เดิมรัฐบาลประเทศต่างๆ จะเน้นดำเนินนโยบายเก็บภาษีมากๆ เพื่อนำเงินภาษีอากรมาใช้จ่ายในด้านต่างๆ ทำให้บทบาทของรัฐบาลในเศรษฐกิจมีมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันเมื่อภาษีมีอัตราสูง ภาคเอกชนก็มีแรงจูงใจในการประกอบอาชีพลดน้อยลง ต่างหันมาแบมือขอเงินจากรัฐบาล สำหรับบุคคลสำคัญที่มาพลิกโฉมทิศทางใหม่ในการพัฒนาเศรษฐกิจของโลก คือ โรนัลด์ เรแกน ซึ่งเพิ่งถึงแก่อสัญกรรม
มีคำกล่าวกันว่าสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ โดยเมื่อปี 2523 ซึ่งมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี เศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้เผชิญกับวิกฤตหลายด้าน ค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้นมากจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้า ขณะเดียวกันเกียรติภูมิของประเทศอยู่ในระดับต่ำอย่างไม่เคยมีมาก่อน เนื่องจากชาวอิหร่านบุกสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงเตหะราน พร้อมกับจับนักการทูตสหรัฐฯ จำนวนมากเป็นตัวประกัน
รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ แม้ได้ส่งหน่วยคอมมานโดเข้าไปชิงตัวประกันออกมา แต่ความพยายามไม่ประสบผลสำเร็จ มิหนำซ้ำยังต้องสูญเสียชีวิตทหารเพิ่มเติมอีกหลายคน เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตก เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้ประธานาธิบดี จิมมี่ คาร์เตอร์ ตกกระป๋อง พ่ายแพ้การเลือกตั้งแก่นายโรนัลด์ เรแกน ไปตามระเบียบ
ต่อมาได้มีการจัดพิธีสาบานตนเพื่อรับตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2524 นายเรแกนได้กล่าวสุนทรพจน์มุ่งเน้นในการสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนสหรัฐฯ เนื่องจากเห็นว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะทำให้ประเทศกลับมาสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง โดยได้กล่าวในตอนหนึ่งว่า
"เราเป็นประชาชาติที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะจำกัดตนเองด้วยความฝันขนาดเล็กๆ ชะตากรรมของเราไม่ได้ถดถอยไปสู่ความพินาศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เหมือนอย่างที่หลายคนคิด ...เรามาเริ่มต้นความตั้งใจอันแน่วแน่ ความกล้าหาญ ความเข้มแข็ง ความศรัทธา และความฝัน กันใหม่อีกครั้งหนึ่ง"
เมื่อเขารับตำแหน่งประธานาธิบดี บรรดาปัญญาชนต่างกังขาเกี่ยวกับความสามารถในการเป็นผู้นำของเขา เนื่องจากว่าไปแล้วเขาไม่ได้มีความเฉลียวฉลาดมากเท่าใดนัก ขณะเดียวกันนายเรแกนก็มีรูปแบบการทำงานแตกต่างจากประธานาธิบดีคนก่อนๆ เป็นอย่างมาก โดยคนก่อนๆ ต้องประชุมอย่างเคร่งเครียดกันทั้งวันเพื่อหารือในเรื่องปวดหัวต่างๆ มากมาย แต่นายเรแกนกลับทำงานเปรียบเสมือนกับเป็นประธานกรรมการบริษัท โดยมอบอำนาจให้บรรดาซีอีโอของบริษัทไปดำเนินการแทนตนเอง
เขาทำงานแบบสบายๆ แบบ 9 โมงเช้าถึงบ่าย 5 โมง ทั้งนี้ นอกจากนอนเต็มอิ่มในเวลากลางคืนแล้ว ในเวลาบ่ายก็งีบหลับด้วยตามแต่โอกาสจะอำนวย ปล่อยให้ลูกน้องดำเนินการอย่างค่อนข้างอิสระ ดังนั้น ภาพลักษณ์การเป็นผู้นำประเทศที่ทำงานหนักและยากลำบากจึงไม่ปรากฏให้เห็น แต่กลับดูเสมือนเป็นเรื่องง่ายๆ สบายๆ และสนุกสนานด้วยซ้ำ
เดิมทิศทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลประเทศต่างๆ จะเน้นดำเนินการเก็บภาษีมากๆ เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในด้านต่างๆ โดยมีปรัชญาในการบริหารรัฐกิจ คือยิ่งรัฐเก็บภาษีและนำมาใช้จ่ายมากเท่าไร เศรษฐกิจของประเทศก็ยิ่งพัฒนารวดเร็วเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อภาษีมีอัตราสูง ขณะเดียวกันรัฐบาลใช้จ่ายเงินในด้านสวัสดิการสังคมจำนวนมาก ประชาชนก็มีแรงจูงใจในการประกอบอาชีพลดน้อยลง ต่างหันมาแบมือขอเงินจากรัฐบาล
สำหรับทิศทางใหม่ในการพัฒนาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้รับการกล่าวขานกันว่า "เรแกนโนมิกส์" โดยเป็นการรวม 2 คำเข้าด้วยกัน คือ "เรแกน" และ "อีโคโนมิกส์" ซึ่งมีความหมายว่า "เศรษฐศาสตร์" โดยเปลี่ยนจากนโยบายแบบที่เน้นด้าน "อุปสงค์" กล่าวคือ การเก็บภาษีและการใช้จ่ายงบประมาณมากๆ ก็เปลี่ยนมาเน้นในด้าน "อุปทาน" หรือที่เรียกว่า Supply-Side Economics โดยพยายามกระตุ้นให้ภาคธุรกิจเพิ่มความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น มีมาตรการต่างๆ เช่น ลดอัตราภาษีอากรลง ฯลฯ ขณะเดียวกันเมื่อมีอุปทานมากขึ้น สินค้าและบริการก็จะมีราคาถูกลง ส่งผลดีทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลง
ทฤษฎีเรแกนโนมิกส์ยังมีสมมติฐานว่าการลดอัตราภาษีอากรลงนั้น แทนที่จะเก็บภาษีเป็นเงินลดลง กลับจะทำให้รัฐบาลสามารถเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น โดยเมื่อลดภาษีอากรลง จะกระตุ้นให้มีการผลิตเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดการจ้างงานมากขึ้น ดังนั้น ฐานภาษีจะมีขนาดใหญ่ขึ้น ส่งผลให้รัฐบาลเก็บภาษีได้มากขึ้นชดเชยกับรายได้ที่สูญเสียไปจากการลดภาษี
สาระสำคัญอีกประการหนึ่งของนโยบายเศรษฐกิจ คือ ลดบทบาทของรัฐบาลลง โดยนายเรแกนได้กล่าวอุปมาอุปไมยว่าประชาชนเปรียบเสมือนกับคนขับ ขณะที่รัฐบาลเปรียบเสมือนกับเป็นรถยนต์เท่านั้น ดังนั้น ประชาชนเป็นผู้ขับหรือสั่งการให้รัฐบาลดำเนินการ ไม่ใช่รัฐบาลเป็นผู้สั่งให้ประชาชนดำเนินการ
ในระยะแรกทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ของนายเรแกนได้รับการวิพากษ์วิจารณ์มาก โดยนายจอร์จ บุช ซีเนียร์ ซึ่งเป็นบิดาของนายจอร์จ บุช ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน และขณะนั้นกำลังแย่งชิงกับนายเรแกนเพื่อเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ได้กล่าวถากถางว่าเป็น "นโยบายเศรษฐศาสตร์ของพ่อมดหมอผี"
เมื่อนายเรแกนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2524 ในช่วงแรกเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยิ่งตกต่ำลงไปอีก คนตกงานจำนวนมาก จึงมีการเรียกขานสถานการณ์ช่วงนั้นว่า "ภาวะเศรษฐกิจถดถอยของเรแกน" หรือ "Reagan recession" โดยเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น แทนที่จะเป็นผลเสีย กลับเป็นผลดี กล่าวคือ สามารถแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อที่เดิมสูงถึง 13.5% เมื่อเขารับตำแหน่ง ให้ลดลงเหลือเพียงแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์
