xs
xsm
sm
md
lg

3 จังหวัดภาคใต้ในยุคที่คอมมิวนิสต์ยังมีชีวิต (2)

เผยแพร่:   โดย: ยอดธง ทับทิวไม้

ในสมัยที่โลกยังอึกทึกครึกโครมอยู่ด้วยคอมมิวนิสต์ ผมได้มีโอกาสท่องเที่ยวตุหรัดตุเหร่ไปในบ้านเมืองที่เต็มไปด้วยคอมมิวนิสต์ตั้งแต่เมืองไทยไปจนกระทั่งถึงแอฟริกา รัสเซีย และยุโรปตะวันออก ไม่น้อยกว่า 10 ปี ผมได้พบได้เห็นและได้รู้จักคอมมิวนิสต์ทั้งขนาดเล็กขนาดใหญ่ของโลกในรัสเซีย เมื่อผมเดินทางจากมอสโกไปเยี่ยมลูกสาวลูกชายที่ศึกษาอยู่ในอูเครน ผู้ที่ได้รับมอบหมายจากพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซีย ที่มอสโกได้มอบท่านรัฐมนตรีผู้หนึ่งซึ่งเป็นโปลิตบุโรคนหนึ่งของพรรคคอมมิวนิสต์เป็นเพื่อนร่วมทางและคอยดูแลผมทั้งไปและกลับ

ในเอเชียผมมีโอกาสได้เป็นมิตรสนิทของท่านเหงียนโคทัก รัฐมนตรีต่างประเทศของเวียดนามที่จับอาวุธสู้กับญี่ปุ่นมาตั้งแต่อายุ 17 ผมมีโอกาสพบปะสนทนาเป็นการส่วนตัวกับท่านผ่ามวันดง ผู้นำของเวียดนามด้วยเรื่องของบ้านเมือง และโลกคอมมิวนิสต์เช่นเดียวกับท่านไกรสอน พรหมวิหาร ท่านสุวรรณภูมา และ ท่านประธานาธิบดีภูมี วงศ์วิจิตร ที่ให้ความกรุณาผมอย่างลูกหลานที่แสวงหาความรู้และความจัดเจนในการเป็นคอมมิวนิสต์พอที่จะทำให้ผมรู้จักว่าคอมมิวนิสต์หรือการต่อสู้หรือปัญหาการเมืองของโลกที่ระอุดุเดือดมาจนถึงทุกวันนี้มันคืออะไร และมันจะต้องเป็นอย่างไร?

แม้แต่นักการทหารที่ให้การสั่งสอนอบรมแก่รัฐบุรุษชั้นนำของอเมริกาต้องหลาบจำไปชั่วชีวิตอย่าง ท่านโงเหวียนเกี๊ยบ ผมก็ยังเคยนั่งรับประทานกาแฟกับท่านด้วยการพบปะสนทนาเกี่ยวกับเรื่องของบ้านเมืองกันมากพอที่จะทำให้ผมเชื่อตัวเองได้ว่า ผมไม่มีโอกาสที่จะโง่อะไรนักหนาในเรื่องการเมืองและนักการเมืองของโลก เช่นเดียวกับ มาดามเหงียน ที บิณห์ รองประธานาธิบดีเวียดนามคนปัจจุบันที่ท่านมีหน้าที่เดินทางไปประชุมต่างประเทศ เพื่อเป็นตัวแทนของรัฐบาลเวียดนามที่ผมได้พบปะสนทนากับท่านมากอีกท่านหนึ่ง เรื่องที่เรานำมาพูดกันทั้งส่วนตัวและในที่ประชุมก็คือ ความเคลื่อนไหวของโลกและการเมืองระหว่างประเทศ

ผมไม่เคยเกิดความรู้สึกคลื่นเหียนใดๆ ในการที่ได้พบปะพบเห็นผู้คนเหล่านี้

นอกจากความรู้สึกเคารพและชื่นชมที่ยังติดความรู้สึกมาจนกระทั่งทุกวันนี้

สิ่งที่ผมอยากจะพูดและต้องพูดด้วยความสัตย์ความจริงก็คือ ผมได้พบนักรบนักต่อสู้ชั้นนำของโลกเหล่านี้โดยที่แต่ละคนหรือทุกคนนั้น ดูว่าเขาทุกคนช่างเป็นคนธรรมดาสามัญเอาจริงๆ ทุกคนเต็มไปด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นสุภาพบุรุษและมีความสะอาดใจอย่างที่ผมเองคาดไม่ถึง

