การที่เสธ.หนั่นออกจากพรรคประชาธิปัตย์ แล้วมาร่วมสนับสนุนพรรคมหาชน ทำให้ผมมั่นใจยิ่งขึ้นว่าการเมืองไทยยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก จะเปลี่ยนก็ในแง่ที่คนเล่นหน้าเดิมๆ ปรับบทบาทจากการเป็นผู้เล่นเสียเอง มาเป็นผู้ส่งคนเข้าประกวด สิ่งที่เปลี่ยนไปในยุคนี้ก็คือ ผู้มีภูมิหลังอย่างเสธ.หนั่น ได้กลายสภาพมาเป็น "ผู้ใหญ่" และคบหาสมาคมกับคนวัยกลางคนที่เป็นนักวิชาการ แทนที่จะคบหาสมาคมกับทหารแต่เพียงด้านเดียว
เมื่อยี่สิบปีก่อน เสธ.หนั่นยังหนุ่มกว่านี้ และการเข้าไปอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ก็ทำให้เสธ.หนั่นมีบทบาทเป็นผู้ประสานงานกับทหาร ซึ่งยังมีบทบาททางการเมืองอยู่
ทหารหนุ่มหรือ "ยังเติร์ก" เมื่อสมัยก่อนมีบทบาททางการเมืองที่ชัดเจนอยู่สองคน คือ พ.อ.จำลอง ศรีเมือง กับ พ.อ.มนูญ รูปขจร แม้ว่า พ.อ.ประจักษ์ สว่างจิตร จะเป็นที่รู้จักกันมาก เพราะโผงผางให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เป็นข่าวบ่อยๆ แต่ผู้ซึ่งเอาใจใส่สนใจ และทำงานการเมืองอย่างจริงจังคือ มหาจำลอง กับ พ.อ.มนูญ
ระหว่างสองคนนี้ มหาจำลองมีบทบาทอย่างเป็นทางการและเปิดเผย อย่างเป็นทางการเพราะมีตำแหน่งทางการเมืองเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ส่วน พ.อ.มนูญนั้น ไม่มีตำแหน่งทางการเมือง แม้ว่าจะเคยเป็นวุฒิสมาชิก หรือสมาชิกสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดินก็ตาม แต่ก็ไม่ค่อยจะเปิดเผยตัวต่อสาธารณชน
คนสองคนนี้มีลีลาต่างกัน พ.อ.จำลองชอบไปมาหาสู่กับผู้คน ส่วน พ.อ.มนูญเก็บตัวชอบรับแขกอยู่กับบ้าน ไม่ค่อยจะไปหาใคร และไม่ค่อยออกงาน มหาจำลองนั้น เดินงานมวลชนอย่างเปิดเผย และสร้างเครือข่ายที่กว้างขวาง มหาจำลองมีผู้สนับสนุนคนสำคัญคือ คุณสุขุม ถิรวัฒน์ เจ้าของที่ดินรายใหญ่แถบบางนา-ตราด คุณสุขุมซึ่งเวลานี้เสียชีวิตไปแล้ว เคยเป็นสมาชิกสภาประเภทแต่งตั้ง และเป็นผู้ต่อต้านคอมมิวนิสต์ตัวฉกาจ มหาจำลองได้อาศัยคุณสุขุม ช่วยเหลือด้านการเงินมาดำเนินกิจการทางสังคม ทำให้ขยายบทบาทได้
