกามารมณ์ประเภทที่ลักลอบหนีภาษีจากเจ้าหน้าที่ทางศีลธรรมของกระบวนการศาสนา และประเพณีของสังคมตะวันตก
เป็นการกระทำที่ต้องการแสวงหาทางออก เป็นการกระทำที่แดกดันและประชดประชันกฎเกณฑ์ทางสังคม เป็นการกระทำที่จะต้องโต้ความกดดันเหล่านั้น
ความเลอะเทอะหรือที่มาของปัญหาทางเพศของสังคมตะวันตก มีความเป็นมาดังนี้และด้วยสาเหตุดังนี้
ไม่ใช่เพราะคนเหล่านั้น เป็นประเทศที่เจริญด้วยอารยธรรมหรือเทคโนโลยี ไม่ใช่เพราะไม่ได้รับการศึกษาทางเพศในโรงเรียน หรือไม่ได้เป็นเพราะความชั่วของคนแต่ละคนอย่างที่ใครๆ ในบ้านเมืองอาจจะคิดกันอยู่ในขณะนี้
เมื่อเทียบกับบทบาทหรือปัญหาทางเพศของสังคมไทยเรา จะเห็นว่ามีความแตกต่างกันอย่างหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
สังคมไทยไม่เคยมีปัญหาทางเพศมาก่อน
เพราะเรื่องทางเพศและกามารมณ์ของไทยเป็นเรื่องที่เปิดเผย
คนไทยทุกคนได้รู้เรื่องทางเพศและมีความเคยชินกับเรื่องทางเพศมาแต่หัวเท่ากำปั้น
เราไม่เคยบีบบังคับหรือให้การกดดันอย่างมืดมัวต่อการแสดงออกทางเพศของคนไทย เพียงแต่จะบอกกันสั้นๆ ว่า "...เมื่อสุกงอมหอมหวนจึงควรหล่น..." เท่านั้น แต่สำหรับการให้ความรู้เกี่ยวกับทางเพศและความรักนั้น สังคมไทยไม่เคยปิดบังและไม่ถือว่าเป็นเรื่องชั่วช้าเสียหายแต่อย่างใด
อาจจะกล่าวได้ว่า เรื่องทางเพศของคนไทยได้แอบแฝงซ่อนสิงอยู่ในทุกองคาพยพของสังคมที่ทุกคนจะมีความรู้สึกว่ามันไม่จำเป็นที่จะต้องแสวงหาหรือไม่ได้เป็นเรื่องลี้ลับอัศจรรย์ใดๆ ทุกคนจะได้แสดงออกและได้มีการกระทำด้วยตนเอง เมื่อเวลามาถึงเท่านั้นเอง
"...ด้วยวิสัยในการประเวณี ยอมอยู่ที่ดวงจิตพิสมัย
พอถึงกันก็ประวัติกำหนัดใน แต่พอได้รู้รสก็หมดกลัว
ยิ่งหนุ่มสาวคราวแรกภิรมย์รัก พอประจักษ์ได้เสียเป็นเมียผัว
มักหลงใหลคลึงเคล้าเฝ้าพันพัว ราวกับตัวขึ้นสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์
เมื่อแรกๆ ร่วมเรียงเคียงเขนย อย่ากลัวเลยจะพิโรธโกรธขึ้ง
ตกนานวันว่างวายคลายเคล้าคลึง นั่นแลจึงจะได้รู้ดูใจกัน
วิสัยชายคล้ายกับคชสาร ถ้าหมอควาญรู้ที่ดีขยัน
แต่ทว่าบางยกตกน้ำมัน ต้องรู้จักผ่อนผันจึงเป็นเพลง..."
เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่หล่อนได้รับการบอกกล่าวด้วยข้อความสั้นๆ นี้ เพื่อที่หล่อนจะต้องไปทำหน้าที่เป็นเมียผู้ชายครั้งแรกในชีวิต หรือเพื่อที่หล่อนจะได้ไปเสียความบริสุทธิ์หรือเสียความเป็นสาวครั้งแรกในชีวิตของหล่อนให้แก่ผู้ชายคนหนึ่ง
ชื่อของหล่อนคือ สร้อยฟ้าหรือนางสาวสร้อยฟ้า แห่งเชียงใหม่
ผู้บอกกล่าวคือ นางอัปสรชนนี แม่บังเกิดเกล้าของหล่อนเอง
ข้อความบอกกล่าวแต่เพียงสั้นๆ นั้น ชัดเจนเพียงพอสำหรับผู้หญิงสาวที่เพิ่งจะรู้และเพิ่งจะเข้าใจในปัญหาทางเพศ ที่ไม่จำเป็นจะต้องศึกษาอะไรไปมากมายกว่านี้อีก นอกจากว่า การที่ยังไม่เคยเสียความเป็นสาวหรือไม่เคยเสียความบริสุทธิ์ให้แก่ชายมาก่อนเลยนั้น ในตอนแรกอาจจะมีความประหม่าและหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่นั่นไม่สำคัญอะไรนัก เนื่องจากว่า โดยธรรมชาติของผู้หญิงและผู้ชายนั้น "พอถึงกันก็ประวัติกำหนัดใน" ขึ้นมาได้เอง ถ้าหากว่าทั้งคู่จะมี "ดวงจิตพิสมัย" กันเป็นพื้นอยู่ก่อนแล้ว ทุกอย่างก็จะเรียบร้อยไปเอง และต่อจากนั้น "แต่พอได้รู้รสก็หมดกลัว"
สังคมไทย เป็นสังคมเก่าแก่เพียงพอที่สามารถจะนำความเก่านั้นมาพิสูจน์อะไรต่ออะไรได้หลายอย่างหลายประการ เฉพาะในแง่ที่ว่า ตลอดเวลาอันยาวนานที่สังคมนี้ดำรงมานั้นเป็นเพราะอะไร ปัญหาบางอย่างมันจึงไม่เกิดขึ้น และเพราะอะไรปัญหาบางอย่างมันจึงได้เกิดขึ้น
ในบรรดาปัญหาทั้งหลายแหล่เหล่านั้น มีอยู่ปัญหาหนึ่งที่ไม่เคยก่อความยุ่งยากให้แก่สังคมไทยมาเป็นเวลาพันๆ ปี ปัญหานั้นก็คือ ปัญหาทางเพศหรือปัญหาทางกามารมณ์
ไม่มีความสำส่อนหรือการฉุดคร่าข่มขืน หรือการขายเนื้อขายตัวเป็นผักเป็นขยะอย่างทุกวันนี้
เพราะอะไร?
เป็นเพราะว่า ชนชาติไทยหรือสังคมไทยเป็นสังคมและชนชาติที่งดเว้นเสียจากกามารมณ์ หรือความสำส่อนทางเพศกันมาอย่างหนักกระนั้นหรือ?
เปล่าเลย!
ตรงข้าม สังคมไทยเป็นสังคมที่อบอวลและอะร้าอร่ามไปด้วยกิจกรรมทางเพศ และความโอ่อ่าโอฬารทางด้านกามารมณ์กันอย่างถึงขนาดมานับเป็นพันๆ ปี ที่ชาติไทยมีประวัติความเป็นมา
แต่ถึงกระนั้น ความเละเทะสำส่อนทางกามารมณ์หรือความวิปริตพิสดารทางกามารมณ์อันน่าเป็นห่วงเป็นใยอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ ก็ยังไม่เคยเกิดขึ้น หรือถ้าจะเกิดขึ้นก็ยังไม่ถือว่าเป็นปัญหา
ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น ทำไมปัจจุบันนี้ ปัญหาทางเพศและกามารมณ์จึงเป็นปัญหาสำหรับคนไทยและผู้หญิงไทย
มีการฉุดคร่าอนาจารและการปลุกปล้ำข่มขืน ขนาดหนึ่งต่อสามสิบ ก็ยังทำกัน
ปัญหาทางเพศในปัจจุบันนี้ ได้มีข่าว มีการกล่าวขวัญวิตกกังวลกันมากขึ้น ในวงการแพทย์ ในวงการศึกษาเคยได้มีการเคลื่อนไหวกันถึงขนาดที่ว่า จะนำเรื่องเพศศึกษามาสอนกันในโรงเรียนโดยอ้างว่า ให้คนไทยรู้เรื่องเกี่ยวกับทางเพศและกามารมณ์เสียตั้งแต่ในโรงเรียน หรือตั้งแต่หัวเท่ากำปั้นเสียทีเดียว
จากวงการแพทย์และวงการศึกษาในสมัยหนึ่ง ในสมัยปัจจุบันนี้เริ่มตั้งแต่กรณี เตือนใจ พวงนาค เป็นต้นมาจนกระทั่งถึง ครูส่งศรี อินทรตุล และกรณีเด็กหญิงที่อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก วงการบริหารและวงการปกครอง ได้เริ่มมองเห็นปัญหาทางเพศในสังคมไทยกันขึ้นมาแล้ว แม้ว่าจะทำอะไรไม่ได้นอกจากความงุนงงและสั่งยิงเป้าไปด้วยมาตรา 21 ไปจำนวนหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้เกิดการแก้ปัญหาใดๆ ที่ถูกต้องขึ้นมาได้
ปัญหาทางเพศและความเลวร้ายจากกิจกรรมกามารมณ์ในสังคมไทย ก็ยังเป็นปัญหาที่อึดอัดเหมือนไข้หนักอยู่ตลอดไป
ยังไม่มีใครจะสามารถแก้ไขประการใดได้ นอกจากหาทางปราบ ยิงเป้า เข้าคุก หรือไม่ก็ฆ่าทิ้งไป คนที่รับเคราะห์ เฉพาะผู้หญิง ก็ก้มหน้าก้มตารับเคราะห์นั้นไปเรื่อยๆ
เราจะแก้ปัญหานี้กันอย่างไร?
ก่อนที่จะพูดถึงปัญหาการแก้ไข ก็ควรจะพูดถึงปัญหาการเกิดขึ้นของปัญหาทางเพศเสียก่อนว่า มันเกิดขึ้นมาอย่างไร?
เมื่อเราพูดถึงปัญหาทางเพศที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ ความจริงของมันก็คือปัญหาทางสังคม หรือเป็นปัญหาสังคมทั้งหมด
อาจจะเป็นเพราะว่าสังคมเราเปลี่ยนแปลงไปจากดั้งเดิมของเรา หรืออาจจะเป็นเพราะว่าสังคมไทยได้รับเอาอารยธรรมจากภายนอกประเทศเข้ามาเป็นวัฒนธรรมของเราเอง หรืออาจจะพูดได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของสังคมเรานั้น เป็นการเปลี่ยนโดยการรับเอาวัฒนธรรมจากต่างประเทศเข้ามาเป็นหลักหรือเข้ามาแทนที่ของวัฒนธรรมไทย เฉพาะวัฒนธรรมเกี่ยวกับทางเพศหรือทางกามารมณ์
วัฒนธรรมที่เราเอามานั้น ก็ไม่ได้เอามาจากที่ไหนนอกไปจากวัฒนธรรมฝรั่งหรือวัฒนธรรมตะวันตก ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า เป็นสังคมที่มีปัญหาทางเพศและมีปัญหาทางกามารมณ์สูงที่สุด และเป็นปัญหาประจำชาติและประจำสังคมของประเทศเหล่านั้นมาแต่โบราณกาล
วัฒนธรรมไทยหรือปัญหาทางเพศของสังคมไทย มีความแตกต่างกับวัฒนธรรมทางตะวันตกอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ หรือมีความแตกต่างกันทุกด้านทุกจุด