ผมไม่เคยเห็นไม่เคยพบแม้แต่ท่านเดียวที่แสดงว่า ท่านเป็นอัจฉริยบุคคลที่ผ่านร้อนผ่านหนาวทางการเมืองของโลกมาแล้วอย่างโชกโชน คนพวกนี้ไม่เคยแสดงว่ามีความเก่งกล้าสามารถอย่างน่าหวาดกลัวเหมือนกับที่ผมได้สัมผัสกับรูปรสกลิ่นเสียงของมหาบุรุษต่างๆ ของไทยที่ผลัดกันขึ้นมากินบ้านกินเมืองสนุกสนานกันในแต่ละยุค ซึ่งส่วนมากจะพยายามสำแดงกฤษดาภินิหารอันบดบังมิได้ออกมาให้ตระหนกตกใจอย่างไม่คิดว่าจะเป็นไปได้เสมอ

ผมมักจะเกิดความรู้สึกสลดสังเวชพร้อมๆ ไปกับความรู้สึกคลื่นเหียนและปลงอนิจจังอย่างไม่มีทางแก้ไขอะไรได้ เพราะในความเป็นจริงแล้วอัจฉริยชนของเราที่เห็นอยู่นี้ ล้วนแต่ไม่มีประสบการณ์อย่างเพียงพอในกิจการการเมืองระหว่างประเทศ ส่วนมากจะเป็นเพียงพวกกบที่อยู่ในกะลาครอบทางการเมืองพวกหนึ่งเท่านั้น ทุกอย่างคิดเอาเองนึกเอาเอง และด้วยความโง่ต่อสถานการณ์ที่เรียกกันว่าพวกที่มีแต่ "ขี้กับไส้" อย่างที่ว่ากันนั่นเอง

เมื่อมีเหตุการณ์ก่อการร้ายขึ้นในภาคใต้จากกรณีการปล้นปืนเป็นเวลาครึ่งปีมาแล้ว ท่ามกลางความไม่รู้และความไม่เข้าใจของประชาชนคนไทยทั้งชาตินั้น ทางราชการหรืออัจฉริยชนของไทยได้ให้ความรู้ความเข้าใจแต่เพียงว่าเป็นเรื่องของ "คนไม่รักชาติ" หรือพวก "โจรกระจอก" หรือพวก "สัตว์นรก" หรือ "ผู้หลงผิด" เราให้ความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนทั้งประเทศได้เพียงเท่านั้น

ต่อจากนั้นก็เป็นเสียงเห่าหอนชื่นชมของบรรดาสมุนบริวารที่พยายามเพิ่มความหมายให้เหตุการณ์บ้านเมืองเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยถึงกับแสดงออกมาว่าจะเหยียบมึงเสียเมื่อไรก็ได้ ซึ่งมีคำพูดอันยิ่งใหญ่น่าสะพรึงกลัวที่ท่านเจงกิสข่านเคยพูดเมื่อตอนเข้ามาบุกแม่น้ำไทกริตในอิรักเมื่อหลายพันปีมาแล้ว ต้องจัดการกันแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน แต่ฟันบ้าๆ ที่ว่านั้นก็ไม่ได้เอาไปกัดอะไรนอกจากกัดลิ้นตัวเองเท่านั้น

ฆ่าต่อไป ยิงต่อไป วัด 50 กว่าวัด ไม่มีพระอยู่เป็นครั้งแรกของพุทธศาสนา เพราะผลของการบริหารการปกครองที่หลับหูหลับตา

ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรหรือใครเป็นใครก็ตาม แต่ในฐานะที่เป็นผู้มีบุญญาภินิหารอันบดบังมิได้นี้ ก็ทำกันได้เพียงอย่างเดียวคือ การพยายามมองและเข้าใจว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นป็นเพราะ 3 จังหวัดภาคใต้มีแต่คนเกิดมาไม่รักชาติทั้งหมด และเป็นพวกสัตว์นรกไปทั้งหมด มันเป็นการพูดที่แสดงถึงอภินิหารและบารมีอันบดบังมิได้ดังที่กล่าวแล้ว