จากนั้นนับตั้งแต่ปลายปี 2525 เป็นต้นมา เศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ โดยได้เติบโตในอัตราสูงมาก ทำให้คะแนนนิยมของนายเรแกนพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน
เมื่อมีการเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่งในปี 2527 นายเรแกนชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย โดยชนะการเลือกตั้งเกือบ 49 มลรัฐฯ จากทั้งหมด 50 มลรัฐ ส่งผลให้ได้รับคะแนน Electoral Votes มากถึง 525 คะแนน ขณะที่คู่แข่งแห่งพรรคเดโมแครต คือ นายมอนเดล ได้เพียงแค่ 13 คะแนนเท่านั้น โดยได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 2 จนถึงต้นปี 2532 ทั้งนี้ ได้มีการสำรวจประชามติ พบว่าเป็นประธานาธิบดีที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดคนหนึ่งของสหรัฐฯ
เมื่อประเมินนโยบายเรแกนโนมิกส์จะพบว่าประสบผลสำเร็จค่อนข้างมาก โดยทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อยู่ในภาวะตกต่ำ กลับมาเข้มแข็งอีกครั้งหนึ่ง มีการสร้างงานเป็นจำนวนมาก แม้ในช่วงนั้นจะมีนักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากตั้งข้อกังขาว่านโยบายเศรษฐกิจซึ่งเน้นตลาดเสรีของสหรัฐฯ เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องหรือไม่ เนื่องจากสินค้าญี่ปุ่นตีตลาดสหรัฐฯ อย่างมาก ส่งผลให้บริษัทสหรัฐฯ เป็นจำนวนมากย่ำแย่ ขณะที่นักลงทุนญี่ปุ่นเข้าไปกว้านซื้อกิจการในสหรัฐฯ เป็นว่าเล่น
รัฐบาลเรแกนได้พยายามต่อต้านกระแสเรียกร้องให้คุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศ ซึ่งปัจจุบันกาลเวลาก็พิสูจน์แล้วว่าเป็นทิศทางที่ถูกต้อง เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ใช้วิกฤตการณ์ในครั้งนั้นมาเป็นโอกาส มีการปรับโครงสร้างการดำเนินการเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ทำให้สหรัฐฯ แข็งแกร่งขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งในเวลาต่อมา แม้หลายบริษัทสหรัฐฯ จะย่ำแย่ถึงกับต้องเลิกล้มกิจการไป แต่ขณะเดียวกันก็มีบริษัทพันธุ์ใหม่ซึ่งเดิมเป็นเพียงแค่ SMEs ได้เติบใหญ่อย่างรวดเร็วจนครอบงำเศรษฐกิจของโลก เช่น ไมโครซอฟท์ อินเทล วอลมาร์ท ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม นโยบายเรแกนโนมิกส์ ก็มีผลในด้านลบอยู่บ้าง โดยการลดภาษีอากร แทนที่จะทำให้เก็บภาษีเป็นเงินเพิ่มขึ้นตามที่พยากรณ์เอาไว้ กลับเก็บภาษีได้ลดลง ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ขาดดุลงบประมาณจำนวนมาก ส่งผลให้รัฐบาลมีหนี้สินจำนวนมหาศาล
ปัจจัยแห่งความสำเร็จของนายเรแกน คือ ความสามารถในการประชาสัมพันธ์ อันเป็นข้อได้เปรียบของเขาเนื่องจากเคยเป็นพระเอกภาพยนตร์มาก่อน นอกจากนี้ ยังเคยทำงานเป็นโฆษกให้แก่บริษัท GE ทำให้มีโอกาสได้พูดปราศรัยบ่อยครั้ง ดังนั้น จึงได้รับฉายาว่า “The Great Communicator” หรือ "นักสื่อสารผู้ยิ่งใหญ่" โดยเขาเน้นสื่อสารตรงไปยังประชาชน แทนที่จะสื่อสารผ่านบรรดาสื่อมวลชน