แต่เมื่อเรารับเอาวัฒนธรรมทางเพศของต่างประเทศเข้ามา เราไม่ได้เลือกว่าควรจะรับเอามาแต่เพียงจุดไหนหรือแง่ใดมุมใด ตรงข้าม เรารับเอามาทั้งหมด และมายัดเยียดให้สังคมไทย โดยรื้อวัฒนธรรมเก่าของเราออกไปทั้งหมดและโดยสิ้นเชิง
โดยรวดเร็วและไม่มีการเตรียมตัวเตรียมใจให้สังคมของเราเรียนรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด
ปัญหามันก็เกิดขึ้น
ปัญหาทางเพศที่เกิดขึ้นในสังคมตะวันตก ไม่ได้เกิดขึ้นเหมือนสังคมไทย เพราะสังคมตะวันตกโบราณได้พยายามปิดบังและกดดันเรื่องราวเกี่ยวกับทางเพศและกามารมณ์ไว้ด้วยวัฒนธรรมประเพณีอันเคร่งครัดกวดขันติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายร้อยปี
เฉพาะอย่างยิ่ง ในระยะเวลาเป็นร้อยๆ ปีของศตวรรษที่ 19 มาจนกระทั่งถึงระยะหลัง สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ชาวตะวันตกได้รับการกดดันทางเพศติดต่อกันมาอย่างหนัก การห้ามกัน และบทบัญญัติทางสังคมอันเกี่ยวกับปัญหาทางเพศอย่างกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ในระยะเวลาอันยืดยาวนั้น เป็นเรื่องเข้มงวดกวดขันอย่างยิ่ง ไม่เฉพาะแต่ทางด้านศาสนาซึ่งมีอิทธิพลต่อบทบัญญัติอันเข้มงวดเหล่านั้น แม้แต่นักวิชาการหรือในวงการแพทย์ยุคนั้น ทุกคนต่างก็ถือว่าเรื่องทางเพศหรือเรื่องกามารมณ์เป็นเรื่องของความชั่วร้าย
ทุกคนจะบัญญัติกันอย่างเอาเป็นเอาตายว่า เรื่องเพศเป็นเรื่องที่น่าอับอาย ไม่พึงคิดถึง ไม่ควรพูดถึง ผู้หญิงทุกคนในสมัยวิกตอเรีย ไม่เพียงแต่จะถูกห้ามไม่ให้สนใจปัญหาทางเพศเท่านั้น แม้แต่คิดถึงหรือให้ความสนใจแม้แต่น้อย ก็ถือว่าเป็นความชั่วที่แสนจะชั่วที่สุดทีเดียว
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งของสมัยนั้นถึงกับเขียนลงไปว่า "...ส่วนมากของผู้หญิงผู้ลากมากดี จะต้องไม่เดือดร้อนเกี่ยวกับความรู้สึกทางเพศ ไม่ว่าด้วยเรื่องใดๆ" แล้วก็ย้ำต่อไปว่า ใครๆ ก็ตามที่มีความคิดความเข้าใจผู้หญิงผิดไปจากนี้แล้ว ก็เท่ากับเป็นผู้ที่กล่าวร้ายให้โทษแก่ผู้หญิงอย่างโหดร้ายที่สุด เพราะผู้หญิงที่เป็นผู้หญิงจริงๆ นั้น จะต้องไม่มีความรู้สึกทางเพศเอาเลยทีเดียว
กล่าวยิ่งไปกว่านั้น คือเหมาเอาเลยว่า ผู้หญิงคนใดก็ตามที่กำลังอยู่ในความรักแล้วเกิดแสดงอาการอย่างหนึ่งอย่างใดออกมาเป็นทำนองว่า มีความรู้สึกทางเพศแล้วละก็ ผู้หญิงคนนั้น ถือว่าได้เกิดมีอาการทางโรคจิตขึ้นแล้ว ซึ่งจะต้องรีบรักษากันอย่างเป็นวรรคเป็นเวรไปทีเดียว พร้อมๆ กันนั้น (Windschied) ถึงกับกล่าวออกมาว่า ถ้าผู้หญิงคนใดคนหนึ่งแสดงความต้องการหรือแสดงท่าทีใดๆ เกี่ยวกับความรู้สึกทางเพศออกมาแล้ว ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ผู้หญิงคนนั้นถือได้ว่ามีอาการวิปริตหรือไม่ปกติ (Abnormality) เอาเลยทีเดียว
