ปมสังหารแกนนำคัดค้านโรงไฟฟ้าบ่อนอก-หินกรูด ซึ่งเกิดขึ้นหลังการเรียกร้องให้สภาฯ เข้ามาตรวจสอบกรณีปัญหาที่ดินสาธารณประโยชน์นั้น มีเรื่องราวซับซ้อนซ่อนเงื่อนที่เกี่ยวพันโยงใยหลายประเด็น
ถ้าหากพิจารณาให้ลึกลงไปจะพบว่า การเรียกร้องให้เข้ามาตรวจสอบ ปัญหาที่ดินสาธารณประโยชน์ มีส่วนโยงไปถึงโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ "เจริญ วัดอักษร" ยังไม่วางใจว่าจะไม่เกิดขึ้นที่บ่อนอกแม้รัฐบาลจะ สั่งยกเลิกโครงการทั้งสองแห่ง และให้ย้ายไปพื้นที่อื่นแล้วก็ตาม ทั้งนี้ เพราะ แผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า ปี 2547-2558 หรือ PDP 2004 ยังมีโครงการ โรงไฟฟ้าใหม่ใน "พื้นที่ภาคกลางตอนล่าง" ปรากฏอยู่ในแผนพัฒนาฯ
ความกังวลนี้ ทำให้กลุ่มชาวบ้านบ่อนอก ยกขบวนมาทวงถามความ ชัดเจนจาก ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ประธานบอร์ดการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เมื่อต้นเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา พร้อมๆ กับการเดินหน้าทุกวิถีทางเพื่อสกัดการออกโฉนดที่ดินในที่สาธารณประโยชน์ (ที่สงวนเลี้ยงสัตว์คลองชายธง) เพื่อปิดหนทางโรงไฟฟ้าใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
ในเรื่องโรงไฟฟ้าใหม่ ชาวบ่อนอกได้รับคำยืนยันหนักแน่นจากปากของประธานบอร์ดการไฟฟ้าฯ ว่าในระยะอันใกล้นี้จะไม่มีโรงไฟฟ้าใหม่เกิด ขึ้นที่ประจวบฯ แต่ไม่กล้ารับประกันว่าอนาคตจะมีหรือไม่
ด้วยเหตุนี้ เจริญ วัดอักษร พร้อมกับ ฉอย ตันติวรธรรม กำนันตำบล บ่อนอก ในฐานะตัวแทนประชาชนตำบลบ่อนอก จึงเข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนฯ และคณะกรรมการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ วุฒิสภา ขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ราชการของเจ้าหน้าที่ที่ดินจังหวัดประจวบ-คีรีขันธ์ เนื่องจากสงสัยในพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ที่ดินว่าอาจประพฤติมิชอบ ใช้อำนาจไปในทางทุจริต (อ่านรายละเอียดในล้อมกรอบ)
"เจริญ บอกว่ามีหนทางเดียวที่จะสกัดไม่ให้โรงไฟฟ้าเกิด ชนิดตอกฝาโลงเลยก็คือ ต้องไม่ให้มีการขอเช่าหรือออกโฉนดที่ดินสาธารณะคลองชายธง ทำเลที่เหมาะสมที่สุดในการสร้างท่าเรือน้ำลึกและติดตั้งอุปกรณ์ขน ถ่ายถ่านหิน ป้อนโรงไฟฟ้า" แหล่งข่าวที่ใกล้ชิด เจริญ วัดอักษร ถ่ายทอดเรื่องราวเบื้องหลังการเดินหน้ายื่นเรื่องให้สภาฯเข้าตรวจสอบการออกโฉนดที่ดินสาธารณะ
ที่ดินสาธารณประโยชน์ (ที่สงวนเลี้ยงสัตว์คลองชายธง) เป็นที่ดินติดชายทะเล มีพื้นที่ทั้งหมด 931-3-50 ไร่ มีความเหมาะสมต่อโครงการโรง ไฟฟ้าอย่างมาก และที่ดินผืนดังกล่าวนี้ สภาตำบลบ่อนอก ในสมัยที่นายเจือ หินแก้ว เป็นประธานสภาฯ เมื่อปี 2538 ที่ผ่านมา มีมติให้บริษัทกัลฟ์ อิเลคตริค จำกัด เช่าเป็นเวลา 50 ปี เพื่อใช้ประโยชน์เป็นที่ก่อสร้างท่าเทียบ เรือน้ำลึกและติดตั้งเครื่องจักรอุปกรณ์ในการขนถ่ายถ่านหิน, ใช้เป็นลานกอง เก็บถ่านหิน, ใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างโรงงานแปรสภาพน้ำ