พ.อ.มนูญ ไม่ค่อยจะมีพ่อค้าหรือนักธุรกิจรายใหญ่ๆ สนับสนุน นักธุรกิจที่ไปเกี่ยวข้องคบหาสมาคมกับ พ.อ.มนูญก็ไม่ใช่นักธุรกิจแท้ๆ อย่าง วันนิวัติ ศรีไกรวิน ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมมาก ก็ทำธุรกิจเป็นงานอดิเรก วันนิวัติเป็นคนหนุ่มสมัยก่อนที่นิยมชมชอบทหาร รู้จักคนแยะ มีชื่อเล่นว่า "จ้ำ" เป็นหนุ่มรูปหล่อ มาจากครอบครัวที่ดี "จ้ำ" จะไปอยู่ที่บ้าน พ.อ.มนูญทุกวัน ไม่เว้นแม้แต่วันหยุด
พ.อ.มนูญ มีบทบาทเป็นผู้สนับสนุน พล.อ.เปรม ในฐานะลูกน้องทหารม้าด้วยกัน พวกทหารม้ายานเกราะที่คุมกำลังเมื่อยี่สิบ-สามสิบปีมาแล้ว มีอำนาจมาก เพราะเวลามีการยึดอำนาจครั้งใด ทหารม้ายานเกราะ ม.พัน 4 ที่บางกระบือ จะต้องเอารถถังออกมาคุมจุดยุทธศาสตร์เสมอ
ผู้ซึ่งไปมาหาสู่กับ พ.อ.มนูญ ที่เป็นพลเรือนอีกคนหนึ่งคือ กระทาชายนาย "โป๊ป" นายคนนี้ร่ำเรียนมาทางดนตรีจากบอสตัน มีความสามารถทางดนตรีสูงมาก แต่บ้าการทหาร อ่านหนังสือประวัติการทหารมาก และนิยมยกย่อง พ.อ.มนูญมาก เวลามีการยึดอำนาจทีไร จะมีเรื่องเล่าขานเสมอว่า "โป๊ป" ซึ่งตัวผอมเกร็ง มักไปปรากฏตัวจนพวกทหารต่างมึนงงกันทั่วหน้า ถึงกับถามว่าเป็น จปร.รุ่นไหน นายโป๊ปนี่เรียนดนตรีมาจากบอสตัน เป็นเพื่อนคู่หูกับนายแอ่น นักเรียนเก่าวชิราวุธ เจ้าของร้านอาหารบ้านคุณหลวง สองคนนี้ใกล้ชิดเป็นที่รักใคร่ไว้วางใจของ พ.อ.มนูญมาก
พ.อ.มนูญหมกมุ่นมากกับการคิดแก้ปัญหาให้ชาติบ้านเมือง ผมเคยไปคุยกับ พ.อ.มนูญบ่อยๆ ไม่เคยได้ยินการพูดคุยเรื่องธุรกิจเลย มีแต่เรื่องการเมืองทั้งนั้น สำหรับ พ.อ.จำลองก็เช่นกัน พวกนี้ไม่มีความสนใจเรื่องธุรกิจผิดกับทหารรุ่นอื่นๆ ซึ่งคบหาสมาคมกับพ่อค้านักธุรกิจมาก
ผมสังเกตว่า พวกทหารนี่เหล่ามีความสำคัญมาก ความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นจึงมีเหล่าแทรกอยู่ด้วย พ.อ.จำลองอยู่เหล่าสื่อสาร จึงสนิทกับ พล.อ.ชวลิต ซึ่งเป็นทหารสื่อสาร พวกเหล่าม้าก็สนิทกัน พ.ท. (ต่อมาเป็นพล.อ.) สุรพล ชินะจิตร เป็นทหารปืนใหญ่ก็สนิทกับ พล.อ.วิโรจน์ ซึ่งเป็นเหล่าปืนใหญ่
ดังนั้น ความสัมพันธ์ของทหารจึงมีทั้งทางดิ่งและทางขวาง ใครสนิทกับใครก็จะเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ที่ดี อย่างเช่น พ.ท.สุรพล ชินะจิตร ซึ่งมีบทบาทสำคัญมากในการเชื่อมโยงกับ พล.อ.ชวลิต และ พล.อ.วิโรจน์ แสงสนิท ในการขอให้ยังเติร์กที่ถูกออกจากราชการได้กลับเข้ารับราชการ เป็นต้น
