xs
xsm
sm
md
lg

คนไทยโบราณไม่มีการศึกษา แต่ไม่อยู่อย่างโง่ๆ

เผยแพร่:   โดย: ยอดรัก ตวันรอน

"เราไม่ได้ทำอะไรกัน เพราะไม่มีอะไรจะทำ" ท่านอดีตข้าหลวงท่านนั้นบอกผม เมื่อผมถามว่าในชีวิตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของท่าน ท่านเคยทำอะไรตอนที่ท่านนายกรัฐมนตรีจอมพล ป.พิบูลสงคราม กำลังทำหน้าที่เผด็จการและสร้างชาติด้วยการหลงใหลในการเข็นวัฒนธรรมเฮงซวยที่ท่านหลงใหลมันอยู่ ข้าราชการท่านนั้นจบลงด้วยคำตอบที่สำคัญว่า "เพียงแต่ตอนค่ำทุกคืนต้องออกไปเป็นประธานรำวงของชาวบ้านเท่านั้น"

นั่นเป็นภาระหน้าที่ในการปกครองบ้านเมืองของเจ้าขุนมูลนายไทยสมัยนั้น

คนไทยสมัยเก่าๆ หรือไม่โบราณนัก เราจะมีชีวิตอยู่กันในสภาพนี้ คือไม่มีอะไรจะต้องทำหรือไม่ทำอะไรกันมา เพราะชีวิตคนสมัยนั้นจะไม่มีอะไรวุ่นวาย

คนไทยที่เป็นใหญ่เป็นโตถึงชั้นข้าหลวงหรือนายอำเภอของราชอาณาจักร วันๆ เกือบจะไม่ต้องทำอะไรกันเลย นอกจากทำหน้าที่สนองพระเดชพระคุณเจ้านายเหนือหัวคือ การออกเป็นประธานการรำวงของชาวบ้าน และรายงานมายังนายกรัฐมนตรีก็เป็นอันเสร็จสิ้น

เช่นเดียวกับประชาชนพลเมืองส่วนใหญ่ของประเทศก็จะไม่มีอะไรต้องคิดต้องทำ นอกจากอยู่กินไปตามปกติไปตามมีตามเกิดกันไป หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องด้วยตนเอง โดยไม่มีเทวดาไหนมาดัดจริตเอื้ออาทร ไม่ต้องไปนอนตากแดดตากฝนอยู่ริมถนนหน้าทำเนียบหรือไม่ต้องไปประท้วงอะไรมาก คนที่จะต้องพยายามขอแผ่นดินทำกินนานถึง 27 ปีเหมือนยายไฮนั้น ไม่เคยปรากฏว่ามี

ข้าราชการสมัยนั้น ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่เพียงแต่รำวงเป็น หรือเป็นประธานรำวงได้หรือมีความสามารถในการประจบสอพลอได้บ้างไม่ถึงกับทำให้เจ้านายต้องง่วงเหงาหาวนอนเมื่อเวลาเข้าพินอบพิเทาก็ถือว่าพอกินแล้ว

สมัยนั้นเป็นสมัยที่บ้านเมืองยังไม่มีถนนหนทาง จึงไม่มีรถยนต์ที่จะต้องมาวิ่งกินน้ำมันเล่นกันอึกทึกครึกโครมอยู่ทุกวันนี้ การเดินทางของผู้ว่าฯ ไม่ว่าซีอีโอหรือโหลยโท่ยขนาดไหนก็จะอาศัยได้แต่เพียงม้าเท่านั้น ถ้าขี่ม้าไม่เป็นก็เป็นนายอำเภอหรือเจ้าขุนมูลนายสมัยนั้นไม่ได้

และที่สำคัญที่สุดก็คือ ไม่ต้องเสียเวลาสำแดงอภินิหารไปเที่ยวซื้อป้ายรถยนต์อวดบุญบารมีจากผลการคอร์รัปชันถึงขนาดเอาไปประมูลป้ายรถยนต์เล่นสามสี่ล้านบาท เพราะตนมีความสามารถและมีโอกาสในการกินสินบาทคาดสินบนและความสามารถในการคอร์รัปชันได้สูงมากเหมือนเจ้านายทุกวันนี้

