xs
xsm
sm
md
lg

ใครปลอมประวัติศาสตร์?

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

เหตุที่ต้องตั้งคำถามเป็นชื่อบทความในวันนี้ก็เพราะได้สังเกตเห็นว่าพักนี้กำลังมีการเคลื่อนไหวบางสิ่งบางอย่างที่มีลักษณะรื้อถอนความเป็นชาติ รื้อถอนความเป็นไทย และทำกันอย่างเป็นขบวนการ แต่จะมุ่งหมายให้สิ้นชาติกันไปเลยหรือว่าจะมุ่งหมายให้เป็นแต่เพียงยกดินแดนบางส่วนให้เขาไป ก็ต้องติดตามดูกันต่อไป

ก็ต้องบอกกันตามตรงว่าตั้งแต่รู้จักเขียนบทความเป็นตัวตนขึ้นมาไม่เคยกล่าวหาว่าใครดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเลย แต่มาคราวนี้ไม่มีทางที่จะเลี่ยงเป็นอย่างอื่นได้ จึงจำต้องกล่าวหาว่าคนบางคนกำลังดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างร้ายแรงที่สุด

นั่นคือการดูหมิ่น การกล่าวหาว่าร้ายว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปลอมศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชหลักที่หนึ่ง เพราะไม่ว่าจะกล่าวถ้อยร้อยคำประการใดก็ตาม แต่เนื้อหานั้นก็เป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างชัดแจ้ง และเป็นการดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเพื่อทำลายประวัติศาสตร์ของชาติไทยโดยตรง

ก็ขอเชิญชวนเพื่อนผองพี่น้องไทยได้ให้ความสนใจเรื่องนี้กันให้จงดี

นั่นคือเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ศกนี้ ได้มีการจัดเสวนาอุษาคเนย์ในหัวข้อเรื่องการปรับเปลี่ยนอายุเวลาจารึกสุโขทัยหลักที่หนึ่งขึ้นที่คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาเป็นผู้จัด

ในการเสวนาดังกล่าวนั้นมีผู้อ้างว่าล่วงรู้อดีตดีคนหนึ่งได้กล่าวว่า จะต้องเปลี่ยนอายุของจารึกสุโขทัยหลักที่หนึ่ง จากสมัยสุโขทัยมาเป็นช่วงเวลา พ.ศ. 2394-2398 ซึ่งเป็นห้วงเวลาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พูดง่าย ๆ ก็คืออายุของศิลาจารึกหลักที่หนึ่งของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชได้ถูกนายคนนี้กล่าวหาว่าจัดทำขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2394-2398 ซึ่งเป็นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

หมอคนนี้อ้างเหตุผลสี่ประการในการกล่าวหาครั้งนี้ว่า

ประการแรก หลักศิลาจารึกหลักที่หนึ่งได้ใช้คำว่า “เมื่อชั่ว” ซึ่งเป็นถ้อยคำที่มีใช้ในหลักศิลาจารึกหลักที่สามของพระยาลิไท จึงเป็นการนำถ้อยคำในยุคสมัยพระยา ลิไทมาใช้

ประการที่สอง มีการใช้ถ้อยคำว่า “พระรามคำแหง” ซึ่งเป็นตำแหน่งพระอัยการนาทหารหัวเมืองในยุคหลัง คือเป็นภาษาที่ใช้ในเอกสารที่เขียนขึ้นหลัง พ.ศ. 1835

ประการที่สาม มีการใช้คำว่า “หมากม่วง” ซึ่งตรงกับคำว่า “หมากม่วง” ในตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ซึ่งเป็นเอกสารที่แต่งในต้นรัตนโกสินทร์ และถ้อยคำในยุคสุโขทัยนั้นใช้ถ้อยคำเรื่องนี้ว่า “ไม้ม่วง” ไม่ได้ใช้คำว่า “หมากม่วง”