ต่อมา คณะกรรมการจังหวัด อนุญาตให้บริษัทฯ เช่าเป็นเวลา 5 ปี ตั้งแต่ก.ย. 39-29 ก.ย. 44 เพื่อใช้เป็นที่พื้นที่วางสายพานลำเลียงถ่านหินและวางท่อระบายความร้อน
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดโครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอกของกัลฟ์ก็ถูกรัฐบาลสั่งระงับและเปลี่ยนจุดก่อสร้างใหม่ไปที่สระบุรี
เรื่องทั้งหมดก็ควรจะจบลงพร้อมๆ กับคำสั่งของรัฐบาล แต่ด้วยแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าที่คลุมเครือ บวกกับความเติบโตทางเศรษฐกิจที่โยงมาถึงการสำรองไฟฟ้าที่จะต้องมีเพียงพอตามการเติบโต รวมไปถึงประเด็นเรื่องการกระจายเชื้อเพลิงโรงไฟฟ้า ที่จะต้องกระจายความเสี่ยงออก ไป จากปัจจุบันที่โรงไฟฟ้าพึ่งก๊าซเป็นเชื้อเพลิงถึง 70-80% ทำให้แกนนำคนสำคัญของบ่อนอกกังวลลึกๆ อยู่ตลอดเวลาว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินจะหวนกลับมายังบ้านเกิดเขาอีกครั้ง
ดังนั้น แม้โรงไฟฟ้าบ่อนอกของกัลฟ์จะจบ แต่ภารกิจของ "เจริญ" กลับยังไม่จบ ยิ่งเมื่อกลุ่มคนในพื้นที่มีความพยายามขอออกโฉนดในที่ดินสาธารณ ประโยชน์ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นทำเลทองเนื่องจากอยู่ใกล้ทะเลเหมาะสำหรับสร้างโรงไฟฟ้า เขาจึงเดินหน้าขัดขวางทุกวิถีทาง เพราะเป็นห่วงว่าหาก ที่ดินผืนดังกล่าวขอออกโฉนดได้ วันข้างหน้าอาจตกไปอยู่ในมือของกลุ่มนายทุนและโรงไฟฟ้าในอนาคต
การรุกครั้งใหม่ของแกนนำชาวบ่อนอกในกรณีที่ดิน จึงส่งผลสะเทือน ต่อกลุ่มนายทุน นายหน้าค้าที่ดิน ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น และโยงใยไปถึงกลุ่มข้าราชการเจ้าหน้าที่ที่ดินในจังหวัดประจวบฯ ที่กำลังเตรียมออกโฉนดให้กับผู้ร้องขอ และเป็นเสมือนการเข้าไปขัดขวางผลประโยชน์ของกลุ่มอิทธิพลในท้องถิ่นไม่จบสิ้น
และถ้าจะว่าไปแล้วก็เป็นกลุ่มนายทุน ผู้มีอิทธิพล ก็กลุ่มคนหน้าเดิมที่มีผลประโยชน์มาตั้งแต่คราวรวบรวมที่ดินขายให้กับโรงไฟฟ้าถ่านหินของกัลฟ์ ต่อมาเมื่อโรงไฟฟ้าเกิดไม่ได้ ดอกผลที่คาดหวังว่าจะได้อย่างน้อยๆ ก็กองทุนโรงไฟฟ้าบ่อนอก ที่จะมีเม็ดเงินร้อยกว่าล้านก็สูญสลายไป
การรุกครั้งนี้ กำนันฉอย กับ เจริญ เดินหน้า "ชี้เป้า" อย่างชัดเจน และเป็นการเคลื่อนไหวภายใต้สถานการณ์ที่มวลชนที่จะเป็นเกราะคุ้มกันลดน้อยถอยลงกว่าคราวค้านโรงไฟฟ้าที่มีมวลชนเข้าร่วมและได้รับความสนใจจากสาธารณชนมากกว่า
เจริญ วัดอักษร จึงถึงจุดจบด้วยมือสังหารที่ชาวบ้านเชื่อกันว่ากลุ่มอิทธิพลท้องถิ่นออเดอร์เข้ามาจัดการโดยไม่สนใจว่าจะใช้วิธีการรุนแรงเพียงใด ขอเพียงหยุดยั้งศัตรูคู่แค้นได้เท่านั้นเป็นพอ n