เหตุการณ์ใน 3 จังหวัดภาคใต้กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้และจะเกิดขึ้นต่อไปอีกนานวันในอนาคตนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์และความโอหังเหิมเกริมที่ลดราวาศอกไม่ได้ของชนชั้นปกครองที่ได้บันดาลให้กระทำในสิ่งที่ไม่ควรทำลงไปชนิดที่จะไม่เพียงแต่คน 3 จังหวัดภาคใต้เท่านั้น แม้แต่คนไทยทั้งชาติก็จะไม่มีวันอภัยให้ได้ ถ้าเขารู้ความจริงว่าวันที่บุกเข้าไปสังหารหมู่ชาวมุสลิมในมัสยิดกรือเซะ เมื่อวันที่ 28 เมษายนนั้น เป็นวันฆ่าคนที่ไม่สู้และยอมจำนนแล้วทุกประการ

พรรคพวกของผมที่มีลูกน้องลูกหลานที่ถูกฆ่าด้วยทหารถืออาวุธสงครามวันนั้นยืนยันกับผมว่าคนตายทั้งหมดที่ถูกฆ่าในมัสยิดกรือเซะวันนี้ ได้ประกาศยอมแพ้หรือยอมจำนนแล้วตั้งแต่ 8 โมงเช้าของวันนั้น ไม่มีใครคิดสู้หรือไม่มีใครยอมสู้แม้แต่คนเดียว

แต่เพราะถือว่าเป็นผู้มีอำนาจเหนือประชาชน ก็สั่งระดมยิงเข้าไป

ดีว่าโลกทั้งโลกไม่รู้ความจริงนี้ ไม่งั้นชื่อเสียงของประเทศชาติและคนไทยก็จะถูกประณามหยามไปทั่วโลก โดยไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปซุกที่ไหน

ดีว่าพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ กลบเกลื่อนไว้ทัน โดยออกคำสั่งให้พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี ออกจากตำแหน่งหน้าที่ทันทีเพราะขัดคำสั่งและเดินทางกลับกรุงเทพฯ เสีย

รัฐบาลไทยไม่ได้ทำอะไรชั่วๆ ลงไป

นี่คือผลงานที่รัฐบาลไทยกระทำในกรณี 3 จังหวัดภาคใต้ที่มันทำให้ความแค้นของคนที่นั่นฝังลึกยิ่งขึ้นและยากที่จะลืมมันได้ เพราะการทำที่ไม่ยอมรับว่าคนที่นั่นเป็นคนไทยหรือเป็นศัตรูที่ไม่หวังดีต่อชาติไทย

3 จังหวัดภาคใต้ไม่ได้เกิดจากประชาชนที่ไม่รักชาติหรือพวกสัตว์นรก แต่มันเกิดจากพวกสัตว์นรกอีกพวกหนึ่งที่เป็นชนชั้นปกครองจะต้องแยกแยะออกมาพิจารณากันดังต่อไปนี้

1. ประชาชนใน 3 จังหวัดภาคใต้นั้น ไม่มีใครกี่คนที่รู้สึกว่าตนเป็นคนชาติอื่นหรือไม่ใช่คนชาติไทย 3 จังหวัดภาคใต้เป็นแผ่นดินที่เขาเกิดกันมา เขามีความรักและความหวงแหนและไม่คิดที่จะเปลี่ยนมันเป็นอย่างอื่น นอกจากเกิดกันที่นั่นและจะต้องมีลูกหลานอยู่ที่นั่นและจะต้องตายกันต่อไปที่นั่น

2. คนใน 3 จังหวัดภาคใต้ มีส่วนหนึ่งที่เป็นคนเชื้อสายมลายูที่นับถือศาสนาอิสลาม แต่ไม่ได้ทำให้คนเหล่านี้มีความแตกต่างไปจากคนไทยอื่นๆ ใน 3 จังหวัดนั้น นอกจากความเชื่อถือศรัทธาในศาสนาของตนที่ไม่สร้างเวรสร้างกรรมและไม่เป็นการเบียดเบียดผู้อื่นเหมือนกะเหรี่ยง แม้ว เย้า ลาว และเขมร ในภาคอีสานและที่มีอยู่ในภาคอื่นๆ ของประเทศที่อยู่ในแผ่นดินไทยด้วยกัน

