ซิงเกอร์ทุ่มงบตลาดกว่า 400 ล้านบาท เร่งเครื่องครึ่งปีหลังรุกตลาดเงินผ่อนรถมอเตอร์ไซต์เต็มสูบ รวมทั้งเน้นกลยุทธ์พัฒนาคนเป็นตัวแปรหลัก ดันยอดขายโตตามเป้า หลังจากที่ครึ่งปีแรกแผ่ว พร้อมเล็งปีหน้าเตรียมบุกตลาดสินค้ารถมือ 2 ในลักษณะเปิดเป็นศูนย์สินค้ามือ 2 หรือเอาท์เล็ตโดยเฉพาะของซิงเกอร์
นายยงยุทธ์ บุญเปกซ์ตระกูล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนที่จะทำตลาดสินค้าในตลาดมือ 2 ซึ่งมองว่าเป็นช่องทางหนึ่งที่น่าสนใจ เนื่องจากธุรกิจของซิงเกอร์เป็นแบบซื้อผ่อน ประกอบกับลูกค้าบางรายไม่สามารถหาเงินมาผ่อนสินค้ากับทางบริษัทฯได้จึงต้องมีการยึดสินค้านั้นคืน ซึ่งตรงนี้เริ่มมีการทดลองทำตลาดในส่วนของรถมอเตอร์ไซด์ก่อนแล้ว เพราะที่ผ่านมาสินค้ากลุ่มมอเตอร์ไซด์โดนยึดคืนประมาณ 2,000 คันหรือคิดเป็น 8-9% ต่อปี คาดว่าราคาขายผ่อนมือ 2 จะอยู่ที่ 22,000 บาท ต่ำกว่าราคารถจักรยายนต์ใหม่ในตลาด 38,000 บาท ทั้งนี้บริษัทฯ คาดว่าในปีหน้าจะเปิดร้านเป็นในลักษณะศูนย์สินค้ามือ 2 หรือเอาท์เล็ตโดยเฉพาะของซิงเกอร์
ประกอบกับธุรกิจเงินผ่อนรถจักรยานยนต์ในปัจจุบันนี้มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าอัตราการครอบครอง แต่ละครัวเรือนเกือบเต็มที่แล้ว โดยยอดขายในส่วนของรถมอเตอร์ไซด์ซึ่งเป็นยอดขายหลักของบริษัทฯในปีนี้ คาดว่าจะขายได้ประมาณ 40,000 คัน จากปีที่แล้วที่มียอดขาย 2.2 -2.5 หมื่นคัน ในขณะที่ปีหน้าคาดการณ์ว่าจะขายได้สูงกว่าปีนี้ คือ 80,000-100,000 คัน เพราะแนวโน้มการขายของตลาดจะเปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือ ดีลเลอร์จะมีการรวมตัวกันมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดน่าจะโตขึ้น อีกทั้งจะเห็นว่าแม้แต่ธุรกิจบัตรเครดิต หรือธนาคารเอกชนก็เริ่มหันมาให้ความสนใจในการให้สินเชื่อเพื่อซื้อมอเตอร์ไซด์เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
นายยงยุทธ์ กล่าวต่อว่า สำหรับผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา พบว่ายอดขายไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ หรือไม่มีอัตราการเติบโตขึ้น ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากเจอปัจจัยหลายอย่าง อาทิ ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น, โรคซาร์ส และเหตุการณ์ความไม่สงบทางภาคใต้ เป็นต้น ในขณะที่ปีที่แล้วในช่วงเวลาเดียวกันบริษัทฯ มียอดรายได้โตขึ้นประมาณ 15-20%
ในขณะที่ครึ่งปีหลังบริษัทฯ คาดว่ายอดขายจะเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ จากการทำตลาดที่เน้นกลยุทธ์ทางด้านคนเป็นตัวแปรหลักในการดำเนินธุรกิจ ประกอบกับมีการนำระบบ Balance Scorecard มาเป็นเครื่องมือในการบริหารองค์กร เริ่มใช้วันที่ 9 ส.ค.นี้ เบื้องต้นบริษัทฯ มั่นใจว่าระบบดังกล่าวนี้จะช่วยประสานงานให้ทุกฝ่ายสามารถทำงานโดยมีการเชื่อมโยงกัน และมีการกำหนดเป้าหมายร่วมกันมากขึ้น
