ในบทความชิ้นเดียวกันนี้ ซึ่งได้ตีพิมพ์ลงใน "ผู้จัดการรายวัน" เมื่อวันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคมนั้น ตอนหนึ่งผมเขียนไว้ว่า "ทุกครั้งที่ดาวเสาร์-ราหูโคจรในภพจรราศีซึ่งเป็นเจ้าของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟใน 4 ราศีคือราศีเมษ ราศีกรกฎ ราศีตุลย์ ราศีมังกรในระยะใดระยะหนึ่งแล้ว ในระยะนั้น ปัญหาต่างๆ จะได้รับการชำระสะสางและจะมีการกวาดล้างอย่างย่อยยับ ไม่ว่าต้นไม้ใบหญ้า กรวดหินดินทรายหรือผู้คนที่ได้พากันกระทำความชั่วมาไม่น้อยกว่า 30 ปี และในระยะนั้น เป็นภาระหน้าที่ของดาวเสาร์จะเข้ามาทำงานในภพนี้ทั้งสิ้น"
ผมได้ยกตัวอย่างกรณีการที่ดาวเสาร์โคจรมาสถิตในราศีกรกฎไว้ 3 ดวงคือ ดวงวันที่ทำรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 เพื่อขับไล่รัฐบาลกู้ชาติซึ่งนำโดย นายปรีดี พนมยงค์ ออกจากประเทศ และต่อมาวันที่ 6 ตุลาคม 2519 วันที่เราเริ่มฆ่าคนไทยด้วยกันโดยข้อหาคอมมิวนิสต์และความแตกแยกอย่างรุนแรงทั้งได้ฆ่ากันอย่างสนุกสนาน และในปีนี้ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2547 นี้ เสาร์ตัวเดิมก็จะโคจรเข้ามาสถิตในราศีกรกฎอีกครั้งหนึ่ง ผมเขียนลงไปว่าน่าจะเป็นรอบที่จะมีการกวาดล้างและทำลายนักการเมืองที่ดีที่สุดของชาติพร้อมด้วยสมุนบริวารอีกสักครั้งหนึ่ง
หลังจากนั้นไม่กี่วันต่อมา ผมก็ได้รับอีเมลฉบับหนึ่งที่ใช้นามว่า "ไพรัช" เขียนมาถึงผมว่า "ผมได้อ่านบทความของท่านเขียนเรื่องโหราศาสตร์ทำให้ผมรู้สึกใคร่อยากจะเรียนถามว่าทำไมคนดีอย่าง ดร.ปรีดี พนมยงค์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์จะต้องได้รับการทารุณทำร้ายจากปรากฏการณ์ของดาวเสาร์และราหู แต่กับคนเลวคนชั่วที่ทำให้บ้านเมืองเสียหายและเกิดปัญหามากมายและเสพสุขกับทรัพย์สินที่โกงกินมา"
หากท่านไม่ถือสากับความสงสัยที่ไร้ความรู้เรื่องโหราศาสตร์โปรดให้คำแนะนำลงในหนังสือพิมพ์ "ผู้จัดการรายวัน" ในคอลัมน์ของท่านด้วย
ก่อนอื่น ผมขอแจ้งให้คุณไพรัชหรือผู้สนใจวิชาโหราศาสตร์ทราบเสียก่อนว่าที่ผมเขียนมาทั้งหมดนั้น ไม่ใช่เกิดจากความรู้ความชำนาญที่ผมมีมาแต่กำเนิด แต่ผมได้อาศัยหลักเกณฑ์และการศึกษาค้นคว้าความจากคัมภีร์โหราศาสตร์ดั้งเดิมหลายเล่ม เฉพาะอย่างยิ่งจากอินเดียซึ่งมีคัมภีร์ดั้งเดิมที่สำคัญที่โหราศาสตร์ไทยนำมาใช้เป็นหลักซึ่งเขียนโดยมหาฤาษีที่มีชื่อว่า วราหะมิหิรา เจ้าของคัมภีร์โหราศาสตร์ระบบนิรายนะซึ่งเป็นโหรประจำราชสำนักของราชวงค์เมารายะเมื่อหลายพันปีมาแล้วคือคัมภีร์ "จักระทีปนี" และ "คัมภีร์พฤหัสสังหิตา" กับ "BRIHAT PRASARA HORA SATRA และ PRASANA MARGA" พร้อมด้วยเอกสารเกี่ยวกับโหราศาสตร์อื่นๆ เช่น ORIGINS OF ASTROLOGY โดย JAC LINSAY และ HINDU ASTROLOGY โดย SHIL-PONDE และ THE GODS OF CHANGE : URANUS NEPTUNE AND PLUTOโดย HOHARD SASPOTAS ไม่มีข้ออ้างใดๆ ที่เป็นความรู้ความสามารถของผม หรือเป็นตำรับตำราและหลักเกณฑ์ที่เกิดขึ้นจากสติปัญญาของผมไม่ว่ามากหรือน้อย
หลักเกณฑ์ต่างๆ ที่นำมากล่าวถึงเป็นหลักวิชาที่ใช้กันมาแล้วเมื่อ 6,000 ปีผ่านมาแล้วในสมัยที่คนโบราณหลายชาติรวมกันอยู่ในเอเชียกลาง
ไม่ว่าจะผิดหรือจะถูกมากน้อยประการใดก็ได้ยึดถือเป็นหลักเกณฑ์ที่ยึดถือกันมานานกว่า 6,000 ปี และในปัจจุบันนี้ เอากันสดๆ ร้อนๆ อย่างน้อยก็คือรอบการโคจรของเสาร์ในราศีกรกฎในระยะ 60 ปีที่ผ่านมา และเราจะคอยดูกันต่อไปหลังจากที่เสาร์โคจรเข้ามาสู่ราศีกรกฎในรอบที่ 3 อีกไม่กี่วันข้างหน้าและจะวุ่นวายอยู่ในราศีกรกฎ 2 ปีครึ่งว่ามันจะมีความวิบัติหายนะอะไรเกิดขึ้น?
เหตุผลประการแรกก็คือ โหรโบราณยึดถือกันว่าเมื่อดาวใหญ่เข้าสถิตราศีทวารทั้ง 4 แล้ว เป็นเรื่องสำคัญในวิชานี้เพราะดาวเหล่านั้นและราศีเหล่านั้นจะบอกให้ทราบว่าโลกจะต้องเริ่มเปลี่ยนทุกอย่างจากหน้ามือเป็นหลังมือ ตั้งแต่ฤดูกาลเป็นต้นไปจนกระทั่งชีวิตของผู้คน พืช สัตว์ และโชคชะตาคน ในปีนี้นอกจากจะมีราหูโคจรเข้าไปอยู่ในราศีเมษแล้วยังมีดาวบาปเคราะห์อื่นๆ รอการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกหลายดวงเฉพาะอย่างยิ่งเสาร์ (7) ในราศีกรกฎที่จะโคจรลงมาในเดือนกันยายนนี้และเล็งกับดาวบาปเคราะห์ที่สำคัญอีกตัวหนึ่งคือ เนปจูน ซึ่งในสมัยพระเวทถือว่าเป็นดาวที่มีความหมายมากอีกดวงหนึ่งในบรรดาเทพเจ้าทั้งสามของฮินดูที่มีหน้าที่ทางด้านปกปักรักษาทำลายและเป็นผู้สร้างเข้าแถวรอกันอยู่ที่จะร่วมสร้างร่วมทำลาย
เฉพาะราหูนั้นเป็นตัวการสำคัญที่บอกถึงการเปลี่ยนแปลงว่าต้องเปลี่ยนอย่างไรและเมื่อไร เฉพาะดวงชะตาเมืองไทยซึ่งมีราศีเมษเป็นลัคนาเกิดและมีอาทิตย์ (1) กุมอยู่ ซึ่งหมายถึงชนชั้นปกครองและบรรดาเศรษฐี เจ้าคนนายคนและบรรดานักคอร์รัปชันที่ขายบ้านขายเมืองกินกันทั้งหลาย ซึ่งในการโคจรอย่างนี้ตำราเขียนไว้ว่าเมือราหูทับอาทิตย์นั้นหมายถึงอะไร ท่านว่า
"อสุรินทร์ราหู จรจักรากร
กุมเล็งระวีวร จะประทุษฐลาภา
ศัตรูจะเมียงมาตร์ จะวิวาทวิวาทา
จากบุตรภรรยา จะตะโกรงกระโทงกาย"
และในขณะเดียวกันราหูตัวนี้ก็ทับลัคนาเข้าอีกด้วยซึ่งถือกันว่า
"ราหูจรต้องลัคน์ แม้นสูงศักดิ์สุราลัย
จะจากยสไกร ลำบากใจไฟเผาผลาญ"
