xs
xsm
sm
md
lg

ห้ามพระเทศน์การเมือง : แยกโลกจากธรรม

เผยแพร่:   โดย: สามารถ มังสัง

ก่อนที่จะนำท่านผู้อ่านเข้าสู่ประเด็นที่นำมาเป็นข้อเขียน ผู้เขียนใคร่ขอทำความเข้าใจกับท่านผู้อ่านเกี่ยวกับคำว่า โลก และคำว่า ธรรม เป็นเบื้องต้น เพื่อความเข้าใจตรงกัน

เริ่มด้วยคำว่า โลก ก่อน โลกตามนัยแห่งคำสอนในพระพุทธศาสนาแบ่งออกเป็น 2 ความหมาย คือ

1. โลกหมายถึง แผ่นดินอันเป็นที่อยู่อาศัยของสรรพสิ่ง จะเห็นได้จากคำสอนที่ว่าด้วยเรื่องที่ควรนำมาคิดหรือที่เรียกว่า อจินไตย เช่น โลกนี้เที่ยง โลกนี้ไม่เที่ยง โลกนี้เกิดเมื่อใด และจะจบลงหรือล่มสลายเมื่อใด เป็นต้น เพราะคิดแล้วไม่ก่อให้เกิดประโยชน์

2. โลกหมายถึง หมู่สัตว์รวมไปถึงมนุษย์ด้วย จะเห็นได้จากคำสอนที่ว่า โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ (อูโน โลโก) คือมีความอยาก ความต้องการตลอดเวลา หรือถมไม่เต็มเพราะตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งตัณหา เป็นต้น

ส่วนคำว่า ธรรม หมายถึง สภาพที่มีอยู่ด้วยตัวของมันเองตลอดกาล แต่ที่ไม่ปรากฏก็เพราะขาดผู้ค้นพบและนำมาเปิดเผยเท่านั้น จะเห็นได้จากคำสอนที่ว่า ตถาคตจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น (ในโลก) ก็ตาม ธรรมเป็นของที่มีอยู่แล้ว ดังนั้น การตรัสรู้ของพระองค์ก็คือ การค้นพบและนำมาเปิดเผยเท่านั้น มิใช่สร้างขึ้นมาใหม่แต่อย่างใด

ธรรมะที่พระพุทธเจ้าค้นพบ และนำมาเผยแพร่แบ่งออกได้เป็น 2 ระดับคือ

1. โลกียธรรม อันได้แก่ ธรรมะที่ทรงสอนเพื่อให้ผู้ที่ได้รับการสอน ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เช่น ให้ประกอบสัมมาอาชีพ การให้เชื่อกฎแห่งกรรมว่าทำดีได้ดี และทำชั่วได้ชั่ว เป็นต้น

2. โลกุตรธรรม อันได้แก่ ธรรมที่สอนเพื่อให้ผู้ที่ได้รับการสอนหลุดพ้นจากกิเลส ละความชั่วและสุดท้ายไม่ยึดติดแม้กระทั่งความดี แต่มุ่งให้จิตใจหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยไม่กลับมาเกิดอีก

ในธรรม 2 ประการนี้ สมัยที่พระพุทธเจ้ายังดำรงพระชนม์ชีพอยู่ และทรงสอนเวไนยสัตว์ด้วยพระองค์เอง ไม่ก่อให้เกิดปัญหาใดๆ ว่าใครควรจะได้รับการสอนธรรมในขั้นใด พระพุทธเจ้าทรงมีญาณเล็งเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่งว่าใครควรจะได้รับการสอนธรรมในขั้นใด และหลังได้รับการสอนแล้วจะบรรลุธรรมขั้นไหน

แต่ในปัจจุบัน พระสงฆ์ผู้สอนส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดเป็นเพียงสมมติสงฆ์ผู้ทรงศีล และปฏิบัติชอบอยู่ในกรอบแห่งพระวินัยก็คือว่าอยู่ในเพศและภาวะแห่งผู้สอนธรรมที่ดีแล้ว ไม่ต้องคาดหวังให้ผู้สอนบรรลุธรรมถึงขั้นโลกุตรก็สามารถทำให้ผู้ฟังที่ฟังด้วยศรัทธาและเลื่อมใสได้ประโยชน์เพียงพอที่จะนำไปเป็นเครื่องนำทางแห่งชีวิตให้ดำเนินไปอย่างมีความสุขได้

ถ้าจะคาดหวังความสำเร็จให้เกิดขึ้นแก่ผู้ฟังมากกว่านี้ ก็น่าจะคาดได้เพียงว่า ผู้สอนควรจะได้เลือกธรรมให้สอดคล้องกับความต้องการของสังคมโดยรวม ก็น่าจะเพียงพอแล้ว