รวมทั้งบริษัทฯยังได้ลงทุนในเรื่องระบบโปรแกรมสำหรับบริหารงาน ERP (Enterprise Resource Plan) 60 ล้านบาท ขณะที่อยู่ในขั้นออกแบบระบบอยู่ คาดว่าเริ่มใช้ได้ประมาณกลางปีหน้า นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ใกล้ช่วงการเลือกตั้งส.ส. คาดว่าจะมีจำนวนเงินสะพัดหมุนเวียนมากในกลุ่มลูกค้าระดับรากหญ้าที่อยู่ต่างจังหวัด และถือเป็นลูกค้ากลุ่มหลักของบริษัทฯ คิดเป็น 90%
ด้านงบทางการตลาดของบริษัทฯในปีนี้แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ งบทางด้านโฆษณา 200 ล้านบาท และงบส่งเสริมการขาย 200 กว่าบาท โดย 2 ปีที่ผ่านมาบริษัทฯใช้งบทางด้านตลาดค่อนข้างมากกว่าทุกปี เนื่องจากตลาดมีการแข่งขันสูงขึ้นและมีคู่แข่งเข้ามาหลายราย
ปัจจุบันซิงเกอร์มีร้านทั้งหมดทั่วประเทศ 252 แห่ง รวมถึงร้านซิงเกอร์ พลัสที่ขายทั้งเงินสดและเงินผ่อน ในกรุงเทพฯ 12 สาขาและที่เชียงใหม่ 2 สาขา ส่วนศูนย์บริการมีทั้งหมด 15 แห่ง ตั้งเป้าสิ้นปีเพิ่มอีก 5 ศูนย์ที่กรุงเทพฯ 2แห่ง คือ รังสิตและศรีนครินทร์ อีก 3แห่งเป็นที่ภาคตะวันออก
สำหรับตลาดสินค้าเงินผ่อนมีมูลค่าตลาดประมาณ 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มร้านเชนใหญ่ คิดเป็น 60% ได้แก่ ซิงเกอร์เป็นผู้นำตลาด ด้วยยอดขายในปีที่แล้วประมาณ 4,000 ล้านบาทหรือ 30% ตามด้วยไมด้า เอสเซ็ท, ไดสตาร์และนิยมพาณิชย์ อีกกลุ่ม คือ ผู้ประกอบการรายย่อย 40% ซิงเกอร์ตั้งเป้าปีนี้จะโตประมาณ 15-20% โดยสัดส่วนยอดขายสินค้าของบริษัทฯแบ่งเป็น มอเตอร์ไซด์มากที่สุด รองลงมาคือ ทีวี,ตู้เย็นและเครื่องซักผ้า ที่เหลือเป็นสินค้าอื่นๆ
นายยงยุทธ์ บุญเปกซ์ตระกูล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนที่จะทำตลาดสินค้าในตลาดมือ 2 ซึ่งมองว่าเป็นช่องทางหนึ่งที่น่าสนใจ เนื่องจากธุรกิจของซิงเกอร์เป็นแบบซื้อผ่อน ประกอบกับลูกค้าบางรายไม่สามารถหาเงินมาผ่อนสินค้ากับทางบริษัทฯได้จึงต้องมีการยึดสินค้านั้นคืน ซึ่งตรงนี้เริ่มมีการทดลองทำตลาดในส่วนของรถมอเตอร์ไซด์ก่อนแล้ว เพราะที่ผ่านมาสินค้ากลุ่มมอเตอร์ไซด์โดนยึดคืนประมาณ 2,000 คันหรือคิดเป็น 8-9% ต่อปี คาดว่าราคาขายผ่อนมือ 2 จะอยู่ที่ 22,000 บาท ต่ำกว่าราคารถจักรยายนต์ใหม่ในตลาด 38,000 บาท ทั้งนี้บริษัทฯ คาดว่าในปีหน้าจะเปิดร้านเป็นในลักษณะศูนย์สินค้ามือ 2 หรือเอาท์เล็ตโดยเฉพาะของซิงเกอร์
ประกอบกับธุรกิจเงินผ่อนรถจักรยานยนต์ในปัจจุบันนี้มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าอัตราการครอบครอง แต่ละครัวเรือนเกือบเต็มที่แล้ว โดยยอดขายในส่วนของรถมอเตอร์ไซด์ซึ่งเป็นยอดขายหลักของบริษัทฯในปีนี้ คาดว่าจะขายได้ประมาณ 40,000 คัน จากปีที่แล้วที่มียอดขาย 2.2 -2.5 หมื่นคัน ในขณะที่ปีหน้าคาดการณ์ว่าจะขายได้สูงกว่าปีนี้ คือ 80,000-100,000 คัน เพราะแนวโน้มการขายของตลาดจะเปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือ ดีลเลอร์จะมีการรวมตัวกันมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดน่าจะโตขึ้น อีกทั้งจะเห็นว่าแม้แต่ธุรกิจบัตรเครดิต หรือธนาคารเอกชนก็เริ่มหันมาให้ความสนใจในการให้สินเชื่อเพื่อซื้อมอเตอร์ไซด์เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