นี่เป็นคำทำนายเพียงเบาะๆ หรืออย่าง "เอื้ออาทร" เท่านั้น แต่ถ้าพิจารณาองค์ประกอบอื่นๆ เข้าไปด้วยแล้วถือได้ว่าไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็หนักไปในทางด้าน "ฉิบหายวายวอด" กันทีเดียว
ราศีกรกฎเป็นราศีที่เกี่ยวกับประชาชนพลเมืองโดยทั่วไป ทรัพย์สินที่ดินและแร่ธาตุ ในทางการเมืองหมายถึงพรรคฝ่ายค้านหรือคนที่ไม่เห็นด้วยกับชนชั้นปกครองหมายถึง ความเหลวในเรื่องต่างๆ ที่ฝันหวานกันอึกทึกครึกโครมอยู่ในขณะนี้ เพราะทุกอย่างจะเป็นเพียงการหลอกลวงและการโกหกมดเท็จเท่านั้น เพราะเสาร์ตัวนี้จะเล็งกับดาวร้ายประเภทนั้นอีกดวงหนึ่งคือเนปจูนซึ่งสถิตอยู่ในราศีมังกรตรงข้ามราหู เสาร์และเนปจูนต่างสถิตอยู่ในระยะเชิงมุมที่เรียกว่าเป็น 4 ต่อกันหรือ 90 องศาต่อกันซึ่งระยะเชิงมุมหรือความสัมพันธ์ดังกล่าวนี้ถือว่าเป็นระยะเชิงมุมที่เป็นโทษอย่างร้ายแรง และที่สำคัญที่สุดก็คือในระยะเวลาที่เสาร์อยู่ในราศีกรกฎและมีราหูคอยให้คำแนะนำไปพร้อมกับการกระพือโหมความชั่วต่างๆ ของเนปจูนทวีคูณขึ้นนั้น คำทำนายตามที่โบราณเขียนไว้เป็นคำกลอนข้างต้นที่ผมเขียนว่าจะทำให้เกิดความ "วินาศฉิบหาย" ขึ้นในบ้านเมืองนั้นไม่มีอะไรจะต้องสงสัย
ดวงชะตาเมืองไทยนั้นมีจุดอ่อนหลายประการที่จะประมาทไม่ได้ เพราะในดวงชะตานั้นมีดวงดาวที่ส่อถึงความวินาศฉิบหายอย่างที่ว่านั้นมากมาย เพราะอาทิตย์กุมลัคนาในราศีเมษนั้นยืนยันว่า เมืองไทยจะปกครองด้วยอำนาจที่มีเกียรติเท่านั้น แต่ใครก็ตามที่มีเกียรติมีอำนาจขึ้นมาใช้อำนาจไปในทางที่ไม่มีคุณธรรมก็จะประสบความวิบัติฉิบหายอย่างที่เผด็จการทุกรุ่นได้ร่วมกันประสบความวิบัติฉิบหายกันมาแล้ว แต่เมืองไทยจะต้องปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยที่เอาประเทศชาติมาขายกินปล้นกินอย่างหนักในลักษณะการคอร์รัปชันทุกรูปทุกแบบและความชั่วทุกรูปแบบ ขนาดหมอนวดที่ขายเนื้อขายหนังหากินเพราะไม่มีจะกินก็ยังจะถูกรีดถูกไถอย่างสาหัส หรือชาวบ้านร้านตลาดที่ขายของอยู่ดีๆ ที่หมู่บ้านนักกีฬาก็ถูกโจรยกขบวนรถเข้าไปรื้อเล่นอย่างสนุกสนานโดยที่เมืองไทยมีกรมตำรวจและนายตำรวจชั้น ฯพณฯ อยู่เป็นโขลง หรืออาจจะพูดว่าถ้าไม่มีอะไรชั่วถึงที่สุดนั้นคนไทยชั่วๆ ตามดวงจะไม่ยอมทำ นั่นเป็นเพราะในราศีซึ่งเป็นราศีวินาศของดวงเมือง มีดาวร้ายเป็นวินาศลัคนาอยู่ได้แก่ราหู (8) หมายถึงการปล้นสะดมและเน่าเหม็นทุกชนิด และศุกร์ (6) หมายถึงความมั่งคั่งทางด้านกามารมณ์และความใคร่และโรคเอดส์ที่มีชื่อเสียงและดาวพุธที่หมายถึงการโกหกปลิ้นปล้อนความกะล่อนและการหลอกลวงทุกชนิดด้วยวิธีการที่ทับซ้อนทุกรูปแบบ