Magaret Mead นักมานุษยวิทยาลือชื่อของอเมริกัน สรุปเรื่องเกี่ยวกับความกดดันทางเพศของสังคมตะวันตกไว้ว่า "...ในสมัยวิกตอเรีย ผู้หญิงที่เรียกกันว่า ผู้ลากมากดีหรือมีคุณสมบัตินั้น จะต้องถูกอบรมสั่งสอนให้ถือว่ากามารมณ์เป็นเรื่องไม่มีรสชาติ ถ้าหากว่าสามีของเธอเป็นคนเคร่งครัดต่อระเบียบแบบแผน ถึงแม้ว่าเธอจะพบว่า กามารมณ์นั้นจะมีความรื่นรมย์และเป็นรางวัลแก่ชีวิตก็จะต้องพยายามเสแสร้งแกล้งทำให้เห็นว่ามันไม่เป็นเรื่องเป็นราว ผู้หญิงที่รู้สึกมีความสุขในการร่วมกามารมณ์ ถือว่าเป็นผู้หญิงเลวทราม ไม่เหมาะแก่ตำแหน่งที่ดีทางสังคมหรือไม่เหมาะสมที่จะเกิดมาเป็นแม่คน เหมือนกับเรื่องเกินๆ เลยๆ ทั้งหลายที่ปฏิเสธความแตกต่างของมนุษย์...ความแตกต่างระหว่างผู้หญิงที่มีอารมณ์กับผู้ชายที่เฉื่อยชาไม่เอาไหน...ประเพณีของยุคสมัยวิกตอเรียที่ลงโทษผู้หญิงบางคนเป็นคนดี บางคนเป็นคนเลวเพราะเรื่องเพศเป็นประเพณีที่ขาดความเห็นอกเห็นใจต่อผู้หญิงและผู้ชายจำนวนมาก ที่มีชีวิตอยู่ในสมัยนั้น..."
ประเพณีอันแน่นหนักและด้วยความเข้มงวดกวดขันที่เป็นมาดังนี้เอง ที่ทำให้นักแสวงสวาททั้งหลายของสังคมตะวันตก พยายามหาทางออกด้วยการไม่ยอมเอาใจดูหูใส่และไม่ยอมรับขนบประเพณีเหล่านั้น นับตั้งแต่ปลายสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเป็นต้นมา และเนื่องด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ ทำให้ผู้หญิงต้องมีเสรีภาพในการออกนอกบ้านมากขึ้น ทำให้ผู้หญิงมีโอกาสที่จะแสวงหาทางออกทางด้านเพศและกามารมณ์ ไม่ว่าจะโดยทางตรงและทางอ้อม ในขณะที่ผู้ชายก็พยายามแหวกทลายรั้วล้อมของขนบประเพณีเหล่านั้นออกมาหาความไม่มีกฎเกณฑ์ในการแสดงออกทางเพศ ด้วยวิธีการหลบซ่อนและอำพรางประเพณีในสังคมตะวันตกก็เกิดขึ้น
ปัญหาทางเพศของสังคมตะวันตกจึงกลายเป็นเสมือนน้ำป่าที่หลั่งไหลออกมาทะลักทลายเขื่อนของขนบประเพณีตะวันตกอย่างไม่มีทางหยุดยั้ง และไม่สามารถจะควบคุมให้เข้าร่องเข้ารอยได้
แต่กระนั้น ความรู้สึกผิด (Guilt Feeling) ทางด้านเพศของคนในสังคมตะวันตกก็ยังฝังลึกอยู่ในความรู้สึกของคนในสังคมตะวันตก ในฐานะที่มันเป็นบาปทางแนวคิดของศาสนาและขนบประเพณีที่วางกันไว้เป็นเวลาเนิ่นนานมา