ชีวิตนักสู้แห่งบ่อนอก
เจริญ วัดอักษร เป็นคนประจวบคีรีขันธ์โดยกำเนิด เกิดเมื่อวันที่ 21 ก.ค. 2510 อายุ 37 ปี เป็นบุตรคนที่ 8 ของนายชั้น และนางวิเชียร วัดอักษร เรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 และกำลังศึกษาต่อระดับปริญญาตรี คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันราชภัฏเพชรบุรี
ในปี 2538 เริ่มเข้ามาคัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน จ.ประจวบฯ จนถูกขู่ฆ่าหลายครั้ง กระทั่งการคัดค้านของชาวบ้านประสบผลสำเร็จ รัฐบาลมีคำสั่งให้ย้ายโรงไฟฟ้าออกจากพื้นที่
"เจริญ เป็นคนที่มีเพื่อนฝูงมาก ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่น การพนัน และไม่ใช่นักเลง เคยเตือนเขาหลายครั้งว่าถ้าทำตรงนี้ก็ ต้องมีวันนี้เพราะมีตัวอย่างให้เห็น แต่เขาไม่ยอมถอย" พระครูวิชิตพัฒนวิธาน เจ้าอาวาสวัดสี่แยกบ่อนอก พี่ชายของเจริญ ให้ข้อมูล
จากความสำเร็จในการคัดค้านโรงไฟฟ้า เจริญ ได้รับเชิญให้เป็น วิทยากรเพื่อให้ความรู้ ถ่ายทอดประสบการณ์แก่ชาวบ้านทั่วประเทศ และได้รับปริญญาเอกกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ที่มีอ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ เป็นอธิการบดี
เจริญ มีอาชีพค้าขายและธุรกิจบริการ มีร้านอาหาร ที่พักแบบชนบทอยู่ชายทะเลต.บ่อนอก ชื่อร้านครัวชมวาฬ เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวทั้งในท้องถิ่นและคนเมือง
ร้องเรียนวุฒิสอบที่ดินสาธาณะ
21 มิ.ย.ที่ผ่านมา นายฉอย ตันติวรธรรม กำนันต.บ่อนอก พร้อมด้วย เจริญ วัดอักษร ตัวแทนชาวบ้านบ่อนอก ได้ยื่นหนังสือต่อน.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ประธานกรรมาธิการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ขอให้ตรวจ สอบการปฏิบัติหน้าที่ราชการของเจ้าหน้าที่ที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พร้อมกับส่งสำเนาหนังสือสำคัญที่หลวงเลขที่ 3775/2514 จำนวน 1 ฉบับมาด้วย
เนื้อหาในหนังสือร้องเรียน ระบุว่า ราษฎรในตำบลบ่อนอก มีความสงสัยในพฤติกรรมการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ว่าอาจประพฤติมิชอบ โดยใช้อำนาจหน้าที่ไปในทางไม่สุจริต ซึ่งจะเรียนชี้แจง โดยย่อ ดังนี้
1. นายเผื่อน วรรณวงษา (บุตร) ผู้จัดการมรดกของนายบุญ วรรณ-วงษา (บิดา) ได้ยื่นขอออกโฉนดที่ดินแปลงหนึ่ง ซึ่งอยู่ในที่ดินสาธารณ-ประโยชน์ (ทุ่งเลี้ยงสัตว์คลองชายธง) ตั้งอยู่หมู่ที่ 6 ตำบลบ่อนอก อำเภอเมืองฯ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยอ้างกรรมสิทธิ์ของบิดาเป็นส.ค. 1 หมาย เลข 16 จำนวนเนื้อที่ 6 ไร่เศษ
2. นายอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ในขณะนั้นได้แต่งตั้งนายฉอย ตันติ-วรธรรม กำนันตำบลบ่อนอก เป็นกรรมการชี้แนวเขต ซึ่งนายฉอย ตันติวร-ธรรมได้คัดค้าน เพราะเห็นว่าที่ดินดังกล่าวอยู่ในที่ดินสาธารณประโยชน์ ตาม หนังสือสำคัญที่หลวงที่ นสล. 3775/2514