3. เมื่อฝ่ายไทยขยายอาณาเขตลงไปทางใต้จนสามารถยึดครองอาณาจักรปัตตานีได้ ทุกอย่างก็ดำเนินต่อไปตามลักษณะของประวัติศาสตร์และสามารถอยู่ร่วมกันต่อมาได้จนเป็นชนชาติเดียวกันมาเป็นเวลานานปี จนกระทั่งมาถึงสมัยที่ชนชั้นปกครองของไทยเกิดมองเห็นพวกเขาไม่ใช่เจ้าของประเทศขึ้นมาจนทำให้เกิดการกินแหนงแคลงใจกันจนถึงกับมองไปว่ามีชาวมุสลิมบางคนบางกลุ่มคิดจะแบ่งแยกดินแดน 3 จังหวัดภาคใต้ออกเป็นประเทศหนึ่งอีกต่างหาก จนมีเรื่องที่น่าสลดมาตลอด

4. หลังจากการสิ้นสุดของระบบเผด็จการยุคแรก 3 จังหวัดภาคใต้มีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงหลายประการ ในขณะที่ประชาชนในแหลมมลายูต่อสู้เพื่อเอกราชจากอังกฤษ 3 จังหวัดภาคใต้ก็อาจจะมีความรู้สึกในเรื่องเชื้อชาติของตัวเอง แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทุกคนยังทำมาหากินไปตามมีตามเกิดเหมือนที่เคยเป็นมา แต่ในไม่ช้าการระบาดของพรรคคอมมิวนิสต์มลายูก็ขยายตัวเข้ามาพร้อมกับความตื่นตัวทางการเมืองทุกด้าน 3 จังหวัดภาคใต้ก็อยู่อย่างสงบตามปกติ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นอกจากบุคคลบางพวกบางคน ที่มีความรู้สึกทางด้านการเมืองและเฉพาะอย่างยิ่งความเป็นธรรมในการมีชีวิตและศักดิ์ศรีขึ้นมาบ้าง พร้อมกับพรรคคอมมิวนิสต์ไทย คอมมิวนิสต์จีน คอมมิวนิสต์มลายูได้ขยายตัวเข้ามาใน 3 จังหวัดอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่ไม่เคยปรากฏว่ามีชาวมลายูคนใดใน 3 จังหวัดถูกกล่าวหาหรือถูกยืนยันว่าเป็นคอมมิวนิสต์หรือฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ แต่แน่นอนที่สุดก็คือว่าทุกคนรู้จักกับคอมมิวนิสต์และไม่เคยเป็นปฏิปักษ์กับคอมมิวนิสต์พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือคอมมิวนิสต์ในทุกอย่างเท่าที่จะช่วยได้

เพราะการตื่นตัวทางการเมืองของประชาชนใน 3 จังหวัดภาคใต้ที่เริ่มเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งสุดท้าย พร้อมกับที่พรรคคอมมิวนิสต์ไทยและพรรคคอมมิวนิสต์จีน พรรคคอมมิวนิสต์มลายูแพร่เข้ามาในหลายจังหวัดภาคใต้ของไทยตั้งแต่จังหวัดพัทลุงมาจนถึงสงขลาและชายแดนไทยที่ปาดังเบซาร์ ชาวมุสลิมส่วนใหญ่จะเป็นคอมมิวนิสต์หรือเป็นผู้สนับสนุนคอมมิวนิสต์ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ที่ตำบลคลองเฉลิมหรือในท้องที่อำเภอกงหราที่เป็นฐานใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์ที่นั่นแห่งหนึ่งในจังหวัดพัทลุง หัวหน้ากลุ่มคอมมิวนิสต์เป็นผู้หญิงและเป็นเด็กสาวเป็นคนพาผมไปดูความเป็นอยู่และการทำงานของคอมมิวนิสต์ที่นั่นก็เป็นมุสลิม เมื่อจะเข้าไปพบพวกคอมมิวนิสต์ตามที่นัดหมายที่ใด ชาวบ้านที่คุ้นเคยกับคอมมิวนิสต์จะเป็นผู้นำไป ริมทางที่เป็นป่าเป็นทางเดินเล็กๆ จะมีเด็กอายุประมาณ 5 ขวบถึง 7 ขวบเดินดูต้นทางให้ คอมมิวนิสต์กับชาวบ้านดูอยู่กันอย่างเป็นสุข