ถึงแม้ว่าทางร่างกายและการกระทำภายนอกจะกระทำกันได้อย่างเสรีหรือดูเหมือนจะเสรีแต่ภายในจิตใจและความรู้สึกของคนตะวันตก ยังถือว่าเป็นเรื่องของความชั่วร้ายอยู่เช่นเดียวกับยุคสมัยวิกตอเรีย
ดร.อัลเบิร์ต เอลลิส นักเขียนปัญหาทางเพศลือชื่อของอเมริกัน เขียนถึงปัญหา "บาปทางใจ" เกี่ยวกับเรื่องเพศของคนตะวันตกสมัยนี้ไว้ว่า
"ถ้าหากคุณป้ามาทิลดา ของคุณเกิดทราบขึ้นมาว่า คุณไปทำอัตตกิลมถานุโยค (สำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง) หรือเกิดไปได้เสียกับแม่สาวอายุ 19 ปี ข้างๆ บ้านเข้า คุณป้ามาทิลดาจะถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับเอาทีเดียว ปัญหานี้เป็นปัญหาที่ถือว่าใหญ่หลวงอย่างยิ่งทีเดียว สำหรับคุณป้ามาทิลดา และในทำนองเดียวกัน เนื่องจากว่าการได้เสียนั้น เป็นการได้เสียด้วยความสมัครใจ ไม่มีการแต่งงานกัน ถ้าแม่สาวคนนั้นเกิดมีความรู้สึกเช่นนี้ขึ้นมาเมื่อใดแล้ว หล่อนก็จะบังคับบงการให้คุณหยุดการกระทำเช่นนั้นอยู่ร่ำไป ทั้งคุณป้ามาทิลดาและแม่สาวคนนั้น จะรู้สึกว่าตนได้รับความเจ็บปวดอยู่ตลอดไป โดยที่หล่อนทั้งสองไม่ยอมหยุดเว้นที่จะให้ตนได้รับความเจ็บปวดเหล่านั้นอยู่ตลอดไป เนื่องจากขนบประเพณีทางศาสนาที่หล่อนได้รับการปลูกฝังไว้ให้คิดว่า มันเป็นบาปอันฝังแน่นนั่นเอง..."
ความสำส่อนและความเน่าเฟะทางด้านกามารมณ์และเพศ แม้ว่าจะกระฉ่อนฉาวอยู่ในสังคมตะวันตกที่มองเห็นได้ง่ายก็ตาม แต่ความจริงทางด้านจิตใจแล้ว คนตะวันตกจะได้รับความทุกข์ทรมาน เพราะความรู้สึกผิดหรือเป็นบาปทางใจ (Guilt Feeling) หนักอย่างยิ่ง
แต่ทุกคนก็ไม่สามารถจะละเว้นได้
เพราะเรื่องของกามารมณ์ทางเพศ มันคือสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต ที่คนจะต้องแสวงหามันและให้ได้มันมาเท่าๆ กับความจำเป็นที่จะต้องกินอาหารและดื่มน้ำ
เพราะฉะนั้น ทุกคนจึงพยายามหลบหลีกผนังทองแดงกำแพงเหล็กประเพณีของศาสนานั้นออกมาแสวงหาความสุขทางเพศอย่างสำส่อนและด้วยการละเมิด อย่างไม่มีหลักเกณฑ์
นักเขียนทางเพศผู้มีชื่อเสียงคนเดียวกันนี้กล่าวต่อไปว่า
"...ผู้ชายนับจำนวนล้านๆ ของอเมริกา ถูกบังคับให้หนีไปเสียให้ไกลไสไปเสียให้พ้นจากการทำหน้าที่ทางเพศ ซึ่งทำให้เขาต้องไปเลือกหาวิธีกระทำเอาอย่างหนึึ่งอย่างใดที่จะช่วยไม่ให้เขาเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาว่า การกระทำเช่นนั้นเป็นของไม่ดี วิธีทำอย่างหนึ่งอย่างใดนั้นก็คือ วิธีที่ไม่ยากที่เขาจะแสวงหามันได้ ในกลุ่มสังคมอันมากมายของเรา (คือขอให้ได้มันมาเท่านั้น ไม่สำคัญว่ามันจะผิดหรือจะถูก)..."