นายเรแกนนับว่าเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เก่งในด้านประชาสัมพันธ์มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา แม้คำปราศรัยของเขาจะมีเนื้อหาสาระไม่มากเท่าใดนัก แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ เขาสามารถสื่อให้คนสหรัฐฯ รู้สึกมั่นใจในตนเอง ขณะเดียวกันรูปแบบการพูดของเขาก็เหนือชั้น ทำให้ผู้ฟังเกิดความอบอุ่นและนิยมชมชอบ เปรียบเสมือนกับคุณปู่คุณตาที่ใจดีมาพูดคุยกับบรรดาหลานๆ โดยมีเรื่องขำขันมาเล่าสู่กันฟังอยู่เสมอๆ
เมื่อสหรัฐฯ ลดภาษีอากรและลดกฎระเบียบลง ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มเฟื่องฟูอีกครั้งหนึ่ง ขณะที่ประเทศอื่นๆ ที่เน้นเก็บภาษีในอัตราสูงถึง 60-70% ของรายได้ เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคม ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ เนื่องจากบริษัทภายในประเทศของตนเองได้ลดการลงทุนในประเทศและหันไปลงทุนในสหรัฐฯ แทน
ส่วนประชาชนในประเทศนั้นๆ โดยเฉพาะบรรดาเศรษฐีและบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ ได้หนีภาษีหฤโหดในประเทศของตนเองและย้ายไปอาศัยอยู่และประกอบอาชีพในสหรัฐฯ เท่ากับบีบบังคับโดยทางอ้อมให้รัฐบาลประเทศนั้นๆ ต้องลดภาษีอากรและลดกฎระเบียบลงตามแบบสหรัฐฯ ไปด้วย ดังนั้น จึงมีคำกล่าวที่ไม่เกินความจริงเลยว่านโยบายเรแกนโนมิกส์นั้น แม้ว่ามีเป้าหมายเพียงแค่เพื่อปฏิวัติเศรษฐกิจสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ประสบผลสำเร็จในการปฏิวัติเศรษฐกิจโลก!
ติดต่อขอข้อมูล ติชม และเสนอแนะความคิดเห็นได้ที่ กองการตลาดเพื่อการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน 0-2537-8163 หรือที่marketing@boi.go.th
มีคำกล่าวกันว่าสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ โดยเมื่อปี 2523 ซึ่งมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี เศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้เผชิญกับวิกฤตหลายด้าน ค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้นมากจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้า ขณะเดียวกันเกียรติภูมิของประเทศอยู่ในระดับต่ำอย่างไม่เคยมีมาก่อน เนื่องจากชาวอิหร่านบุกสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงเตหะราน พร้อมกับจับนักการทูตสหรัฐฯ จำนวนมากเป็นตัวประกัน
รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ แม้ได้ส่งหน่วยคอมมานโดเข้าไปชิงตัวประกันออกมา แต่ความพยายามไม่ประสบผลสำเร็จ มิหนำซ้ำยังต้องสูญเสียชีวิตทหารเพิ่มเติมอีกหลายคน เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตก เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้ประธานาธิบดี จิมมี่ คาร์เตอร์ ตกกระป๋อง พ่ายแพ้การเลือกตั้งแก่นายโรนัลด์ เรแกน ไปตามระเบียบ
ต่อมาได้มีการจัดพิธีสาบานตนเพื่อรับตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2524 นายเรแกนได้กล่าวสุนทรพจน์มุ่งเน้นในการสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนสหรัฐฯ เนื่องจากเห็นว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะทำให้ประเทศกลับมาสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง โดยได้กล่าวในตอนหนึ่งว่า