3. ต่อมาได้มีการเตรียมจะแจกโฉนดให้แก่นายเผื่อน วรรณวงษา จำนวน 53 ไร่เศษ ซึ่งนายฉอย ตันติวรธรรม กำนันตำบลบ่อนอกได้คัดค้าน อีกครั้งพร้อมทั้งแจ้งความดำเนินคดีแก่ผู้เกี่ยวข้อง
4. เรื่องทั้งหมดถูกนำเข้าพิจารณาในคณะกรรมการป้องกันการบุกรุก ที่ดินของรัฐจังหวัด (กบร.จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) และมีคำสั่งเพิกถอน ส.ค. 1 ฉบับดังกล่าว ปรากฏรายละเอียดดังนี้
4.1 ที่ดินแปลงดังกล่าว ได้ถูกประกาศเป็นที่หวงห้าม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2474 ประกาศเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ ตั้งแต่ปี 2481 ได้ขึ้นทะเบียนเป็น ที่ดินหลวง ตั้งแต่พ.ศ. 2514
4.2 นายเผื่อน วรรณวงษา ได้ใช้หลักฐาน ส.ค. 1 หมายเลข 16 ออกให้ ณ ปีพ.ศ. 2496 เนื้อที่ 6 ไร่ เป็นหลักฐานขอออกโฉนดที่ดิน ซึ่งส.ค. 1 ได้มาภายหลังการประกาศให้ที่ดินดังกล่าวเป็นที่หวงห้ามเป็นเวลาถึง 22 ปี
ข้อสงสัยของประชาชนที่เห็นว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐอาจประพฤติมิชอบก็คือ
1. เจ้าหน้าที่ที่ดินจังหวัด ไม่ได้ตรวจสอบหลักฐานต่างๆ ก่อนดำเนินการเพื่อออกโฉนดหรือ
2. หากเจ้าหน้าที่ที่ดิน ไม่ได้ตรวจสอบหลักฐาน ในเมื่อกำนันตำบลบ่อ นอก ได้ทำการคัดค้านตั้งแต่การรังวัดที่ดินครั้งแรก ทำไมเจ้าหน้าที่จึงยังไม่ ทำการตรวจสอบหลักฐานใหม่ แต่กลับพยายามออกโฉนดให้แก่นายเผื่อน วรรณวงษา เป็นเนื้อที่ถึง 53 ไร่เศษ ทั้งๆ ที่ ส.ค. 1 ของนายเผื่อน วรรณ- วงษา แสดงหลักฐานเพียง 6 ไร่
3. บัดนี้ กบร.จังหวัดได้มีมติยกเลิกส.ค. 1 ฉบับดังกล่าว แสดงว่าส.ค. 1 ฉบับนี้ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานแสดงสิทธิครอบครองที่ดินนั้นได้ เจ้าหน้าที่ ที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จะมีความผิดหรือไม่ อย่างไร
จึงเรียนมายังท่านประธานกรรมาธิการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้กรุณารับเรื่องนี้ไปดำเนินการ เพื่อความเป็นธรรมและความเสมอภาคของประชาชนต่อไป และในประเด็นดังกล่าวนี้ ได้นำเรียนเสนอต่อ ประธานกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการไว้ด้วยแล้ว
อนึ่ง ในที่ดินสาธารณประโยชน์แปลงนี้ทั้งหมดมีเนื้อที่ 931 ไร่ 3 งาน 50 ตารางวา ปัจจุบันมีกลุ่มนายทุนและผู้มีอิทธิพล ตลอดจนเจ้าหน้าที่ของรัฐได้เข้ามาบุกรุกครอบครองทำประโยชน์ส่วนตัว โดยผิดกฎหมาย จนไม่เหลือชื่อว่าที่ดินสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนจะได้อาศัยไว้ใช้ร่วมกันได้อีกต่อไป หากประชาชนจะได้อาศัยเดินทางไปสู่ชายทะเล เพื่อทำมาหากินตามฤดูกาล ก็ไม่สามารถกระทำได้ เพราะกลุ่มบุคคลที่บุกรุกครอบครองเหล่านี้ จะเสือกไสไล่ส่งและหวงห้ามมิให้เดินผ่านที่ดินที่เขาเข้ามาบุกรุกครอบครองอยู่ เป็นที่น่าหวาดกลัวและอนาถใจเป็นอย่างยิ่ง