แต่สิ่งหนึ่งที่คนมุสลิมเหล่านี้ทุกคนจะไม่พูดอะไรและไม่เคยบอกกล่าวหรือเที่ยวชี้โบ๊ชี้เบ๊กล่าวหาใครว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ไม่ว่าจะต่อทางราชการหรือบุคคลทั่วไป

หลายสิบปีที่คนใน 3 จังหวัดสี่จังหวัดภาคใต้อยู่กันมากับคอมมิวนิสต์หลายชาติต่างก็สุขสันต์หรรษากันอย่างดี ทั้งๆ ที่หน้าที่จะต้องฆ่ากันและสร้างความเดือดร้อนให้กันหรือทำตัวเป็นพวก "สัตว์นรก" ด้วยกันอย่างทุกวันนี้ แต่ก็ไม่เป็น

เช่นเดียวกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในภาคใต้อย่างที่เรียกกันว่าเป็นการกระทำของ "สัตว์นรก" ที่ว่านี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีคนมุสลิมคนไหนรู้ว่าอะไรเป็นอะไรหรือใครเป็นใคร แต่คนเหล่านี้จะไม่มีวันพูดและพูดไม่ได้ เพราะถ้าใครขืนพูดก็หมายถึงอันตรายที่จะเกิดในชีวิตและครอบครัว ตายสถานเดียว

เหตุการณ์กำลังเกิดขึ้นใน 3 จังหวัดภาคใต้นั้น มันเนื่องมาจากว่า

1. ชนชั้นปกครองของไทยทุกยุคจะทอดทิ้งคนมุสลิมใน 3 จังหวัดภาคใต้ในทุกกรณี ไม่ส่งเสริม ไม่ว่าจะเป็นอาชีพหรือการศึกษาซึ่งเป็นความจำเป็น ก่อนอื่นรัฐบาลไทยจะไม่ให้อะไรหรือไม่ยอมรับรู้อะไรนอกจากการแสดงออกซึ่งเป็นการดูถูกเหยียดหยามไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

เจ้าบ้านผ่านเมืองไทยทุกยุคไม่ยอมเข้าใจความเป็นอยู่และวิถีชีวิตของคนมุสลิมที่นั่น

2. ในสมัยที่ผมยังอยู่ที่นราธิวาสและปัตตานีในสมัยหนุ่มๆ และในสมัยที่คอมมิวนิสต์รุ่งเรือง ปรากฏว่าในตลาดสดนราธิวาสไม่มีคนมุสลิมคนไหนพูดภาษาไทยได้หรือที่พูดได้มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ผมพบ เพราะรัฐบาลไทยไม่สนใจที่จะถือว่าเป็นคนไทยและไม่ให้มีการศึกษาในฐานะที่เขาคือพลเมืองของชาติหรือทรัพย์สินของชาติและปล่อยไว้ให้เป็นเช่นนั้นมาตลอดเวลาไม่น้อยกว่า 60 ปีที่ผ่านมา ลูกหลานชาวมุสลิมเหล่านี้จึงจะต้องพึงตัวเองคือศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเอง พ่อแม่ที่มีฐานะดีจะส่งลูกหลานไปเรียนในประเทศมุสลิมกันทุกประเทศ

การที่คนเหล่านี้ต้องมาเป็นลูกมือ CIA เพื่อปล้นปืนและฆ่าพระเล่นอยู่ใน 3 จังหวัดภาคใต้ทุกวันนี้ ก็เพราะไม่มีทางเลือกทางอื่น เลือกการดำเนินชีวิตวิธีนี้อย่างน้อยก็ยังได้เงินได้เบี้ยเลี้ยงหรือรู้สึกว่าตนเองมีความสำคัญขึ้นมาบ้างในฐานะที่เกิดมาเป็นคน

ดีกว่าอยู่เฉยๆ เท่านั้นเอง!!
กำลังโหลดความคิดเห็น