"เราเป็นประชาชาติที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะจำกัดตนเองด้วยความฝันขนาดเล็กๆ ชะตากรรมของเราไม่ได้ถดถอยไปสู่ความพินาศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เหมือนอย่างที่หลายคนคิด ...เรามาเริ่มต้นความตั้งใจอันแน่วแน่ ความกล้าหาญ ความเข้มแข็ง ความศรัทธา และความฝัน กันใหม่อีกครั้งหนึ่ง"
เมื่อเขารับตำแหน่งประธานาธิบดี บรรดาปัญญาชนต่างกังขาเกี่ยวกับความสามารถในการเป็นผู้นำของเขา เนื่องจากว่าไปแล้วเขาไม่ได้มีความเฉลียวฉลาดมากเท่าใดนัก ขณะเดียวกันนายเรแกนก็มีรูปแบบการทำงานแตกต่างจากประธานาธิบดีคนก่อนๆ เป็นอย่างมาก โดยคนก่อนๆ ต้องประชุมอย่างเคร่งเครียดกันทั้งวันเพื่อหารือในเรื่องปวดหัวต่างๆ มากมาย แต่นายเรแกนกลับทำงานเปรียบเสมือนกับเป็นประธานกรรมการบริษัท โดยมอบอำนาจให้บรรดาซีอีโอของบริษัทไปดำเนินการแทนตนเอง
เขาทำงานแบบสบายๆ แบบ 9 โมงเช้าถึงบ่าย 5 โมง ทั้งนี้ นอกจากนอนเต็มอิ่มในเวลากลางคืนแล้ว ในเวลาบ่ายก็งีบหลับด้วยตามแต่โอกาสจะอำนวย ปล่อยให้ลูกน้องดำเนินการอย่างค่อนข้างอิสระ ดังนั้น ภาพลักษณ์การเป็นผู้นำประเทศที่ทำงานหนักและยากลำบากจึงไม่ปรากฏให้เห็น แต่กลับดูเสมือนเป็นเรื่องง่ายๆ สบายๆ และสนุกสนานด้วยซ้ำ
เดิมทิศทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลประเทศต่างๆ จะเน้นดำเนินการเก็บภาษีมากๆ เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในด้านต่างๆ โดยมีปรัชญาในการบริหารรัฐกิจ คือยิ่งรัฐเก็บภาษีและนำมาใช้จ่ายมากเท่าไร เศรษฐกิจของประเทศก็ยิ่งพัฒนารวดเร็วเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อภาษีมีอัตราสูง ขณะเดียวกันรัฐบาลใช้จ่ายเงินในด้านสวัสดิการสังคมจำนวนมาก ประชาชนก็มีแรงจูงใจในการประกอบอาชีพลดน้อยลง ต่างหันมาแบมือขอเงินจากรัฐบาล
สำหรับทิศทางใหม่ในการพัฒนาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้รับการกล่าวขานกันว่า "เรแกนโนมิกส์" โดยเป็นการรวม 2 คำเข้าด้วยกัน คือ "เรแกน" และ "อีโคโนมิกส์" ซึ่งมีความหมายว่า "เศรษฐศาสตร์" โดยเปลี่ยนจากนโยบายแบบที่เน้นด้าน "อุปสงค์" กล่าวคือ การเก็บภาษีและการใช้จ่ายงบประมาณมากๆ ก็เปลี่ยนมาเน้นในด้าน "อุปทาน" หรือที่เรียกว่า Supply-Side Economics โดยพยายามกระตุ้นให้ภาคธุรกิจเพิ่มความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น มีมาตรการต่างๆ เช่น ลดอัตราภาษีอากรลง ฯลฯ ขณะเดียวกันเมื่อมีอุปทานมากขึ้น สินค้าและบริการก็จะมีราคาถูกลง ส่งผลดีทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลง
ทฤษฎีเรแกนโนมิกส์ยังมีสมมติฐานว่าการลดอัตราภาษีอากรลงนั้น แทนที่จะเก็บภาษีเป็นเงินลดลง กลับจะทำให้รัฐบาลสามารถเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น โดยเมื่อลดภาษีอากรลง จะกระตุ้นให้มีการผลิตเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดการจ้างงานมากขึ้น ดังนั้น ฐานภาษีจะมีขนาดใหญ่ขึ้น ส่งผลให้รัฐบาลเก็บภาษีได้มากขึ้นชดเชยกับรายได้ที่สูญเสียไปจากการลดภาษี