ถ้าหากพิจารณาให้ลึกลงไปจะพบว่า การเรียกร้องให้เข้ามาตรวจสอบ ปัญหาที่ดินสาธารณประโยชน์ มีส่วนโยงไปถึงโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ "เจริญ วัดอักษร" ยังไม่วางใจว่าจะไม่เกิดขึ้นที่บ่อนอกแม้รัฐบาลจะ สั่งยกเลิกโครงการทั้งสองแห่ง และให้ย้ายไปพื้นที่อื่นแล้วก็ตาม ทั้งนี้ เพราะ แผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า ปี 2547-2558 หรือ PDP 2004 ยังมีโครงการ โรงไฟฟ้าใหม่ใน "พื้นที่ภาคกลางตอนล่าง" ปรากฏอยู่ในแผนพัฒนาฯ
ความกังวลนี้ ทำให้กลุ่มชาวบ้านบ่อนอก ยกขบวนมาทวงถามความ ชัดเจนจาก ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ประธานบอร์ดการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เมื่อต้นเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา พร้อมๆ กับการเดินหน้าทุกวิถีทางเพื่อสกัดการออกโฉนดที่ดินในที่สาธารณประโยชน์ (ที่สงวนเลี้ยงสัตว์คลองชายธง) เพื่อปิดหนทางโรงไฟฟ้าใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
ในเรื่องโรงไฟฟ้าใหม่ ชาวบ่อนอกได้รับคำยืนยันหนักแน่นจากปากของประธานบอร์ดการไฟฟ้าฯ ว่าในระยะอันใกล้นี้จะไม่มีโรงไฟฟ้าใหม่เกิด ขึ้นที่ประจวบฯ แต่ไม่กล้ารับประกันว่าอนาคตจะมีหรือไม่
ด้วยเหตุนี้ เจริญ วัดอักษร พร้อมกับ ฉอย ตันติวรธรรม กำนันตำบล บ่อนอก ในฐานะตัวแทนประชาชนตำบลบ่อนอก จึงเข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนฯ และคณะกรรมการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ วุฒิสภา ขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ราชการของเจ้าหน้าที่ที่ดินจังหวัดประจวบ-คีรีขันธ์ เนื่องจากสงสัยในพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ที่ดินว่าอาจประพฤติมิชอบ ใช้อำนาจไปในทางทุจริต (อ่านรายละเอียดในล้อมกรอบ)
"เจริญ บอกว่ามีหนทางเดียวที่จะสกัดไม่ให้โรงไฟฟ้าเกิด ชนิดตอกฝาโลงเลยก็คือ ต้องไม่ให้มีการขอเช่าหรือออกโฉนดที่ดินสาธารณะคลองชายธง ทำเลที่เหมาะสมที่สุดในการสร้างท่าเรือน้ำลึกและติดตั้งอุปกรณ์ขน ถ่ายถ่านหิน ป้อนโรงไฟฟ้า" แหล่งข่าวที่ใกล้ชิด เจริญ วัดอักษร ถ่ายทอดเรื่องราวเบื้องหลังการเดินหน้ายื่นเรื่องให้สภาฯเข้าตรวจสอบการออกโฉนดที่ดินสาธารณะ
ที่ดินสาธารณประโยชน์ (ที่สงวนเลี้ยงสัตว์คลองชายธง) เป็นที่ดินติดชายทะเล มีพื้นที่ทั้งหมด 931-3-50 ไร่ มีความเหมาะสมต่อโครงการโรง ไฟฟ้าอย่างมาก และที่ดินผืนดังกล่าวนี้ สภาตำบลบ่อนอก ในสมัยที่นายเจือ หินแก้ว เป็นประธานสภาฯ เมื่อปี 2538 ที่ผ่านมา มีมติให้บริษัทกัลฟ์ อิเลคตริค จำกัด เช่าเป็นเวลา 50 ปี เพื่อใช้ประโยชน์เป็นที่ก่อสร้างท่าเทียบ เรือน้ำลึกและติดตั้งเครื่องจักรอุปกรณ์ในการขนถ่ายถ่านหิน, ใช้เป็นลานกอง เก็บถ่านหิน, ใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างโรงงานแปรสภาพน้ำ