นายยงยุทธ์ กล่าวต่อว่า สำหรับผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา พบว่ายอดขายไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ หรือไม่มีอัตราการเติบโตขึ้น ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากเจอปัจจัยหลายอย่าง อาทิ ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น, โรคซาร์ส และเหตุการณ์ความไม่สงบทางภาคใต้ เป็นต้น ในขณะที่ปีที่แล้วในช่วงเวลาเดียวกันบริษัทฯ มียอดรายได้โตขึ้นประมาณ 15-20%
ในขณะที่ครึ่งปีหลังบริษัทฯ คาดว่ายอดขายจะเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ จากการทำตลาดที่เน้นกลยุทธ์ทางด้านคนเป็นตัวแปรหลักในการดำเนินธุรกิจ ประกอบกับมีการนำระบบ Balance Scorecard มาเป็นเครื่องมือในการบริหารองค์กร เริ่มใช้วันที่ 9 ส.ค.นี้ เบื้องต้นบริษัทฯ มั่นใจว่าระบบดังกล่าวนี้จะช่วยประสานงานให้ทุกฝ่ายสามารถทำงานโดยมีการเชื่อมโยงกัน และมีการกำหนดเป้าหมายร่วมกันมากขึ้น
รวมทั้งบริษัทฯยังได้ลงทุนในเรื่องระบบโปรแกรมสำหรับบริหารงาน ERP (Enterprise Resource Plan) 60 ล้านบาท ขณะที่อยู่ในขั้นออกแบบระบบอยู่ คาดว่าเริ่มใช้ได้ประมาณกลางปีหน้า นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ใกล้ช่วงการเลือกตั้งส.ส. คาดว่าจะมีจำนวนเงินสะพัดหมุนเวียนมากในกลุ่มลูกค้าระดับรากหญ้าที่อยู่ต่างจังหวัด และถือเป็นลูกค้ากลุ่มหลักของบริษัทฯ คิดเป็น 90%
ด้านงบทางการตลาดของบริษัทฯในปีนี้แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ งบทางด้านโฆษณา 200 ล้านบาท และงบส่งเสริมการขาย 200 กว่าบาท โดย 2 ปีที่ผ่านมาบริษัทฯใช้งบทางด้านตลาดค่อนข้างมากกว่าทุกปี เนื่องจากตลาดมีการแข่งขันสูงขึ้นและมีคู่แข่งเข้ามาหลายราย
ปัจจุบันซิงเกอร์มีร้านทั้งหมดทั่วประเทศ 252 แห่ง รวมถึงร้านซิงเกอร์ พลัสที่ขายทั้งเงินสดและเงินผ่อน ในกรุงเทพฯ 12 สาขาและที่เชียงใหม่ 2 สาขา ส่วนศูนย์บริการมีทั้งหมด 15 แห่ง ตั้งเป้าสิ้นปีเพิ่มอีก 5 ศูนย์ที่กรุงเทพฯ 2แห่ง คือ รังสิตและศรีนครินทร์ อีก 3แห่งเป็นที่ภาคตะวันออก
สำหรับตลาดสินค้าเงินผ่อนมีมูลค่าตลาดประมาณ 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มร้านเชนใหญ่ คิดเป็น 60% ได้แก่ ซิงเกอร์เป็นผู้นำตลาด ด้วยยอดขายในปีที่แล้วประมาณ 4,000 ล้านบาทหรือ 30% ตามด้วยไมด้า เอสเซ็ท, ไดสตาร์และนิยมพาณิชย์ อีกกลุ่ม คือ ผู้ประกอบการรายย่อย 40% ซิงเกอร์ตั้งเป้าปีนี้จะโตประมาณ 15-20% โดยสัดส่วนยอดขายสินค้าของบริษัทฯแบ่งเป็น มอเตอร์ไซด์มากที่สุด รองลงมาคือ ทีวี,ตู้เย็นและเครื่องซักผ้า ที่เหลือเป็นสินค้าอื่นๆ