ประการที่สี่ ศิลาจารึกหลักที่หนึ่งของพ่อขุนรามมีถ้อยคำระบุว่า “เจ้าเมืองบ่เอาจกอบในไพร่” ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ที่ให้มีการทำการค้ากับชาติตะวันตกอย่างเสรีโดยไม่มีการผูกขาด และมีถ้อยคำระบุด้วยว่า “มีกระดิ่งแขวนไว้ให้คนร้องทุกข์” ซึ่งสอดคล้องกับเหตุการณ์ในสมัยรัชกาลที่ 4 ที่โปรดให้ราษฎรตีกลองวินิจฉัยเภรีเพื่อยื่นถวายฎีกา

นายหมอคนนี้ได้กล่าวหาว่า “เป็นความพยายามทำให้ดูเก่า เป็นภาษาสมัยสุโขทัย แต่มันไม่เก่าอย่างที่เป็นจริง รัชกาลที่ 4 ทรงประดิษฐ์อักษรอริยกะ เป็นการปรับเปลี่ยนภาษาไทยให้เป็นแบบโรมัน ซึ่งอักษรอริยกะจะมีสระบรรทัดเดียวกับพยัญชนะ ซึ่งตรงกับศิลาจารึกหลักที่หนึ่งที่สระอยู่บรรทัดเดียวกับพยัญชนะ เพราะฉะนั้นคนที่ประดิษฐ์อักษรก็มีแต่พ่อขุนรามคำแหงกับรัชกาลที่ 4 และสาเหตุที่รัชกาลที่ 4 ทรงสร้างศิลาจารึกหลักที่หนึ่งขึ้นมาเพราะต้องการปรับปรุงสยามให้รับกับนานาอารยประเทศ”

ก็ต้องสวดบทสักเค กาเม จะรูเป ซึ่งเป็นบทอัญเชิญเทวดาเจ้าที่เจ้าทางที่รับผิดชอบการงานประวัติศาสตร์และโบราณคดีของชาติ และเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงในการทำความเข้าใจที่ถูกต้อง ในการนำความรู้ที่ถูกต้องให้ประชาชนได้รับทราบ ให้ออกมาชี้แจงกันให้ชัดเจนว่าข้อเสนอและข้อกล่าวหาดังกล่าวนี้เป็นประการใด

เพราะขืนปล่อยให้นิ่งเฉยกันไปดังที่นิ่งเฉยกันมา ชาติไทยเราก็คงจะไม่มีอะไรเหลือหลออีกต่อไป

แต่เมื่อนายหมอนี่กล่าวหาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 อย่างร้ายแรงถึงปานนี้แล้ว ในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่งที่พอรู้เรื่องรู้ราวทางประวัติศาสตร์อยู่บ้าง จำจะต้องกล่าวว่าเหตุผลของหมอคนนี้เป็นเหตุผลที่พิลึกพิลั่นและเป็นการใช้หลักเหตุผลที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง ทำนองเดียวกับการใช้เหตุผลที่ว่านกเป็นสัตว์มีปีก เมื่อยุงก็มีปีกดังนั้นยุงจึงเป็นนกนั่นเอง

เบื้องต้นก็ต้องกล่าวว่านายคนนี้ไม่ได้พิสูจน์ถึงความเก่าแก่ของหลักศิลาจารึกหลักที่หนึ่งว่าความเก่าแก่ของเนื้อวัตถุและรูปรอยจารึกนั้นเป็นของใหม่หรือของเก่ากันแน่ คงกล่าวหาแสดงความเห็นโดยใช้เหตุผลทางภาษาเท่านั้น และเหตุผลเพียงเท่านี้นี่หรือที่จะถือได้ว่าเป็นเหตุผลทางวิชาการสมัยใหม่เพื่อลบล้างประวัติศาสตร์ของชาติ ถึงขนาดกล้าใช้สถานศึกษาสำคัญของชาติคือนามมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นฉากบังให้กับเรื่องนี้

เพราะแค่อาจารย์นิติศาสตร์บางคนอ้างชื่อคณะนิติศาสตร์ออกความเห็นทางกฎหมายชุ่ย ๆ เพื่อรับใช้ผลประโยชน์ทางการเมืองของบางพรรคที่ตนเองสังกัดอยู่ก็ทำให้ชาวธรรมศาสตร์ขายขี้หน้าพออยู่แล้ว