ต่อมา คณะกรรมการจังหวัด อนุญาตให้บริษัทฯ เช่าเป็นเวลา 5 ปี ตั้งแต่ก.ย. 39-29 ก.ย. 44 เพื่อใช้เป็นที่พื้นที่วางสายพานลำเลียงถ่านหินและวางท่อระบายความร้อน
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดโครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอกของกัลฟ์ก็ถูกรัฐบาลสั่งระงับและเปลี่ยนจุดก่อสร้างใหม่ไปที่สระบุรี
เรื่องทั้งหมดก็ควรจะจบลงพร้อมๆ กับคำสั่งของรัฐบาล แต่ด้วยแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าที่คลุมเครือ บวกกับความเติบโตทางเศรษฐกิจที่โยงมาถึงการสำรองไฟฟ้าที่จะต้องมีเพียงพอตามการเติบโต รวมไปถึงประเด็นเรื่องการกระจายเชื้อเพลิงโรงไฟฟ้า ที่จะต้องกระจายความเสี่ยงออก ไป จากปัจจุบันที่โรงไฟฟ้าพึ่งก๊าซเป็นเชื้อเพลิงถึง 70-80% ทำให้แกนนำคนสำคัญของบ่อนอกกังวลลึกๆ อยู่ตลอดเวลาว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินจะหวนกลับมายังบ้านเกิดเขาอีกครั้ง
ดังนั้น แม้โรงไฟฟ้าบ่อนอกของกัลฟ์จะจบ แต่ภารกิจของ "เจริญ" กลับยังไม่จบ ยิ่งเมื่อกลุ่มคนในพื้นที่มีความพยายามขอออกโฉนดในที่ดินสาธารณ ประโยชน์ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นทำเลทองเนื่องจากอยู่ใกล้ทะเลเหมาะสำหรับสร้างโรงไฟฟ้า เขาจึงเดินหน้าขัดขวางทุกวิถีทาง เพราะเป็นห่วงว่าหาก ที่ดินผืนดังกล่าวขอออกโฉนดได้ วันข้างหน้าอาจตกไปอยู่ในมือของกลุ่มนายทุนและโรงไฟฟ้าในอนาคต
การรุกครั้งใหม่ของแกนนำชาวบ่อนอกในกรณีที่ดิน จึงส่งผลสะเทือน ต่อกลุ่มนายทุน นายหน้าค้าที่ดิน ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น และโยงใยไปถึงกลุ่มข้าราชการเจ้าหน้าที่ที่ดินในจังหวัดประจวบฯ ที่กำลังเตรียมออกโฉนดให้กับผู้ร้องขอ และเป็นเสมือนการเข้าไปขัดขวางผลประโยชน์ของกลุ่มอิทธิพลในท้องถิ่นไม่จบสิ้น
และถ้าจะว่าไปแล้วก็เป็นกลุ่มนายทุน ผู้มีอิทธิพล ก็กลุ่มคนหน้าเดิมที่มีผลประโยชน์มาตั้งแต่คราวรวบรวมที่ดินขายให้กับโรงไฟฟ้าถ่านหินของกัลฟ์ ต่อมาเมื่อโรงไฟฟ้าเกิดไม่ได้ ดอกผลที่คาดหวังว่าจะได้อย่างน้อยๆ ก็กองทุนโรงไฟฟ้าบ่อนอก ที่จะมีเม็ดเงินร้อยกว่าล้านก็สูญสลายไป
การรุกครั้งนี้ กำนันฉอย กับ เจริญ เดินหน้า "ชี้เป้า" อย่างชัดเจน และเป็นการเคลื่อนไหวภายใต้สถานการณ์ที่มวลชนที่จะเป็นเกราะคุ้มกันลดน้อยถอยลงกว่าคราวค้านโรงไฟฟ้าที่มีมวลชนเข้าร่วมและได้รับความสนใจจากสาธารณชนมากกว่า
เจริญ วัดอักษร จึงถึงจุดจบด้วยมือสังหารที่ชาวบ้านเชื่อกันว่ากลุ่มอิทธิพลท้องถิ่นออเดอร์เข้ามาจัดการโดยไม่สนใจว่าจะใช้วิธีการรุนแรงเพียงใด ขอเพียงหยุดยั้งศัตรูคู่แค้นได้เท่านั้นเป็นพอ n
ชีวิตนักสู้แห่งบ่อนอก