แต่ไม่ใช่การที่ผู้ฟังออกมาบอกว่า พระผู้สอนไม่ควรสอนอย่างนั้นควรสอนอย่างนี้ โดยอาศัยความชอบหรือไม่ชอบ เพราะสิ่งที่พระสอนไปกระทบสถานภาพทางสังคมของคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ดังที่ได้เกิดเป็นข่าวว่าห้ามพระเทศน์เรื่องการเมืองทางสถานีวิทยุ และโทรทัศน์

แต่อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาได้มีเจ้าหน้าที่ของรัฐที่รับผิดชอบเกี่ยวกับงานด้านนี้ ได้ออกมาชี้แจงว่ามิได้มีการห้ามก็ตกลงเป็นไปได้ว่ายังไม่มีการห้าม

ถึงแม้ว่าไม่มีการห้าม แต่การที่ผู้นำรัฐบาลได้ออกมาพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ในทำนองว่า พระที่เทศน์เกี่ยวกับการเมืองไม่เป็นธรรมะก็มิใช่พระ และพระเช่นนี้ก็ควรที่สึกออกมาเล่นการเมือง โดยสังกัดพรรคการเมือง นั่นก็หมายความว่า คงจะมีการพูดถึงหรือมีความดำริเกี่ยวกับการห้ามมิให้พระเทศน์เรื่องการเมืองอยู่บ้างในวงการนักการเมือง โดยเฉพาะนักการเมืองในฝ่ายรัฐบาล มิฉะนั้นแล้วเรื่องนี้คงจะไม่หลุดรอดออกมาทางสื่อ และที่ยิ่งกว่านี้ผู้นำรัฐบาลคงจะไม่ออกมาพูดในทำนอง ถ้าท่านให้พระที่เทศน์วิจารณ์การเมืองสึกออกมาสู้กันในเกมการเมืองอย่างแน่นอน

พระสงฆ์จะเทศน์เกี่ยวกับการเมืองได้หรือไม่ และถ้ารัฐบาลจะออกกฎหมายห้ามพระมิให้ทำเช่นนั้น จะมีผลดีและเสียตามมาหรือไม่ อย่างไร?

เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้มองเห็นประเด็นแห่งปัญหานี้ตรงกัน ผู้เขียนใคร่ขอให้ท่านผู้อ่านมองย้อนไปที่คำสอนและวิธีการสอน รวมไปถึงประเพณีปฏิบัติที่ผ่านมาในอดีต ในส่วนที่เกี่ยวกับกิจกรรมบ้านเมืองกับพระสงฆ์ ก็จะพบว่า พระสงฆ์น่าจะเทศนาเกี่ยวกับการเมืองได้ภายใต้เหตุปัจจัยดังต่อไปนี้

1. การเมือง ถ้าดูความหมายตามตัวอักษรก็คือ กิจการใดๆ ที่จะต้องดำเนินไปในระดับประเทศ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อสังคมโดยรวม ทั้งลบและบวก ส่วนว่าจะลบหรือบวกก็ขึ้นอยู่กับความรู้ ความสามารถ ความมีคุณธรรมและไม่มีคุณธรรม รวมไปถึงเจตนาและวิธีการของนักการเมืองที่ลงรับเลือกตั้ง และเข้ามารับใช้ปวงชนในฐานะเป็นตัวแทน ทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับงานด้านนิติบัญญัติ และงานด้านบริหาร

ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่นักการเมืองจะต้องมีคุณธรรมในการทำงานในตำแหน่งทางการเมือง และเมื่อใดที่พบว่านักการเมืองขาดคุณธรรมและอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติโดยรวม เมื่อนั้น พระสงฆ์ในฐานะผู้สั่งสอนให้ผู้คนในสังคมมีคุณธรรมก็มีหน้าที่ทางสังคมที่จะต้องเทศนาสั่งสอนให้นักการเมืองสำนึกผิด และกลับใจทำในสิ่งที่ถูก โดยยึดหลักของการพูดจาอันเป็นสุภาษิตคือเป็นเรื่องจริง มีประโยชน์ถูกกาละ ไม่กระทบกระทั่งผู้อื่น และสุดท้ายมีจิตประกอบด้วยเมตตาเป็นที่ตั้ง คือพูดด้วยมุ่งอนุเคราะห์ มิได้มุ่งร้ายก็ถือได้ว่าเทศนาได้

