xs
xsm
sm
md
lg

ประเวศอัดรัฐบาลทักษิณสร้างระบอบธนาธิปไตย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วานนี้ (11ก.ค.)ในการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ของนายวุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ น.พ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ได้กล่าวตอนหนึ่งระหว่างปาฐกถาเรื่อง็การเมืองใหม่คนกทม.ร่วมสร้างประชาธิปไตยที่ไม่ใช่ธนาธิปไตยิ ว่า การเมืองเก่าไม่สามารถแก้ปัญหาประเทศได้ เพราะขณะนี้สังคมเต็มไปด้วยความสลับซับซ้อน ยิ่งการพัฒนาโดยใช้เงินเป็นตัวตั้ง ก็ยิ่งเกิดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน และยังทำให้เกิดปัญหามากมาย ทั้ง การเมือง การใช้ความรุนแรง สิ่งแวดล้อมถูกทำลาย การทำลายวัฒนธรรม ประเทศไทยมีโสเภณีเป็นแสนๆคน ถือเป็นโศกนาฎกรรม ทั้งที่ประเทศไทยมีอาหารมากที่จะเลี้ยงคนทั้งประเทศ
นอกจากนี้ การเลือกตั้งแต่ละครั้งก็มีการใช้เงินเป็นหมื่นล้านบาท ประชาธิปไตยจึงกลายเป็นธนาธิปไตย คือใช้เงินเป็นใหญ่ เมื่อคนส่วนน้อยอยู่ในระบบการเมืองใช้เงินขนาดนี้ มันจึงเป็นเผด็จการเฉพาะกลุ่ม ที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ประโยชน์ มีการรีดไถโกงกิน คอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย เต็มแผ่นดิน ปัญหาเหล่านี้เกิดเพราะผู้มีอำนาจแย่งชิงทรัพยากรส่วนเกินของสังคม เอาอำนาจที่มีไปทำมาหากิน ทำให้คนในประเทศต้องปากกัดตีนถีบ ทั้งที่ความจริงสังคมไทยไม่ได้ยากจน เพราะเรามีอาหารมากมาย แต่เราขาดความเป็นธรรรมทางสังคม
“ตอนนี้มีการทุจริตมโหฬาร การเมืองที่เอาเงินเป็นใหญ่ เขาเรียกว่า ธนาธิปไตย มันแก้อะไรไม่ได้ เมื่อการเลือกตั้งต้องใช้เงินเป็นหมื่นล้าน นักการเมืองก็ต้องเข้าไปถอนทุน เอากำไรต่อ เมื่ออำนาจการเมืองไม่สุจริตเข้ามา ก็แก้ทุจริตไม่ได้ อำนาจรัฐบวกกับอำนาจเงิน จึงเป็นต้นเหตุในการทุจริตเสียเอง”
ราษฎรอาวุโส กล่าวอีกว่า การเมืองแบบเก่าที่ใช้ประชาธิปไตยทางเดียว มุ่งเน้นแต่การเลือกตั้ง เป็นเรื่องล้าสมัยและโบราณแล้ว จำเป็นต้องสร้างประชาธิปไตยทางตรง คือ เป็นการเมืองเพื่อพลเมือง ซึ่งรธน. ฉบับนี้ได้ให้ความสำคัญเพราะไม่ต้องการให้การเมืองเป็นของนักการเมืองแค่ไม่กี่คนในสภา ต้องเป็นของคนทั้งประเทศ แต่รัฐบาลนี้กลับไม่ให้ความสำคัญกับการเมืองของพลเมือง
ทั้งนี้ การให้สังคมมีส่วนร่วมจะทำให้เกิดประชาธิปไตยระดับรากหญ้าที่เข้มแข็ง และจะเป็นสังคมที่ระดมความคิดแก้ปัญหาร่วมกัน ของคนในพื้นที่ทุกหมู่บ้าน รวมตัวกันทำความดีในเรื่องสำคัญๆ และยังกำหนดอนาคตตัวเองได้ ทั้งเรื่องสังคม เศรษฐกิจ ความยากจน การปฏิรูปการศึกษา ตนขอเสนอรูปแบบ ็สังคมร่วมรัฐ สังคมนำรัฐิซึ่งไม่ใช่สังคมที่คัดค้านรัฐบาล แต่เป็นสังคมที่สนับสนุนรัฐบาล และร่วมกันตรวจสอบความไม่ชอบพากลช่วยรัฐบาลอีกทางหนึ่ง แม้แต่สื่อมวลชน ก็ต้องช่วยกันโดยตั้งกองทุนวิจัยเพื่อสื่อ เพื่อสนับสนุนการทำข่าวเชิงสอบสวน จะได้ช่วยลดปัญหาการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย การทุจริตจะได้น้อยลง เพราะนักการเมืองไม่กลัวการอภิปรายในสภา เนื่องจากเป็นการแสดงความเห็น แต่เขากลัวความรู้ หลักฐานจากสื่อ ที่จะมาตีแผ่
“ถ้าสังคมเข้ามามีส่วนร่วม คนๆเดียวก็ไม่สามารถกำหนดนโยบายสาธารณะได้ นโยบายอกุศลแบบไม่มีหลักฐาน ไม่มีงานวิจัยมาเป็นตัวรองรับ อยากทำอะไรก็ทำ เหมือนที่มีสื่อพูดว่าเป็นนโยบาย็ฟาสต์ฟู๊ดโพลิซีิ่หรือ นโยบายแดกด่วน คิดปุ๊บ ทำปั๊บ คิดแบบวันต่อวัน ไม่คิดให้รอบคอบว่าจะเกิดผลกระทบอย่างไร ใช้สติปัญญาน้อย เขาเรียกว่า เป็นนโยบายสมองนิ่ม”
การเมืองใหม่ในอนาคต ต้องไม่ใช่ธนาธิปไตย ที่เน้นเงินเป็นใหญ่ เพราะนั่นเป็นเผด็จการ พรรคการเมืองที่จริงใจต่อประชาธิปไตย จะสนับสนุนให้การเมืองภาคประชาชนเข้มแข็ง แต่รัฐบาลเผด็จการมักไม่ชอบ
“ผมอยากเสนอคนไทยว่า ควรปฏิเสธการเมืองที่ใช้เงินเป็นใหญ่ เพราะนั่น คือ อัปมงคล ของประเทศ นำไปสู่ ความเสียหาย สร้างอนาคตที่ลำบากให้กับสังคมไทย โดยเฉพาะคนกทม.ซึ่งมีความสำคัญมาก เพราะการแก้ปัญหาของประเทศมันสลับซับซ้อน แต่พื้นที่กทม. ประชาชนมีการศึกษา ซื้อเสียงได้ยาก คนกทม. จะต้องรวมตัวกันเพื่อขับเคลื่อนสร้างประชาธิปไตยที่แท้เพื่อให้ขยายแนวร่วมออกไปทั้งประเทศ”
น.พ.ประเวศ ยังกล่าวถึงพระบรมราโชวาทที่ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์ของมหาชนชาวสยาม” ถือว่า เป็นหลักที่ดีที่ผู้ปกครองทุกคนควรนำมาใช้ แต่รัฐบาลกลับทำตรงข้าม ปกครองโดยไร้ธรรมเพื่อประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง และตนเคยได้ยินพระราชดำรัสว่า “ใครจะว่าเชยก็ช่างเขา ขอให้เราพออยู่พอกิน และมีไมตรีจิตต่อกันก็พอ” หรือ “ประเทศไทยควรจะถอยหลังเข้าคลอง” นี่เป็นสังคมอีกแบบหนึ่งซึ่งบางคนอาจจะไม่เข้าใจ ความหมายคือ ถ้าคิดจะออกทะเล คลื่นลมแรง เรือก็จะล่ม แต่การกลับมาอยู่ในคลอง คลื่นลมสงบก็พออยู่ได้ เพราะในคลองคลื่นลมไม่แรง จนเป็นที่มาของพระราชนิพนธ์ พระมหาชนก ซึ่งได้รับสั่งสิ่งดี ๆไว้มากแต่รัฐบาลไม่เคยเอามาคิด อย่าง ในพระราชตำหนักสวนจิตรลดา มีการเลี้ยงวัว ทำนา พระองค์ท่านต้องการส่งสัญญาณอะไรอย่างบาง แต่ฝ่ายการเมืองก็ไม่เคยได้ยิน ซึ่งอาจจะเป็นเพราะรัฐบาลฝังใจและขับเคลื่อนด้วยความโลภ
ดังนั้นคิดว่า คนไทยต้องหันกลับมาพิจารณา ว่า เราจะให้คนรุ่นลูกหลานมีชีวิตอย่างไร ท่านพุทธทาสได้เห็นปัญหานี้และได้พูดมาตั้งแต่ปี 2475 โดยขอให้ศาสนิกชนขอแต่ละศาสนาเข้าถึงหัวใจที่แท้จริงของศาสนาตนเอง และขอให้ทุกศาสนาร่วมมือกัน เพื่อให้หลุดพ้นจากวัตถุนิยม สะท้อนให้เห็นว่า ท่านได้เห็นพิษภัยของวัตถุนิยมเป็นอย่างดี เราจึงควรร่วมมือกันทำสิ่งดี ๆให้ลูกหลาน
น.พ.ประเวศ ให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า สิ่งที่เสนอนั้นไม่ได้ต้องการส่งสัญญาณไปยังรัฐบาล เพราะได้เคยบอกไปหลายครั้งแล้ว แต่รัฐบาลก็ไม่รับฟัง ครั้งนี้จึงต้องการส่งสัญญาณไปถึงประชาชนมากกว่า
กำลังโหลดความคิดเห็น