เจริญ วัดอักษร เป็นคนประจวบคีรีขันธ์โดยกำเนิด เกิดเมื่อวันที่ 21 ก.ค. 2510 อายุ 37 ปี เป็นบุตรคนที่ 8 ของนายชั้น และนางวิเชียร วัดอักษร เรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 และกำลังศึกษาต่อระดับปริญญาตรี คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันราชภัฏเพชรบุรี
ในปี 2538 เริ่มเข้ามาคัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน จ.ประจวบฯ จนถูกขู่ฆ่าหลายครั้ง กระทั่งการคัดค้านของชาวบ้านประสบผลสำเร็จ รัฐบาลมีคำสั่งให้ย้ายโรงไฟฟ้าออกจากพื้นที่
"เจริญ เป็นคนที่มีเพื่อนฝูงมาก ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่น การพนัน และไม่ใช่นักเลง เคยเตือนเขาหลายครั้งว่าถ้าทำตรงนี้ก็ ต้องมีวันนี้เพราะมีตัวอย่างให้เห็น แต่เขาไม่ยอมถอย" พระครูวิชิตพัฒนวิธาน เจ้าอาวาสวัดสี่แยกบ่อนอก พี่ชายของเจริญ ให้ข้อมูล
จากความสำเร็จในการคัดค้านโรงไฟฟ้า เจริญ ได้รับเชิญให้เป็น วิทยากรเพื่อให้ความรู้ ถ่ายทอดประสบการณ์แก่ชาวบ้านทั่วประเทศ และได้รับปริญญาเอกกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ที่มีอ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ เป็นอธิการบดี
เจริญ มีอาชีพค้าขายและธุรกิจบริการ มีร้านอาหาร ที่พักแบบชนบทอยู่ชายทะเลต.บ่อนอก ชื่อร้านครัวชมวาฬ เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวทั้งในท้องถิ่นและคนเมือง
ร้องเรียนวุฒิสอบที่ดินสาธาณะ
21 มิ.ย.ที่ผ่านมา นายฉอย ตันติวรธรรม กำนันต.บ่อนอก พร้อมด้วย เจริญ วัดอักษร ตัวแทนชาวบ้านบ่อนอก ได้ยื่นหนังสือต่อน.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ประธานกรรมาธิการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ขอให้ตรวจ สอบการปฏิบัติหน้าที่ราชการของเจ้าหน้าที่ที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พร้อมกับส่งสำเนาหนังสือสำคัญที่หลวงเลขที่ 3775/2514 จำนวน 1 ฉบับมาด้วย
เนื้อหาในหนังสือร้องเรียน ระบุว่า ราษฎรในตำบลบ่อนอก มีความสงสัยในพฤติกรรมการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ว่าอาจประพฤติมิชอบ โดยใช้อำนาจหน้าที่ไปในทางไม่สุจริต ซึ่งจะเรียนชี้แจง โดยย่อ ดังนี้
1. นายเผื่อน วรรณวงษา (บุตร) ผู้จัดการมรดกของนายบุญ วรรณ-วงษา (บิดา) ได้ยื่นขอออกโฉนดที่ดินแปลงหนึ่ง ซึ่งอยู่ในที่ดินสาธารณ-ประโยชน์ (ทุ่งเลี้ยงสัตว์คลองชายธง) ตั้งอยู่หมู่ที่ 6 ตำบลบ่อนอก อำเภอเมืองฯ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยอ้างกรรมสิทธิ์ของบิดาเป็นส.ค. 1 หมาย เลข 16 จำนวนเนื้อที่ 6 ไร่เศษ
2. นายอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ในขณะนั้นได้แต่งตั้งนายฉอย ตันติ-วรธรรม กำนันตำบลบ่อนอก เป็นกรรมการชี้แนวเขต ซึ่งนายฉอย ตันติวร-ธรรมได้คัดค้าน เพราะเห็นว่าที่ดินดังกล่าวอยู่ในที่ดินสาธารณประโยชน์ ตาม หนังสือสำคัญที่หลวงที่ นสล. 3775/2514