ส่วนเทศนาแล้วนักการเมืองไม่ชอบ ก็เป็นคนละเรื่องกับประเด็นที่ว่าพระควรเทศน์เรื่องการเมืองหรือไม่ เพราะนั่นคือไม่พอใจของคนคนเดียวหรือกลุ่มเดียว มิควรนำมาเป็นเหตุอ้างห้ามพระเทศน์เพื่ออนุเคราะห์คนส่วนใหญ่

2. ในการเทศนามิได้ขึ้นอยู่กับการเทศนาให้ใครฟัง และไม่ควรเทศนาให้ใครฟังด้วยดูเพียงว่าผู้ฟังถูกใจ หรือไม่ถูกใจ แต่ควรดูที่ผลอันจะพึงเกิดขึ้นจากการเทศนานั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลที่เกิดขึ้นแก่ส่วนรวมเป็นหลัก

อีกประการหนึ่ง ในการจะบอกว่าพระควรจะเทศนาเรื่องใด ไม่ควรเทศนาเรื่องใด ไม่ควรมองเพียงชื่อเรื่องหรือกลุ่มเป้าหมายที่จะเป็นผู้ฟัง แต่ควรจะมองดูจากเนื้อหา หรือข้อธรรมะที่จะนำมาเทศน์จะช่วยให้สังคมโดยรวมได้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหนเพียงไร ยกตัวอย่างพระเทศน์เรื่องคอร์รัปชัน และมีการพาดพิงถึงตัวบุคคลคือนักการเมืองว่าเป็นคนไม่ดีก่อความเดือดร้อนแก่สังคม และมีการห้ามพระที่เทศน์ในลักษณะนี้เพียงเพื่อเอาใจนักการเมือง ก็จะถือได้ว่าเป็นการห้ามที่ไม่สมควร เพราะจะยิ่งเท่ากับเปิดโอกาสให้คดโกงมากขึ้นนั่นเอง

ในทางตรงกันข้าม พระที่เทศนาในลักษณะนี้ควรจะได้รับการสนับสนุน เพื่อปิดกั้นโอกาสมิให้มีการโกงมากขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าพระเทศนาเรื่องการเมืองที่มุ่งเน้นให้เกิดประโยชน์กับนักการเมืองกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และเป็นการตัดรวมประโยชน์ของกลุ่มตรงกันข้ามพระที่เทศนาในลักษณะนี้ ควรจะห้ามเพราะก่อให้เกิดความแตกแยกขึ้นในสังคม และอาจนำไปสู่ความหายนะในภาพรวมได้ ทั้งยังไม่เหมาะสมแก่ภาพและภาวะของนักบวชผู้มีศีลและมีธรรม ทั้งยังถือได้ว่าผิดสมณสารูปด้วย

แต่เท่าที่ผู้เขียนคอยติดตามข่าวเกี่ยวกับพระที่เทศนาออกอากาศก็เห็นว่า ส่วนใหญ่ยังอยู่ในกรอบแห่งพระธรรมวินัย จะมีบ้างก็ส่วนหนึ่งที่เอนเอียงไปทางบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ทั้งสังคมโดยรวมไม่ได้ประโยชน์จากการเทศนาในลักษณะนี้ และควรอย่างยิ่งที่ทางราชการคอยสอดส่องและห้ามเทศนาในที่สุด เมื่อพบว่าไม่อยู่ในกรอบแห่งศีลธรรม และทำตัวผิดแผกไปจากเพศและภาวะของนักบวช

อย่างไรก็ตาม ในขั้นนี้ทางราชการน่าจะได้รวบรวมชื่อพระนักเทศน์เหล่านี้ และคอยสอดส่องอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการอาศัยเพศและภาวะแห่งนักบวชช่วยเหลือนักการเมือง ซึ่งถือว่าอยู่ในข่ายพูดเลียบเคียงสกุล เพื่อให้เกิดลาภสักการะแก่ตนเอง อันเป็นการผิดพระวินัยในข้อประจบคฤหัสถ์ อันเป็นการทำร้ายสกุลให้เสื่อมศรัทธาจากพระศาสนาในสายตาของพุทธศาสนิกชนที่เคร่งพระศาสนาอีกด้วย และถ้ารัฐบาลนี้จะช่วยแก้ปัญหานี้เพื่อเป็นการช่วยพระศาสนา ก็น่าจะช่วยส่งเสริมพระดีและกำจัดพระไม่ดีออกไปจากวงการสงฆ์จะดีกว่ามาตรวจสอบพระที่กำลังทำดีเพื่อความดี มิใช่ทำดีเพื่อคนบางคนบางกลุ่ม เพื่อให้ตนเองได้ดี ก็น่าจะดีกว่านี้
กำลังโหลดความคิดเห็น