สาระสำคัญอีกประการหนึ่งของนโยบายเศรษฐกิจ คือ ลดบทบาทของรัฐบาลลง โดยนายเรแกนได้กล่าวอุปมาอุปไมยว่าประชาชนเปรียบเสมือนกับคนขับ ขณะที่รัฐบาลเปรียบเสมือนกับเป็นรถยนต์เท่านั้น ดังนั้น ประชาชนเป็นผู้ขับหรือสั่งการให้รัฐบาลดำเนินการ ไม่ใช่รัฐบาลเป็นผู้สั่งให้ประชาชนดำเนินการ
ในระยะแรกทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ของนายเรแกนได้รับการวิพากษ์วิจารณ์มาก โดยนายจอร์จ บุช ซีเนียร์ ซึ่งเป็นบิดาของนายจอร์จ บุช ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน และขณะนั้นกำลังแย่งชิงกับนายเรแกนเพื่อเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ได้กล่าวถากถางว่าเป็น "นโยบายเศรษฐศาสตร์ของพ่อมดหมอผี"
เมื่อนายเรแกนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2524 ในช่วงแรกเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยิ่งตกต่ำลงไปอีก คนตกงานจำนวนมาก จึงมีการเรียกขานสถานการณ์ช่วงนั้นว่า "ภาวะเศรษฐกิจถดถอยของเรแกน" หรือ "Reagan recession" โดยเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น แทนที่จะเป็นผลเสีย กลับเป็นผลดี กล่าวคือ สามารถแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อที่เดิมสูงถึง 13.5% เมื่อเขารับตำแหน่ง ให้ลดลงเหลือเพียงแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์
จากนั้นนับตั้งแต่ปลายปี 2525 เป็นต้นมา เศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ โดยได้เติบโตในอัตราสูงมาก ทำให้คะแนนนิยมของนายเรแกนพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน
เมื่อมีการเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่งในปี 2527 นายเรแกนชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย โดยชนะการเลือกตั้งเกือบ 49 มลรัฐฯ จากทั้งหมด 50 มลรัฐ ส่งผลให้ได้รับคะแนน Electoral Votes มากถึง 525 คะแนน ขณะที่คู่แข่งแห่งพรรคเดโมแครต คือ นายมอนเดล ได้เพียงแค่ 13 คะแนนเท่านั้น โดยได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 2 จนถึงต้นปี 2532 ทั้งนี้ ได้มีการสำรวจประชามติ พบว่าเป็นประธานาธิบดีที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดคนหนึ่งของสหรัฐฯ
เมื่อประเมินนโยบายเรแกนโนมิกส์จะพบว่าประสบผลสำเร็จค่อนข้างมาก โดยทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อยู่ในภาวะตกต่ำ กลับมาเข้มแข็งอีกครั้งหนึ่ง มีการสร้างงานเป็นจำนวนมาก แม้ในช่วงนั้นจะมีนักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากตั้งข้อกังขาว่านโยบายเศรษฐกิจซึ่งเน้นตลาดเสรีของสหรัฐฯ เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องหรือไม่ เนื่องจากสินค้าญี่ปุ่นตีตลาดสหรัฐฯ อย่างมาก ส่งผลให้บริษัทสหรัฐฯ เป็นจำนวนมากย่ำแย่ ขณะที่นักลงทุนญี่ปุ่นเข้าไปกว้านซื้อกิจการในสหรัฐฯ เป็นว่าเล่น
