ผู้จัดการรายวัน-“พงษ์ศักดิ์”ลุยเองลงสำรวจพื้นเปิดอู่ซ่อมรถและศูนย์ตกแต่งรถยนต์ในจีน หลังมองเห็นศักยภาพของตลาดมีโอกาสเติบโตสูง เพราะคนจีนหันมาใช้รถยนต์มากขึ้น แต่ขาดทักษะในการซ่อมบำรุง เล็งเปิดสาขาแรกที่ปักกิ่ง ก่อนขยายไปเมืองอื่น พร้อมหาช่องทางขายแฟรนไชส์ในอนาคตด้วย พร้อมนัด 4 สำนักงานส่งเสริมการค้าในจีนกำหนดแผนทำงานสัปดาห์หน้า
นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้เดินทางไปศึกษาความเหมาะสมและสำรวจสถานที่จัดตั้งศูนย์ซ่อมและตกแต่งรถยนต์ ภายใต้โครงการไทยแลนด์ มาร์เก็ต เพลซ ในจีน ซึ่งพบว่าตลาดจีนมีศักยภาพสูงสำหรับการขยายบริการด้านการซ่อมบำรุงและตกแต่งรถยนต์ของไทย เพราะปัจจุบันเศรษฐกิจจีนขยายตัวเร็ว ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น และต้องการใช้รถยนต์เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนได้ออกกฎระเบียบห้ามการขับขี่รถจักรยานยนต์ในเมืองใหญ่ ทำให้ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ยอดขายรถยนต์นั่งมีประมาณ 600,000 คัน/ปี เพิ่มขึ้นถึง 10% ต่อปี และคาดว่าความต้องการจะขยายตัวมากกว่า 20% ต่อปีในอีก 5 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ ยังได้มีการหารือกับผู้บริหารระดับสูงของศูนย์ซ่อมรถยนต์ของบริษัท ออดี้ โฟล์กสวาเก้น และฟอร์ด ซึ่งทราบว่า บริษัทดังกล่าวไม่ได้มุ่งหวังสร้างรายได้จากการให้บริการซ่อมทำสี เพราะมีอัตราค่าบริการต่ำ แต่มีค่าใช้จ่ายสูง เพราะค่าแรงสูง จึงน่าจะเป็นโอกาสที่ศูนย์ให้บริการของไทย ที่มีต้นทุนต่ำ ค่าแรงต่ำ แต่เป็นแรงงานที่มีฝีมือ และมีการจัดการที่ดีกว่า จะเข้าไปขยายตลาดในจีนได้
“จากการพิจารณาพฤติกรรมการขับขี่รถยนต์ของคนจีน ซึ่งยังขาดทักษะในการดูแลและซ่อมบำรุงรถยนต์ รวมถึงกฎหมายประกันภัยที่บังคับให้รถยนต์ทุกคันต้องมีประกันภัยอย่างน้อยชั้น 3 จึงมองเห็นถึงศักยภาพของการขยายบริการด้านการซ่อมบำรุง และตกแต่งรถยนต์ของไทยสู่ประเทศจีน เพราะอะไหล่และอุปกรณ์ พร้อมทั้งแรงงานของไทยมีคุณภาพมาตรฐานสูง และต้นทุนต่ำกว่าของจีน” นายพงษ์ศักดิ์กล่าว
นายพงษ์ศักดิ์กล่าวว่า ขณะนี้มีบริษัทไทยหลายแห่งสนใจที่จะจัดตั้งตลาดกลางชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ในกรุงปักกิ่ง และอาจมีการจัดตั้งศูนย์ซ่อมบำรุงหลายศูนย์อยู่รวมกัน เพื่อความสะดวกของลูกค้าในการเลือกซื้อสินค้าและใช้บริการด้วย คาดว่า ศูนย์ซ่อมบำรุงจะเริ่มเปิดในกรุงปักกิ่งก่อน แล้วจึงขยายไปสู่เมืองต่างๆ ด้วยการร่วมทุนกับหุ้นส่วนท้องถิ่น หรือการขายแฟรนไชส์