ความชำนาญในด้านการเห่าและกัดเพื่อพรรคพวกของตัวเองและเจ้านายอย่างที่กำลังทำกันอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่ค่อยจะมีหรือมียากมาก เพราะตอนนั้นไม่มีพรรคการเมือง ไม่มีนักการเมือง ไม่มีคอกไม่มีเล้า หรือไม่มีปลอกคอสังกัดเพื่อเห่าหอน และไม่ต้องประดิดประดอยหาถ้อยคำสำหรับโกหกมดเท็จผู้คนอย่างที่กำลังทำกันอยู่ทุกวันนี้

บ้านเมืองในสมัยนั้น จึงเป็นบ้านเมืองที่มีแต่เพียงความเงียบ เงียบถึงขนาด

ผู้คนจำนวนมากหรือโดยทั่วไปจึงเป็นคนโง่หรือค่อนข้างโง่เมื่อเทียบกับคนทุกวันนี้ หรือโง่อย่างถึงขนาดเช่นเดียวกัน

คนไทยสมัยเก่าจึงมีชีวิตอยู่กันมาได้ด้วยความเงียบและความโง่ผสมผสานกันอย่างเหมาะเจาะ

ที่ไม่ค่อยจะมีมากที่สุดก็คือ ไม่มีคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย ไม่มีคนที่คอยนั่งโกหกมดเท็จ ซึ่งไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหนก็จะพบเหมือนในสมัยนี้

ไม่มีใครมาสั่งสอนบอกกล่าวว่า เมื่อคนเราตื่นนอนขึ้นมาหรือก่อนจะหลับตาลงนอนจะมีคนมาบอกกล่าวว่าจะต้องกินอาหารห้าหมู่ หรือผู้ชายที่หาแต่ความสุขสบายจะอ่อนแอลงหรือขาดความเข้มแข็งทางเพศจะต้องไปเอายาบำรุงกำลังที่ไหนมากิน หรือผู้หญิงบางคนจะต้องใช้น้ำมันสมุนไพรชนิดไหนทาหน้าตัวเองให้มันผุดผาดขึ้นมาด้วยเพราะฤทธิ์ยาสมุนไพร หรือสามารถแก้กรรมเวรของตนเองได้เพราะเกิดมาหนังต่างๆ มันยานหรือมีกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง

คนไทยสมัยก่อนจะเป็นคนโง่ก็เพราะว่าคนส่วนมากไม่ได้เรียนหนังสือหรือไม่มีโรงเรียนจะเข้าไปเรียนหรือเรียนแล้วก็ไม่รู้ว่าจะต้องเรียนเอาไปทำอะไร

ในสมัยที่นายอำเภอต้องออกเดินทางตามหมู่บ้านเพื่อเป็นประธานการรำวงของชาวบ้านนั้น มีสิ่งใหม่เกิดขึ้นในเมืองไทยคือ รัฐบาลกำหนดว่าคนไทยทุกคนจะต้องรู้หนังสือ แม้แต่ผู้หญิงไทยถือว่าการรู้หนังสือนั้นเป็นเรื่องผิดปกติและไม่ใช่ธรรมเนียม แต่ในสมัยนั้นผู้หญิงที่อายุยังไม่พ้น 40 ปีไปแล้วจะต้องเรียนหนังสือและรู้หนังสือ

เล่ากันว่าผู้หญิงบ้านนอกสมัยนั้น ที่อายุยังอยู่ในระหว่างสามสิบเศษๆ เดินสวนทางกันแล้วจะหยุดทักทายกันและถามว่า “มึงไปไหนมาวะวันนี้?”

“ไปเรียนหนังสือไง มึงทำไมไม่ไปละ?” ฝ่ายนักเรียนตอบและถาม

“ที่มึงไปเรียนวันนี้ได้อะไรมาบ้าง?”

“ก็เหมือนเก่า”

“อะไร?”

“เหมือนเดิม" รายนั้นตอบชัด "ได้แต่ตัวห. กับตัวด."