ที่สำคัญที่สุดก็ในราศีธนู ซึ่งเป็นภพที่ 9 ของดวงชะตากรุงเทพฯ ที่หมายถึงการศึกษาระดับสูง หมายถึงกฎหมายและนักการเมืองในระบอบรัฐสภาและระบอบประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้ง หมายถึงศาสนาหรือพระ ซึ่งตอนนี้มีหลายพระที่อยากจะเป็นพระพุทธเจ้าเสียเองพากันออกมาประท้วงอะไรต่อะไรกันอย่างไม่เคยนึกถึงธรรมวินัยว่าคืออะไร
ราศีธนูเป็นราศีที่ให้โทษรุนแรงที่สุด เพราะว่าในวันที่วางเสาหลักเมืองลงตามฤกษ์วันสร้างกรุงเทพมหานครนั้น ดาวพฤหัสบดีซึ่งเป็นตัวแทนของคุณงามความดีทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกนี้ถูกกุมด้วยดาวเสาร์ในนวางค์ตรียางค์เดียวกันหรือในระยะ 3 องศาเท่ากันและกำลังกอดกันพักร์ถอยหรือ RETROGRADE ด้วยกันซึ่งนักโหราศาสตร์ได้ให้คำอธิบายไว้ว่า "ดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์นี้ ต่างก็เป็นดาวพระเคราะห์ที่สำคัญอย่างมากในทัศนะโหราศาสตร์คือดาวพฤหัสบดีเป็นดาวองค์ประกอบประเภทศุภเคราะห์ที่ให้คุณและดาวเสาร์ก็เป็นองค์ประธานแห่งดาวบาปเคราะห์ที่ให้โทษทั้งนั้น การที่ดาวพระเคราะห์ทั้งสองเข้าโคจรเข้าร่วมองศาในราศีเดียวกันครั้งใด มักจะก่อให้เกิดภัยพิบัติต่างๆ ขึ้นทุกครั้ง" (ปรเมศวร์ วัชรปาณ "วิเคราะห์ชะตาโลก และชะตาเมือง" แสงเอกการพิมพ์ :2522)
และให้คำอธิบายต่อไปว่า "ดาวพระเคราะห์คู่นี้ต่างก็สถิตอยู่ร่วมนวางค์เดียวกันในราศีธนูคือนวางค์ลูกที่ 3 (ระหว่าง 6 องศา 40 ลิปดาถึง 10 องศา) อันเป็นนวางค์ราศีเมถุนครองด้วยดาวพุธและพระเคราะห์ทั้งสองนี้กำลังโคจรพักร์ด้วยกันอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เองเมื่อดาวพระเคราะห์ทั้งสองกำลังโคจรพักร์ และดาวเคราะห์ทั้งสองนี้ต่างก็โคจรเข้าร่วมกันในราศีเดียวกันครั้งใดก็ตาม จึงมักมีอิทธิพลรุนแรงต่อดวงชะตาเมืองอย่างหนักทุกคราวไป" (ปรเมศวร์ วัชรปาณ หน้าเดียวกัน)
ในวันที่วางดวงชะตาพระนครเรียบร้อยไปแล้วพร้อมด้วยลางและอาถรรพณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงรับสั่งว่าชะตาของกรุงเทพฯ จะถาวรลำดับกษัตริย์อยู่ได้ 150 ปี และได้ทรงแบ่งชะตากรุงเทพฯ ไว้ 10 ยุค ยุคละ 20 ปี เริ่มด้วยยุคมหากาฬเป็นยุคที่ 1 เป็นต้นไปจนกระทั่งถึงยุคที่ 10 ซึ่งเรียกว่ายุคชาววิไล ซึ่งสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2523 และต่อมาอีก 1 ยุคซึ่งสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 31ธันวาคม 2540 ซึ่งยังไม่มีใครตั้งชื่อยุคต่อจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และโหรรุ่นเก่า