ตอนที่ พ.อ.มนูญต้องลี้ภัยไปอยู่เยอรมนีนั้น ก็ได้เสธ.หนั่นและยังเติร์กอย่าง พ.ท.สุรพล ชินะจิตร นี่แหละที่เป็นตัวกลางคอยติดต่อช่วยเหลือ ผมเคยไปเยอรมนีได้พบ พ.อ.มนูญที่ดุสเซลดอร์ฟ พ.อ.มนูญเข้าไปเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยบิลลาเฟล โดยผมเขียนจดหมายแนะนำให้ เพราะมีโปรเฟสเซอร์ฮานส์ ดิ๊กเตอร์ เอเวอร์ สอนอยู่ที่นั่น เวลานั้นมี สังศิต พิริยะรังสรรค์ กำลังทำปริญญาเอกอยู่ด้วย สังศิตจึงได้รู้จักสนิทสนมกับ พ.อ.มนูญตั้งแต่นั้นมา
ในการตั้งพรรคมหาชนนี้ ผมจึงคิดว่า พ.อ.มนูญคงได้พูดคุยกับเสธ.หนั่นแล้ว เดิมทีผมคาดว่า เสธ.หนั่นจะคุมอำนาจในพรรคประชาธิปัตย์ได้ แต่ก็มาพลาดโอกาส เพราะคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ จึงต้องใช้ช่องทางใหม่
การเมืองไทยในปี พ.ศ. 2547 นี้ จึงเป็นระยะสุดท้ายของคนรุ่นอายุ 70 กว่าๆ คนเหล่านี้ (เสธ.หนั่น มหาจำลอง และ พ.อ.มนูญ) คงจะยุ่งเกี่ยวกับการเมืองไปจนตาย ต่างกับพวกรุ่น 5 อย่าง พล.อ.สุจินดา ซึ่งวางมือไปจริงๆ เล่นแต่กอล์ฟ และหาอาหารดีๆ กิน วันก่อนเพื่อนเล่าว่า พล.อ.สุจินดา เป็นนักกินตัวยง ชอบกินอาหารฝรั่งกับอาหารแขก และเสาะแสวงหาของกินทั้งในและนอกประเทศ
พวกรุ่น 5 กับรุ่น 7 จึงต่างกันตรงที่รุ่น 5 ไม่ค่อยจะสนใจการเมือง จะมีก็ พล.อ.วิโรจน์ ซึ่งเกี่ยวข้องบ้างกับพรรคชาติไทย แต่รุ่น 7 นี้ยังคงมีบทบาทอยู่เรื่อยมา เรียกว่า ยังไม่ยอมลาโรงก็แล้วกัน แม้จะไม่ออกมาอยู่หน้าฉากก็ยังคงคอยเชิดหนังตะลุงทางการเมืองอยู่หลังม่าน
เมื่อยี่สิบปีก่อน เสธ.หนั่นยังหนุ่มกว่านี้ และการเข้าไปอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ก็ทำให้เสธ.หนั่นมีบทบาทเป็นผู้ประสานงานกับทหาร ซึ่งยังมีบทบาททางการเมืองอยู่
ทหารหนุ่มหรือ "ยังเติร์ก" เมื่อสมัยก่อนมีบทบาททางการเมืองที่ชัดเจนอยู่สองคน คือ พ.อ.จำลอง ศรีเมือง กับ พ.อ.มนูญ รูปขจร แม้ว่า พ.อ.ประจักษ์ สว่างจิตร จะเป็นที่รู้จักกันมาก เพราะโผงผางให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เป็นข่าวบ่อยๆ แต่ผู้ซึ่งเอาใจใส่สนใจ และทำงานการเมืองอย่างจริงจังคือ มหาจำลอง กับ พ.อ.มนูญ
ระหว่างสองคนนี้ มหาจำลองมีบทบาทอย่างเป็นทางการและเปิดเผย อย่างเป็นทางการเพราะมีตำแหน่งทางการเมืองเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ส่วน พ.อ.มนูญนั้น ไม่มีตำแหน่งทางการเมือง แม้ว่าจะเคยเป็นวุฒิสมาชิก หรือสมาชิกสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดินก็ตาม แต่ก็ไม่ค่อยจะเปิดเผยตัวต่อสาธารณชน