"ที่บ้านกูก็มี กูถึงไม่ต้องไปโรงเรียนไง"

เป็นอันว่าคนไทยยุคนั้นถึงจะเรียนหนังสือหรือไม่เรียนก็จะรู้หนังสือกันเพียงเท่านี้และอยู่กันโง่ๆ ต่อไปแบบนี้

แต่ทั้งๆ ที่บ้านเมืองเงียบและคนโง่อย่างที่ว่านี้แหละ ทุกคนทุกชีวิตก็สามารถจะดำเนินชีวิตมาได้อย่างดีงาม พร้อมด้วยวัฒนธรรมเยี่ยงมนุษย์น่าเคารพบูชาทุกประเทศ

ก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกว่า เมื่อคนเราเหล่านั้นไม่มีโรงเรียนสำหรับเรียนหนังสือหรือไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่รู้จักหนังสือจนกระทั่งจะต้องเชื่อว่าโง่กันทั้งชาติแต่คนเหล่านี้มีชีวิตอยู่มาได้อย่างไร?

มีลูกมีหลานสืบเผ่าพันธุ์กันมาได้อย่างไร?

เจ็บไข้ได้ป่วยจะทำอย่างไร?

บางทีถ้าเราหวนกลับไปถึงคนไทยในยุคเก่ากันในแบบนี้บ้างแล้วนำมาเทียบกับยุคที่เราเจริญรุ่งเรืองและเฉลียวฉลาดอย่างไม่ใช่ผู้ใช่คนกันตามมาตรฐานที่เราเชื่อถือกันอยู่ในปัจจุบันนี้ น่าจะได้ประโยชน์อะไรบ้างเหมือนกัน

หน้าที่ของคนไทยสมัยนั้น (ดูเหมือนจะเป็นระยะเริ่มต้นเป็นประเทศที่เจริญรุ่งเรืองมาถึงทุกวันนี้โดยมีประชากรประมาณ 8 ล้านถึง 14 ล้านคนก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2) คนไทยไม่มีเรื่องอะไรที่จะต้องยุ่งเกี่ยววุ่นวายอะไรมาก บ้านเมืองก็เป็นเรื่องของเจ้าขุนมูลนาย ในฐานะเป็นพลเมืองของแผ่นดิน ผู้ชายไทยทุกคนจะต้องเสียค่ารัชชูปการหรือเสียภาษีให้บ้านเมืองปีละ 6 บาทเรียกว่าเงิน "ค่าหัว" นอกนั้นก็ไปทำมาหากินเอาเองทุกอย่าง อย่างอื่นไม่มีอะไรจะต้องสร้างต้องทำหรือต้องยุ่งเกี่ยว

หน้าที่จริงก็คือ ทำไร่ทำนาหากินใส่ปากใส่ท้องให้มีชีวิตอยู่ได้เท่านั้น

มีบ้านเรือนคุ้มหัว กินนอนและสืบพันธุ์กันตามธรรมชาติและมีลูกหลานสืบสานดำเนินกิจการตามเส้นทางของความเงียบและความโง่สืบต่อกันไปตามปกติ

การทำกินหรือการมีข้าวกินถือว่าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับชีวิตสมัยนั้น เพราะฉะนั้นคนทุกคนที่เกิดมาเป็นคนไทยและจะต้องรู้จักทำนาทำไร่เพื่อให้มีข้าวกิน หน้าที่ของคนไทยที่เกิดมาจะไม่มีอะไรต้องคิดต้องสนใจ นอกจากหลังพ้นวัยเด็กแล้วก็จะเตรียมตัวสำหรับทำมาหากิน ทำที่อยู่อาศัยด้วยมือของตนเอง ไม่มีใครช่วยเหลือไม่มีใครที่สามารถจะจ้างวานได้และเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยนั้น เงินยังไม่มีใช้ในหมู่บ้านต่างๆ หรือไม่รู้จักเงินกันด้วยซ้ำ ทุกคนจะรู้จักอยู่อย่างเดียวแม้แต่ในบริเวณกรุงเทพฯ ทุกวันนี้ เมื่อประมาณ 80 กว่าปีก่อนนั้น คนไทยก็อยู่กันแบบ "อยากกินอะไรก็ออกหา ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" เพราะฉะนั้น คนไทยทุกคนหลังจากพ้นวัยเด็กไปแล้ว จะต้องเรียนรู้วิธีทำที่อยู่อาศัย คุ้มแดดคุ้มฝน รู้จักใช้หญ้าแฝกหญ้าคาหรือใบจากที่จะใช้มุงหลังคาบ้าน รู้จักการสร้างบ้านสร้างเรือนทุกอย่างต้องรู้หมด ถ้าไม่รู้ไม่สามารถจะเป็นคนไทยร่วมสังคมกับใครได้ หรือไม่มีคนที่ไม่รู้เรื่องของการเกิดมาเป็นคนไทยยุคนั้น