ขณะนี้เป็นยุคต่อมาจากยุคนั้นซึ่งดาวเสาร์กับพฤหัสบดีได้กุมกันในราศีมังกรมาตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2543 จนกระทั่งถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ซึ่งก็ยังไม่มีการตั้งชื่ออีกเช่นกัน แต่ทุกคนก็รู้กันว่าเป็นยุคของระบอบประชาธิปไตยคอร์รัปชัน หรือ ระบอบประชาธิปไตยปล้นบ้านกินเมือง ซึ่งคนพวกนั้นทำกันได้เพียงการปล้นเลือดกินเนื้อของประชาชนพลเมืองเท่านั้น และในทางการเมืองเราก็ทำกันได้เพียงแต่การเห่าและกัดซึ่งกันและกันสนุกสนานกันไปแต่ละวัน
และเราก็จะต้องเห่าและกัดกันต่อไปโดยไม่ต้องมีชื่อยุคสมัย แต่อิทธิพลจากความวิบัติฉิบหายที่เกิดขึ้นนั้น ก็ขอเอาคำอธิบายของผู้รู้มาอ้างดังต่อไปนี้ซึ่งท่านอธิบายถึงอิทธิพลในด้านวิบัติทำลายซึ่งเกิดขึ้นกับสิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้
"ดาวพฤหัสบดีหมายถึง การเงินของประเทศ การพาณิชและการค้าระหว่างประเทศ สัญญาระหว่างประเทศ อนุญาโตตุลาการ การค้าทางเรือ การเดินเรือระหว่างประเทศ การพิมพ์ การแจ้งความ การโฆษณาทางหนังสือพิมพ์ การแถลงข่าวสารต่างๆ ของรัฐบาล การกุข่าวอกุศลของฝ่ายตรงข้าม การเดินทางระหว่างประเทศ ศาสนา กฎหมายและความยุติธรรม เสรีภาพในการพูดการเขียน"
สำหรับดาวเสาร์ก็หมายถึง
"ความปลอดภัยและความสงบสุขของประชาชน ความยากจน เศรษฐกิจการคลัง ทุพภิกขภัย แร่ธาตุต่างๆ โลหกรรม สาธารณูปโภค โทรศัพท์ ไฟฟ้า น้ำประปา การก่อสร้าง พืชพันธุ์ธัญญาหาร ภัยธรรมชาติ ชนชั้นกรรมกร ชาวไร่ชาวนา มติมหาชน" (พ.อ.ประจวบ วัชรปาณ และเทพย์ สาริกบุตร "โหราศาสตร์ในวรรณคดี" โรงพิมพ์เจริญธรรม : 2526)
สำหรับคุณไพรัชที่ถามมาว่า ทำไมยุคนี้คนชั่วจึงไม่ถูกกวาดล้างออกไปบ้างนั้น คำตอบก็คือมันขึ้นอยู่กับยุคที่ท่านแบ่งไว้แล้ว ยุคที่คนดีย่อยยับและคนชั่วได้ดีก็มี แต่ขอให้ทราบว่าไม่รอดด้วยกันทั้งนั้น คนชั่วที่ว่านั้นฉิบหายกันมาด้วยดีทุกคนแล้วก็จะฉิบหายต่อไป ยุคนี้ยังไม่หมดและยุคใหม่ก็จะหวานมันกันหนักยิ่งขึ้นต่อไปอีก
อย่าวิตกว่ามันจะอยู่กันได้ ขนาดสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พาคนไทย 500 คนมาตั้งกรุงธนบุรีขึ้นมาหลังจากพม่าตีกรุงศรีอยุธยาแตกไปนั้น พระเจ้าตากสิน พร้อมด้วยลูกหลานและผู้กู้ชาติและลูกหลานทุกคนก็ถูกประหารชีวิตจนหมดตระกูล พระเจ้าตากสินไม่ได้ทำอะไรผิด หลังจากสร้างกรุงเทพฯ ขึ้นมาเพียง 10 วันเท่านั้น
เพราะยุคเสาร์-พฤหัสบดีกุมกันมันทำให้ความฉิบหายวายวอดที่ว่านั้นจะต้องมีอยู่และต้องมีต่อไปทุก 20 ปีอย่างน้อยก็เป็นยุค "เห่าและกัด" ที่คงถึงขนาดตามเดิม