คนสองคนนี้มีลีลาต่างกัน พ.อ.จำลองชอบไปมาหาสู่กับผู้คน ส่วน พ.อ.มนูญเก็บตัวชอบรับแขกอยู่กับบ้าน ไม่ค่อยจะไปหาใคร และไม่ค่อยออกงาน มหาจำลองนั้น เดินงานมวลชนอย่างเปิดเผย และสร้างเครือข่ายที่กว้างขวาง มหาจำลองมีผู้สนับสนุนคนสำคัญคือ คุณสุขุม ถิรวัฒน์ เจ้าของที่ดินรายใหญ่แถบบางนา-ตราด คุณสุขุมซึ่งเวลานี้เสียชีวิตไปแล้ว เคยเป็นสมาชิกสภาประเภทแต่งตั้ง และเป็นผู้ต่อต้านคอมมิวนิสต์ตัวฉกาจ มหาจำลองได้อาศัยคุณสุขุม ช่วยเหลือด้านการเงินมาดำเนินกิจการทางสังคม ทำให้ขยายบทบาทได้
พ.อ.มนูญ ไม่ค่อยจะมีพ่อค้าหรือนักธุรกิจรายใหญ่ๆ สนับสนุน นักธุรกิจที่ไปเกี่ยวข้องคบหาสมาคมกับ พ.อ.มนูญก็ไม่ใช่นักธุรกิจแท้ๆ อย่าง วันนิวัติ ศรีไกรวิน ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมมาก ก็ทำธุรกิจเป็นงานอดิเรก วันนิวัติเป็นคนหนุ่มสมัยก่อนที่นิยมชมชอบทหาร รู้จักคนแยะ มีชื่อเล่นว่า "จ้ำ" เป็นหนุ่มรูปหล่อ มาจากครอบครัวที่ดี "จ้ำ" จะไปอยู่ที่บ้าน พ.อ.มนูญทุกวัน ไม่เว้นแม้แต่วันหยุด
พ.อ.มนูญ มีบทบาทเป็นผู้สนับสนุน พล.อ.เปรม ในฐานะลูกน้องทหารม้าด้วยกัน พวกทหารม้ายานเกราะที่คุมกำลังเมื่อยี่สิบ-สามสิบปีมาแล้ว มีอำนาจมาก เพราะเวลามีการยึดอำนาจครั้งใด ทหารม้ายานเกราะ ม.พัน 4 ที่บางกระบือ จะต้องเอารถถังออกมาคุมจุดยุทธศาสตร์เสมอ
ผู้ซึ่งไปมาหาสู่กับ พ.อ.มนูญ ที่เป็นพลเรือนอีกคนหนึ่งคือ กระทาชายนาย "โป๊ป" นายคนนี้ร่ำเรียนมาทางดนตรีจากบอสตัน มีความสามารถทางดนตรีสูงมาก แต่บ้าการทหาร อ่านหนังสือประวัติการทหารมาก และนิยมยกย่อง พ.อ.มนูญมาก เวลามีการยึดอำนาจทีไร จะมีเรื่องเล่าขานเสมอว่า "โป๊ป" ซึ่งตัวผอมเกร็ง มักไปปรากฏตัวจนพวกทหารต่างมึนงงกันทั่วหน้า ถึงกับถามว่าเป็น จปร.รุ่นไหน นายโป๊ปนี่เรียนดนตรีมาจากบอสตัน เป็นเพื่อนคู่หูกับนายแอ่น นักเรียนเก่าวชิราวุธ เจ้าของร้านอาหารบ้านคุณหลวง สองคนนี้ใกล้ชิดเป็นที่รักใคร่ไว้วางใจของ พ.อ.มนูญมาก
พ.อ.มนูญหมกมุ่นมากกับการคิดแก้ปัญหาให้ชาติบ้านเมือง ผมเคยไปคุยกับ พ.อ.มนูญบ่อยๆ ไม่เคยได้ยินการพูดคุยเรื่องธุรกิจเลย มีแต่เรื่องการเมืองทั้งนั้น สำหรับ พ.อ.จำลองก็เช่นกัน พวกนี้ไม่มีความสนใจเรื่องธุรกิจผิดกับทหารรุ่นอื่นๆ ซึ่งคบหาสมาคมกับพ่อค้านักธุรกิจมาก