3. ต่อมาได้มีการเตรียมจะแจกโฉนดให้แก่นายเผื่อน วรรณวงษา จำนวน 53 ไร่เศษ ซึ่งนายฉอย ตันติวรธรรม กำนันตำบลบ่อนอกได้คัดค้าน อีกครั้งพร้อมทั้งแจ้งความดำเนินคดีแก่ผู้เกี่ยวข้อง
4. เรื่องทั้งหมดถูกนำเข้าพิจารณาในคณะกรรมการป้องกันการบุกรุก ที่ดินของรัฐจังหวัด (กบร.จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) และมีคำสั่งเพิกถอน ส.ค. 1 ฉบับดังกล่าว ปรากฏรายละเอียดดังนี้
4.1 ที่ดินแปลงดังกล่าว ได้ถูกประกาศเป็นที่หวงห้าม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2474 ประกาศเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ ตั้งแต่ปี 2481 ได้ขึ้นทะเบียนเป็น ที่ดินหลวง ตั้งแต่พ.ศ. 2514
4.2 นายเผื่อน วรรณวงษา ได้ใช้หลักฐาน ส.ค. 1 หมายเลข 16 ออกให้ ณ ปีพ.ศ. 2496 เนื้อที่ 6 ไร่ เป็นหลักฐานขอออกโฉนดที่ดิน ซึ่งส.ค. 1 ได้มาภายหลังการประกาศให้ที่ดินดังกล่าวเป็นที่หวงห้ามเป็นเวลาถึง 22 ปี
ข้อสงสัยของประชาชนที่เห็นว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐอาจประพฤติมิชอบก็คือ
1. เจ้าหน้าที่ที่ดินจังหวัด ไม่ได้ตรวจสอบหลักฐานต่างๆ ก่อนดำเนินการเพื่อออกโฉนดหรือ
2. หากเจ้าหน้าที่ที่ดิน ไม่ได้ตรวจสอบหลักฐาน ในเมื่อกำนันตำบลบ่อ นอก ได้ทำการคัดค้านตั้งแต่การรังวัดที่ดินครั้งแรก ทำไมเจ้าหน้าที่จึงยังไม่ ทำการตรวจสอบหลักฐานใหม่ แต่กลับพยายามออกโฉนดให้แก่นายเผื่อน วรรณวงษา เป็นเนื้อที่ถึง 53 ไร่เศษ ทั้งๆ ที่ ส.ค. 1 ของนายเผื่อน วรรณ- วงษา แสดงหลักฐานเพียง 6 ไร่
3. บัดนี้ กบร.จังหวัดได้มีมติยกเลิกส.ค. 1 ฉบับดังกล่าว แสดงว่าส.ค. 1 ฉบับนี้ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานแสดงสิทธิครอบครองที่ดินนั้นได้ เจ้าหน้าที่ ที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จะมีความผิดหรือไม่ อย่างไร
จึงเรียนมายังท่านประธานกรรมาธิการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้กรุณารับเรื่องนี้ไปดำเนินการ เพื่อความเป็นธรรมและความเสมอภาคของประชาชนต่อไป และในประเด็นดังกล่าวนี้ ได้นำเรียนเสนอต่อ ประธานกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการไว้ด้วยแล้ว
อนึ่ง ในที่ดินสาธารณประโยชน์แปลงนี้ทั้งหมดมีเนื้อที่ 931 ไร่ 3 งาน 50 ตารางวา ปัจจุบันมีกลุ่มนายทุนและผู้มีอิทธิพล ตลอดจนเจ้าหน้าที่ของรัฐได้เข้ามาบุกรุกครอบครองทำประโยชน์ส่วนตัว โดยผิดกฎหมาย จนไม่เหลือชื่อว่าที่ดินสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนจะได้อาศัยไว้ใช้ร่วมกันได้อีกต่อไป หากประชาชนจะได้อาศัยเดินทางไปสู่ชายทะเล เพื่อทำมาหากินตามฤดูกาล ก็ไม่สามารถกระทำได้ เพราะกลุ่มบุคคลที่บุกรุกครอบครองเหล่านี้ จะเสือกไสไล่ส่งและหวงห้ามมิให้เดินผ่านที่ดินที่เขาเข้ามาบุกรุกครอบครองอยู่ เป็นที่น่าหวาดกลัวและอนาถใจเป็นอย่างยิ่ง