วิธีแสวงหาหรือการกระทำที่ไม่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกผิดหรือเป็นบาปทางใจ ที่จะไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ขนบประเพณีของใคร เท่าที่ชาวตะวันตกนิยมกระทำกันอยู่ในขณะนี้ก็คือ การกระทำแบบอัตตกิลมถานุโยค คือสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง ซึ่งเขาถือว่ามันไม่หนักกะบาลหัวใครนั่นเอง
หรือไม่เช่นนั้น ก็ลักลอบสมสู่ด้วยความสมัครใจระหว่างหญิงและชาย ซึ่งมันก็ไม่มีใครรู้ หรือหนักกะบาลหัวใครอีกนั่นแหละ
แม้แต่การเป็นชู้กับเมียเขาก็เช่นเดียวกัน ตราบใดที่เมียเขาสมัครใจและไม่ให้ผัวรู้ เป็นกันไปแล้วก็แล้วไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งไม่หนักอะไรใครอีกเหมือนกัน
พระเจ้าเองก็ไม่เดือดร้อน
ที่นิยมกันมากที่สุดก็คือ เลสเบี้ยน หรือการเล่นเพื่อน ซึ่งไม่ได้รุกรานสิทธิและขนบประเพณีที่ห้ามไว้สำหรับเพศตรงข้าม
แสวงหาวิธีและหาทางออกมันไปเรื่อย อะไรไม่สำคัญเท่ากับต้องการหาทางออกไม่ให้มันเกิดความรู้สึกผิดหรือเป็นบาปทางใจ ในแง่ของศาสนาและประเพณีเป็นพอ
ผลของมันก็คือ ความเละ
ปัญหาทางเพศและกามารมณ์ของคนตะวันตก จึงเต็มไปด้วยความส่ำส่อน จับต้นชนปลายไม่ติด
เป็นกามารมณ์ประเภทที่ลักลอบหนีภาษีจากเจ้าหน้าที่ทางศีลธรรมของกระบวนการศาสนา และประเพณีของสังคมตะวันตก
เป็นการกระทำที่ต้องการแสวงหาทางออก เป็นการกระทำที่แดกดันและประชดประชันกฎเกณฑ์ทางสังคม เป็นการกระทำที่จะต้องโต้ความกดดันเหล่านั้น
ความเลอะเทอะหรือที่มาของปัญหาทางเพศของสังคมตะวันตก มีความเป็นมาดังนี้และด้วยสาเหตุดังนี้
ไม่ใช่เพราะคนเหล่านั้น เป็นประเทศที่เจริญด้วยอารยธรรมหรือเทคโนโลยี ไม่ใช่เพราะไม่ได้รับการศึกษาทางเพศในโรงเรียน หรือไม่ได้เป็นเพราะความชั่วของคนแต่ละคนอย่างที่ใครๆ ในบ้านเมืองอาจจะคิดกันอยู่ในขณะนี้
เมื่อเทียบกับบทบาทหรือปัญหาทางเพศของสังคมไทยเรา จะเห็นว่ามีความแตกต่างกันอย่างหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
สังคมไทยไม่เคยมีปัญหาทางเพศมาก่อน
เพราะเรื่องทางเพศและกามารมณ์ของไทยเป็นเรื่องที่เปิดเผย
คนไทยทุกคนได้รู้เรื่องทางเพศและมีความเคยชินกับเรื่องทางเพศมาแต่หัวเท่ากำปั้น
เราไม่เคยบีบบังคับหรือให้การกดดันอย่างมืดมัวต่อการแสดงออกทางเพศของคนไทย เพียงแต่จะบอกกันสั้นๆ ว่า "...เมื่อสุกงอมหอมหวนจึงควรหล่น..." เท่านั้น แต่สำหรับการให้ความรู้เกี่ยวกับทางเพศและความรักนั้น สังคมไทยไม่เคยปิดบังและไม่ถือว่าเป็นเรื่องชั่วช้าเสียหายแต่อย่างใด
อาจจะกล่าวได้ว่า เรื่องทางเพศของคนไทยได้แอบแฝงซ่อนสิงอยู่ในทุกองคาพยพของสังคมที่ทุกคนจะมีความรู้สึกว่ามันไม่จำเป็นที่จะต้องแสวงหาหรือไม่ได้เป็นเรื่องลี้ลับอัศจรรย์ใดๆ ทุกคนจะได้แสดงออกและได้มีการกระทำด้วยตนเอง เมื่อเวลามาถึงเท่านั้นเอง