ผมสังเกตว่า พวกทหารนี่เหล่ามีความสำคัญมาก ความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นจึงมีเหล่าแทรกอยู่ด้วย พ.อ.จำลองอยู่เหล่าสื่อสาร จึงสนิทกับ พล.อ.ชวลิต ซึ่งเป็นทหารสื่อสาร พวกเหล่าม้าก็สนิทกัน พ.ท. (ต่อมาเป็นพล.อ.) สุรพล ชินะจิตร เป็นทหารปืนใหญ่ก็สนิทกับ พล.อ.วิโรจน์ ซึ่งเป็นเหล่าปืนใหญ่
ดังนั้น ความสัมพันธ์ของทหารจึงมีทั้งทางดิ่งและทางขวาง ใครสนิทกับใครก็จะเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ที่ดี อย่างเช่น พ.ท.สุรพล ชินะจิตร ซึ่งมีบทบาทสำคัญมากในการเชื่อมโยงกับ พล.อ.ชวลิต และ พล.อ.วิโรจน์ แสงสนิท ในการขอให้ยังเติร์กที่ถูกออกจากราชการได้กลับเข้ารับราชการ เป็นต้น
ตอนที่ พ.อ.มนูญต้องลี้ภัยไปอยู่เยอรมนีนั้น ก็ได้เสธ.หนั่นและยังเติร์กอย่าง พ.ท.สุรพล ชินะจิตร นี่แหละที่เป็นตัวกลางคอยติดต่อช่วยเหลือ ผมเคยไปเยอรมนีได้พบ พ.อ.มนูญที่ดุสเซลดอร์ฟ พ.อ.มนูญเข้าไปเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยบิลลาเฟล โดยผมเขียนจดหมายแนะนำให้ เพราะมีโปรเฟสเซอร์ฮานส์ ดิ๊กเตอร์ เอเวอร์ สอนอยู่ที่นั่น เวลานั้นมี สังศิต พิริยะรังสรรค์ กำลังทำปริญญาเอกอยู่ด้วย สังศิตจึงได้รู้จักสนิทสนมกับ พ.อ.มนูญตั้งแต่นั้นมา
ในการตั้งพรรคมหาชนนี้ ผมจึงคิดว่า พ.อ.มนูญคงได้พูดคุยกับเสธ.หนั่นแล้ว เดิมทีผมคาดว่า เสธ.หนั่นจะคุมอำนาจในพรรคประชาธิปัตย์ได้ แต่ก็มาพลาดโอกาส เพราะคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ จึงต้องใช้ช่องทางใหม่
การเมืองไทยในปี พ.ศ. 2547 นี้ จึงเป็นระยะสุดท้ายของคนรุ่นอายุ 70 กว่าๆ คนเหล่านี้ (เสธ.หนั่น มหาจำลอง และ พ.อ.มนูญ) คงจะยุ่งเกี่ยวกับการเมืองไปจนตาย ต่างกับพวกรุ่น 5 อย่าง พล.อ.สุจินดา ซึ่งวางมือไปจริงๆ เล่นแต่กอล์ฟ และหาอาหารดีๆ กิน วันก่อนเพื่อนเล่าว่า พล.อ.สุจินดา เป็นนักกินตัวยง ชอบกินอาหารฝรั่งกับอาหารแขก และเสาะแสวงหาของกินทั้งในและนอกประเทศ
พวกรุ่น 5 กับรุ่น 7 จึงต่างกันตรงที่รุ่น 5 ไม่ค่อยจะสนใจการเมือง จะมีก็ พล.อ.วิโรจน์ ซึ่งเกี่ยวข้องบ้างกับพรรคชาติไทย แต่รุ่น 7 นี้ยังคงมีบทบาทอยู่เรื่อยมา เรียกว่า ยังไม่ยอมลาโรงก็แล้วกัน แม้จะไม่ออกมาอยู่หน้าฉากก็ยังคงคอยเชิดหนังตะลุงทางการเมืองอยู่หลังม่าน