สมัยนั้นการเป็นคนไทยไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีปริญญาตรี โท เอก เป็นด็อกเตอร์ มีประกาศนียบัตร หรือมีเสื้อครุยอะไรต่ออะไรที่ใช้เป็นเครื่องสำอางประดับตัวเหมือนทุกวันนี้ ต่อให้มีเงินหรือเป็นเจ้าของธนาคารสักร้อยพันแห่ง ถ้าจักตอกสานตะกร้าหรือถากเสาเรือนไม่เป็นแล้ว โอกาสที่จะเป็นคนหรือมีชีวิตอยู่ในสังคมไทยจะไม่มีเลย

อุปกรณ์ที่สำคัญที่สุดสำหรับการดำเนินชีวิตสำหรับผู้ชายไทยสมัยนั้น จะมีสิ่งสำ คัญอยู่เพียง 3 อย่างเท่านั้นคือ (1) จะต้องมีควายไว้สำหรับไถนา (2) จะต้องมีมีดพร้าที่เหล็กค่อนข้างดีและลับไว้ให้คมพอสมควร สำหรับการใช้ทุกอย่างที่จะใช้ตามความประสงค์ (3) หมาไทย 1 ตัว

เกิดเป็นคนไทยสมัยนั้นถ้าไม่ใช่เจ้าขุนมูลนายแล้ว ถ้าหากไม่ทำนาทำไร่ก็จะไม่มีข้าวกิน การทำนาต้องทำด้วยตนเองตั้งแต่ไถคราดและหว่านกล้า จนกระทั่งข้าวเป็นรวงและต้องเก็บเกี่ยว เพราะฉะนั้นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดก็คือ ควาย ไม่ใช่ความรู้หรือปริญญา หรือไม่ใช่ตัวห.กับตัวด.อย่างที่ว่า

มีดพร้าหรือที่เรียกกันว่า "อีโต้" ตามภาษาชาวบ้านนั้นก็เช่นเดียวกัน การจะถากถาง หรือทำอะไรขึ้นมาได้แม้แต่ไถ่คราดหรือเครื่องมืออื่นในการทำนาก็จะต้องใช้มีดพร้าหรืออีโต้เป็นเครื่องมือในการดำเนินการทุกอย่างให้บรรลุจุดประสงค์ หมาไทยธรรมดา ดูเหมือนจะเป็นสัตว์ที่เป็นคู่บุญของคนไทยที่ไม่ได้เป็นเจ้าขุนมูลนาย สารพัดที่จะเอาไปใช้ประโยชน์ในการเฝ้าดูแลทรัพย์สินและระวังระไวใช้สอยได้ทุกเรื่องแม้แต่ดูแลติดตามควาย รวมทั้งความจริงใจและความซื่อสัตย์กตัญญู หมาสมัยนั้นประเสริฐกว่าคนไทยบางคนในสมัยนี้ทุกๆ ด้านทุกเรื่องและทุกตัว

คนไทยชาติไทยที่เจริญพัฒนามาได้หลายพันปี หรือเอากันว่าตั้งแต่สุโขทัยเป็นต้นมา จนกระทั่งถึงยุคประชาธิปไตย เราอยู่กันมาได้ด้วยองค์ประกอบ 3 อย่างคือ (1) ควาย (2) มีดอีโต้ (3) หมาไทยเท่านั้น

ไม่มีอะไรวิเศษอัศจรรย์ไปกว่านั้น

เราอยู่อย่างคนไทยที่โง่และสงบ เราไม่มีโรคภัยไข้เจ็บที่ต้องวิ่งหาโรงพยาบาลและวิ่งหาหมอฝรั่ง เราไม่มีโรงพยาบาลที่ปล่อยให้คนตายเพราะถูกงูกัด เพราะเราจะมีหมอประจำบ้าน ประจำตำบลที่มีความรู้ทางยาทางแพทย์สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ซึ่งจะคอยรักษาชาวบ้านเพื่อการกุศลทุกหมู่บ้านทุกตำบล

ยาที่โฆษณาโกหกหลอกลวงขายกันในบ้านเมืองทุกวันนี้ สมัยก่อนคนไทยไม่ต้องการ แต่เราจะมีสมุนไพรสำหรับรักษาโรคทุกชนิดที่ปลูกไว้ตามรั้วบ้านชานเรือนสำหรับรักษาและป้องกันโรคทุกอย่าง โดยการใช้กินเป็นอาหารไม่ว่าจะเป็นน้ำพริกผักต้ม ขิงข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด พริกไทย ขี้เหล็ก ตำลึง ซึ่งผักริมรั้วเหล่านี้ใช้กินเป็นอาหารหรือต้มยำตำแกง ช่วยแก้พิษ เสริมความต้านทานให้แก่ร่างกายและแก้สารที่เป็นพิษในร่างกายได้ทุกอย่าง แม้แต่โรคตาซึ่งคนไทยสมัยก่อนใช้ตำลึงแกงเลียงหรือจิ้มน้ำพริก เป็นต้น

คนสมัยก่อนทุกคนโง่แต่ก็อยู่กันมาอย่างไม่ได้โง่เง่าอะไรแม้แต่นิด

เมืองไทยสมัยก่อนไม่เคยมีผู้หญิงสาวที่ไหนอ้วนขนาดราชินีช้างอย่างทุกวันนี้ทั่วประเทศ เราไม่มีคนต้องตายเพราะเบาหวานทุกวันอย่างเดี๋ยวนี้ เราไม่มีใครมานอนฟอกเลือดกันอยู่ หรือไม่มีใครจะต้องมานั่งครวญครางเพราะริดสีดวงทวารกันให้เมื่อยเหมือนทุกวันนี้ ต้นไม้ใบหญ้าทุกอย่างในเรือกสวนของไทยเป็นยาทั้งสิ้น

หมาไทยของเราที่กินอาหารเน่าเสียหรือผิดอาหาร มันจะรู้ว่าสมุนไพรอะไรบ้างจะแก้ได้ ก็จะออกเดินหาและเคี้ยวกิน ในไม่ช้าพิษก็จะคายและอาเจียนออกมา อยู่สุขกินสบายต่อไป โดยไม่ต้องวิ่งไปหาหมอหมาที่ไหน

สมัยโบราณ แม้แต่หมาไทยของเราก็สามารถรู้ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นและจะแก้ได้ด้วยพืชผักอะไร

ถึงจะรู้สึกว่ามันโง่อย่างหมา แต่ก็น่าจะต้องถือว่ามันฉลาดและเข้าใจปัญหาชีวิตของมันยิ่งกว่าคนทุกวันนี้ หรือมันก็รู้อะไรต่ออะไรเท่ากับคนหรือมากกว่าคน

เมืองไทยเรามีอะไรมากมายที่คนไทยเคยพึ่งพามาแล้วเป็นพันๆ ปี ถึงจะอยู่กันมาอย่างเงียบๆ และดูเหมือนจะโง่ แต่เราก็ไม่ได้อยู่อย่างโง่ๆ อย่างที่ใครคิด

ผมเห็นสรรพคุณมาครบทุกอย่างแล้ว ไม่เคยมีปัญหาอะไร แม้แต่โรคภัยไข้เจ็บที่คนไทยนิยมเป็นกันทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน ไขมันในเลือด ความดันโลหิตสูง สายตาสั้น งูกะปะกัด มาลาเรีย ริดสีดวงทวาร เป็นมาหมดแล้ว ก็ยาไทยและอาหารไทยนี่แหละที่มันช่วยผมได้ทุกโรค

สิ่งที่แล้วไม่สำเร็จก็มีอย่างเดียวเท่านั้นคือ ความยากจนที่เป็นสมบัติติดตัวมาตั้งแต่เกิด ตอนนี้คนอื่นเขารวยกันเพราะมีโอกาสเป็นนักการเมืองที่พอขายบ้านขายเมืองแบ่งกันกินได้ โอกาสพวกนั้นผมก็ไม่ได้มีโอกาสแสวงหาเท่านั้น

อยู่อย่างคนไทยและแสวงหาความเป็นไทยกันก็ดูเหมือนจะพอ ถึงมันจะโง่และเงียบไปนิดหน่อยก็พออยู่ได้อยู่หรอก!!
กำลังโหลดความคิดเห็น