รัฐบาลเรแกนได้พยายามต่อต้านกระแสเรียกร้องให้คุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศ ซึ่งปัจจุบันกาลเวลาก็พิสูจน์แล้วว่าเป็นทิศทางที่ถูกต้อง เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ใช้วิกฤตการณ์ในครั้งนั้นมาเป็นโอกาส มีการปรับโครงสร้างการดำเนินการเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ทำให้สหรัฐฯ แข็งแกร่งขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งในเวลาต่อมา แม้หลายบริษัทสหรัฐฯ จะย่ำแย่ถึงกับต้องเลิกล้มกิจการไป แต่ขณะเดียวกันก็มีบริษัทพันธุ์ใหม่ซึ่งเดิมเป็นเพียงแค่ SMEs ได้เติบใหญ่อย่างรวดเร็วจนครอบงำเศรษฐกิจของโลก เช่น ไมโครซอฟท์ อินเทล วอลมาร์ท ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม นโยบายเรแกนโนมิกส์ ก็มีผลในด้านลบอยู่บ้าง โดยการลดภาษีอากร แทนที่จะทำให้เก็บภาษีเป็นเงินเพิ่มขึ้นตามที่พยากรณ์เอาไว้ กลับเก็บภาษีได้ลดลง ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ขาดดุลงบประมาณจำนวนมาก ส่งผลให้รัฐบาลมีหนี้สินจำนวนมหาศาล
ปัจจัยแห่งความสำเร็จของนายเรแกน คือ ความสามารถในการประชาสัมพันธ์ อันเป็นข้อได้เปรียบของเขาเนื่องจากเคยเป็นพระเอกภาพยนตร์มาก่อน นอกจากนี้ ยังเคยทำงานเป็นโฆษกให้แก่บริษัท GE ทำให้มีโอกาสได้พูดปราศรัยบ่อยครั้ง ดังนั้น จึงได้รับฉายาว่า “The Great Communicator” หรือ "นักสื่อสารผู้ยิ่งใหญ่" โดยเขาเน้นสื่อสารตรงไปยังประชาชน แทนที่จะสื่อสารผ่านบรรดาสื่อมวลชน
นายเรแกนนับว่าเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เก่งในด้านประชาสัมพันธ์มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา แม้คำปราศรัยของเขาจะมีเนื้อหาสาระไม่มากเท่าใดนัก แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ เขาสามารถสื่อให้คนสหรัฐฯ รู้สึกมั่นใจในตนเอง ขณะเดียวกันรูปแบบการพูดของเขาก็เหนือชั้น ทำให้ผู้ฟังเกิดความอบอุ่นและนิยมชมชอบ เปรียบเสมือนกับคุณปู่คุณตาที่ใจดีมาพูดคุยกับบรรดาหลานๆ โดยมีเรื่องขำขันมาเล่าสู่กันฟังอยู่เสมอๆ
เมื่อสหรัฐฯ ลดภาษีอากรและลดกฎระเบียบลง ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มเฟื่องฟูอีกครั้งหนึ่ง ขณะที่ประเทศอื่นๆ ที่เน้นเก็บภาษีในอัตราสูงถึง 60-70% ของรายได้ เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคม ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ เนื่องจากบริษัทภายในประเทศของตนเองได้ลดการลงทุนในประเทศและหันไปลงทุนในสหรัฐฯ แทน
ส่วนประชาชนในประเทศนั้นๆ โดยเฉพาะบรรดาเศรษฐีและบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ ได้หนีภาษีหฤโหดในประเทศของตนเองและย้ายไปอาศัยอยู่และประกอบอาชีพในสหรัฐฯ เท่ากับบีบบังคับโดยทางอ้อมให้รัฐบาลประเทศนั้นๆ ต้องลดภาษีอากรและลดกฎระเบียบลงตามแบบสหรัฐฯ ไปด้วย ดังนั้น จึงมีคำกล่าวที่ไม่เกินความจริงเลยว่านโยบายเรแกนโนมิกส์นั้น แม้ว่ามีเป้าหมายเพียงแค่เพื่อปฏิวัติเศรษฐกิจสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ประสบผลสำเร็จในการปฏิวัติเศรษฐกิจโลก!
ติดต่อขอข้อมูล ติชม และเสนอแนะความคิดเห็นได้ที่ กองการตลาดเพื่อการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน 0-2537-8163 หรือที่marketing@boi.go.th