เหตุผลทางภาษาของการใช้คำว่า “เมื่อชั่ว” ที่ระบุว่าเป็นถ้อยคำในยุคสมัยพระยาลิไทซึ่งเป็นยุคหลังของพ่อขุนรามนั้น เหตุไฉนจึงไม่พูดเสียให้ชัดว่ายุคสมัยของพระยาลิไทห่างกับพ่อขุนรามกี่สิบปี ภาษาที่ต่างกันในห้วงเวลาเพียงแค่ไม่กี่สิบปีจะจำแนกยุคสมัยได้ละหรือ เพราะเด็กอมมือก็น่าจะรู้ว่าเป็นภาษาของยุคสมัยเดียวกัน

เหตุผลทางภาษาข้อต่อมาคือคำว่า “พระรามคำแหง” แม้จะเคยเป็นชื่อตำแหน่งอัยการนาทหารหัวเมืองในยุคหลังพระเจ้ารามคำแหงมหาราช ก็หาได้หมายความว่าก่อนหน้าที่จะมีการกำหนดตำแหน่งนี้ไม่เคยมีการใช้คำว่าพระรามคำแหงมาก่อน ดังเช่น ในสมัยอยุธยาก็มีพงศาวดารใช้ถ้อยคำว่านายกอง และคำว่านายกองนี้ก็ยังมีใช้ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ จะถือว่าพงศาวดารในสมัยอยุธยาเขียนขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ได้อย่างนั้นหรือ นี่เป็นเหตุผลที่ขี้เท่ออย่างยิ่งที่ถ้าหากไม่มีเถยจิตซ่อนเร้นอย่างอื่นแล้วก็ไม่มีทางที่จะคิดขึ้นมาได้

เหตุผลทางภาษาประการที่สาม คือถ้อยคำว่า “หมากม่วง” ซึ่งอ้างว่าเป็นถ้อยคำที่ใช้กับวรรณกรรมในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ในขณะที่หลักศิลาจารึกอื่น ๆ ใช้คำว่า “ไม้ม่วง” นั้น ก็ต้องบอกเสียด้วยว่าในยุคที่ประเทศไทยมีเพลงเพื่อชีวิตก็มีบทเพลงหนึ่งใช้คำว่า “หมากม่วง หมากแตง เอามาแซงกินแกงต่างข้าว” อย่างนี้จะสามารถใช้เป็นเหตุผลว่าวรรณกรรมยุคต้นรัตนโกสินทร์เขียนขึ้นในยุคปี พ.ศ. 2517 ได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็จะนำไปใช้ในลักษณะเดียวกันไม่ได้เหมือนกัน

คำว่า “หมากม่วง” กับ “ไม้ม่วง” หรือ “หมากไม้” เป็นถ้อยคำโบราณที่มีใช้มาตั้งแต่สมัยสุโขทัย มีปรากฏอยู่ในหลักศิลาจารึกหลายแห่ง แม้กระทั่งคำจารึกในยุคอยุธยา จะใช้คำว่า “หมาก” หรือคำว่า “ไม้” ก็สุดแท้แต่จังหวะจะโคนของการใช้ เพื่อให้มีรสชาติทางภาษาและสัมผัสทางกวี จะถือเป็นเรื่องแบ่งยุคสมัยย่อมไม่ได้

ส่วนข้อที่อ้างเหตุการณ์ซ้ำรอยกันนั้นเป็นการกล่าวอ้างอย่างง่าย ๆ อย่างลวก ๆ และคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง

ข้อแรก ความในศิลาจารึกที่ว่า “เจ้าเมืองบ่เอาจกอบในไพร่” ที่ว่าสอดคล้องกับการค้าเสรีกับต่างชาติในสมัยรัชกาลที่ 4 นั้นเป็นคนละเรื่อง และไม่ได้สอดคล้องกันเลย

ความในศิลาจารึกเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีการจัดเก็บภาษีจากประชาชนในยุคสุโขทัย แต่ในสมัยรัชกาลที่ 4 นั้นมีการจัดเก็บภาษี ที่มีการยกเลิกการผูกขาดก็คือการยกเลิกการผูกขาดการค้าข้าวที่ไทยทำสัญญาเบาริ่งกับอังกฤษ โดยมีการเปลี่ยนแปลงการค้าข้าวจากเดิมซึ่งสำนักงานพระคลังข้างที่ผูกขาดในการขายข้าวให้กับต่างประเทศ และสัญญาเบาริ่งกำหนดให้ยกเลิกและเมื่อยกเลิกการผูกขาดการค้าข้าวกับต่างประเทศได้แล้ว คนต่างชาติก็สามารถซื้อข้าวจากชาวนาได้โดยตรง ทำให้ข้าวกล้าราคาดีและเป็นผลทำให้เศรษฐกิจดีต่อมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 แต่การยกเลิกการผูกขาดการค้าข้าวนี้ยังคงต้องเสียภาษี ราษฎรไทยก็ต้องเสียภาษีคือภาษีที่นา ภาษีที่ดิน ที่สวน ส่วนต่างชาติก็ต้องเสียภาษีขาออก เป็นคนละเรื่องกับการไม่จัดเก็บภาษีในสมัยพ่อขุนราม ยังจะมีหน้ามาอ้างว่าเหตุการณ์ตรงกันอีก!

เหตุการณ์ที่ว่าสอดคล้องกันอย่างที่สองคือ การร้องทุกข์ของราษฎร ทำไมไม่พูดด้วยว่าเพราะพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นธรรมิกราช ทรงเอาแบบอย่างของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช จึงทรงโปรดให้ราษฎรถวายฎีกาต่อพระเจ้าอยู่หัวได้เหมือนกับสมัยพ่อขุนราม แต่วิธีการแตกต่างกัน คือในสมัยพ่อขุนรามนั้นทรงเสด็จออกประทับนั่งให้ราษฎรมาร้องทุกข์ แต่ในสมัยรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าให้ราษฎรร้องทุกข์ได้หลายวิธี รวมทั้งการตีกลองวินิจฉัยเภรี

เหตุการณ์ที่สอดคล้องกันนี้ควรจะถือได้ว่าเหตุการณ์ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงอันปรากฏในศิลาจารึกหลักที่หนึ่งเป็นต้นแบบ ไม่ใช่มีเหตุการณ์อะไรในชั้นหลัง แล้วจะบอกว่าเหตุการณ์ก่อนนั้นเลียนแบบเหตุการณ์ภายหลัง ซึ่งออกจะขัดเหตุขัดผลชอบกลนัก

อักษรขอมในสมัยโบราณกับอักษรอริยกะแม้จะมีสระและพยัญชนะอยู่ในบรรทัดเดียวกันแต่ก็ยังแยกได้ว่าอะไรเป็นสระ อะไรเป็นพยัญชนะ จะถือเอาเป็นเหตุผลเรื่องนี้มากล่าวหาว่าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ปลอมศิลาจารึกหลักที่หนึ่งนั้นออกจะมากไป

เขาทำเรื่องนี้กันเพื่ออะไร? นี่เป็นเรื่องที่คนไทยต้องหาคำตอบ! ก็ต้องบอกกันตรง ๆ ว่าเพื่อทำลายสายธารแห่งประวัติศาสตร์ของความเป็นชาติไทยนั่นเอง ความเป็นชาติเป็นเรื่องตกทอดมาแต่ประวัติศาสตร์ หากประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่ปลอมขึ้น ความเป็นชาติก็จะถูกกระทบกระเทือนได้โดยง่ายว่าไร้ที่มา

แล้วมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องแยกดินแดน จะไม่เกี่ยวกันเลยถ้าหากประวัติศาสตร์สุโขทัยไม่ได้ระบุว่าอาณาจักรไทยทางใต้มีขอบเขตตลอดแหลมมลายูและมะละกา

แนวรบทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมได้เปิดขึ้นแล้ว จึงขอเชิญชวนเพื่อนผองพี่น้องไทยที่มีความรู้ ความเข้าใจ ในประวัติศาสตร์วัฒนธรรมไทยเป็นอย่างดี ได้เข้าร่วมในแนวรบนี้อย่างพร้อมเพรียงกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น