อย่างไรก็ตาม จะมีการประชุมกับผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าของไทยในจีน ทั้ง 4 แห่งในสัปดาห์หน้า เพื่อกำหนดกลยุทธ์ในการเจาะตลาดบริการศูนย์ซ่อมบำรุงรถยนต์ในจีน เพื่อให้มีผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้เดินทางไปศึกษาความเหมาะสมและสำรวจสถานที่จัดตั้งศูนย์ซ่อมและตกแต่งรถยนต์ ภายใต้โครงการไทยแลนด์ มาร์เก็ต เพลซ ในจีน ซึ่งพบว่าตลาดจีนมีศักยภาพสูงสำหรับการขยายบริการด้านการซ่อมบำรุงและตกแต่งรถยนต์ของไทย เพราะปัจจุบันเศรษฐกิจจีนขยายตัวเร็ว ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น และต้องการใช้รถยนต์เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนได้ออกกฎระเบียบห้ามการขับขี่รถจักรยานยนต์ในเมืองใหญ่ ทำให้ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ยอดขายรถยนต์นั่งมีประมาณ 600,000 คัน/ปี เพิ่มขึ้นถึง 10% ต่อปี และคาดว่าความต้องการจะขยายตัวมากกว่า 20% ต่อปีในอีก 5 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ ยังได้มีการหารือกับผู้บริหารระดับสูงของศูนย์ซ่อมรถยนต์ของบริษัท ออดี้ โฟล์กสวาเก้น และฟอร์ด ซึ่งทราบว่า บริษัทดังกล่าวไม่ได้มุ่งหวังสร้างรายได้จากการให้บริการซ่อมทำสี เพราะมีอัตราค่าบริการต่ำ แต่มีค่าใช้จ่ายสูง เพราะค่าแรงสูง จึงน่าจะเป็นโอกาสที่ศูนย์ให้บริการของไทย ที่มีต้นทุนต่ำ ค่าแรงต่ำ แต่เป็นแรงงานที่มีฝีมือ และมีการจัดการที่ดีกว่า จะเข้าไปขยายตลาดในจีนได้
“จากการพิจารณาพฤติกรรมการขับขี่รถยนต์ของคนจีน ซึ่งยังขาดทักษะในการดูแลและซ่อมบำรุงรถยนต์ รวมถึงกฎหมายประกันภัยที่บังคับให้รถยนต์ทุกคันต้องมีประกันภัยอย่างน้อยชั้น 3 จึงมองเห็นถึงศักยภาพของการขยายบริการด้านการซ่อมบำรุง และตกแต่งรถยนต์ของไทยสู่ประเทศจีน เพราะอะไหล่และอุปกรณ์ พร้อมทั้งแรงงานของไทยมีคุณภาพมาตรฐานสูง และต้นทุนต่ำกว่าของจีน” นายพงษ์ศักดิ์กล่าว
นายพงษ์ศักดิ์กล่าวว่า ขณะนี้มีบริษัทไทยหลายแห่งสนใจที่จะจัดตั้งตลาดกลางชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ในกรุงปักกิ่ง และอาจมีการจัดตั้งศูนย์ซ่อมบำรุงหลายศูนย์อยู่รวมกัน เพื่อความสะดวกของลูกค้าในการเลือกซื้อสินค้าและใช้บริการด้วย คาดว่า ศูนย์ซ่อมบำรุงจะเริ่มเปิดในกรุงปักกิ่งก่อน แล้วจึงขยายไปสู่เมืองต่างๆ ด้วยการร่วมทุนกับหุ้นส่วนท้องถิ่น หรือการขายแฟรนไชส์
อย่างไรก็ตาม จะมีการประชุมกับผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าของไทยในจีน ทั้ง 4 แห่งในสัปดาห์หน้า เพื่อกำหนดกลยุทธ์ในการเจาะตลาดบริการศูนย์ซ่อมบำรุงรถยนต์ในจีน เพื่อให้มีผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป